ผู้จัดการรายวัน - กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ออกโรงหนุนเอสเอ็มอีไทย วางแผนรับมือฝ่าวิกฤตที่เกิดจาก น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ปัญหาการเมือง โดยให้สำนักพัฒนาหน่วยบริการอุตสาหกรรม ร่วมมือกับ คณะที่ปรึกษาธุรกิจฯสร้างทีมที่ปรึกษา 300 คน ช่วยเอสเอ็มอี ลดความเสี่ยง ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ ครึ่งปีหลัง
นายกิตติพัฒน์ ปณิฐาภรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาหน่วยบริการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาด้านเศรษฐกิจของ เอสเอ็มอี ไทยในชั่วโมงนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัยใหญ่ๆด้วยกันคือ 1. ปัญหาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหาด้านการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน และปัญหาที่หนักสุดคือ การขาดหายไปของคำสั่งซื้อ ส่วนอีกปัญหาคือ ปัญหาจากปัจจัยภายใน เช่น พนักงานขาดความรู้ความชำนาญที่เพียงพอ กระบวนการผลิตที่มีการสูญเสียจำนวนมาก ขาดการวางแผนด้านการตลาด ระบบบัญชีไม่ได้มาตรฐาน ตราสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก เป็นต้น
โดยปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ จึงแนะนำให้ เอสเอ็มอี ไทย ใช้เวลาในช่วงนี้ หันมาปรับปรุงปัจจัยภายในต่างๆเหล่านี้ และวางแผนแนวทางของธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อที่เมื่อปัญหาด้านปัจจัยภายนอกต่างๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว จะสามารถทำการแข่งขันได้ในทันที ทั้งนี้ ทางสำนักพัฒนาฯ ร่วมกับคณะที่ปรึกษาธุรกิจฯ ได้มีการสร้างทีมที่ปรึกษาเอาไว้แล้ว จำนวนกว่า 300 คน สำหรับให้ความช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ไทยที่มีความสนใจในการปรับปรุงกิจกรรมของตนเอง
ด้านนายวิริยะ ลิขิตวงศ์ กรรมการบริหาร คณะที่ปรึกษาธุรกิจเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจไทย กล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมของ เอสเอ็มอี ไทยมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดี ในการปรับปรุงองค์กร เพื่อที่จะรองรับการแข่งขันในอนาคต อย่างเช่น เมื่อเร็วๆนี้ ทางคณะที่ปรึกษาฯ ได้ร่วมมือกับ สำนักพัฒนาหน่วยบริการอุตสาหกรรม จัดโครงการสร้างนักออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ให้กับ เอสเอ็มอี ที่สนใจฟรี การเตรียมสร้างโครงการที่ปรึกษาประจำจังหวัด ซึ่งจะทำให้ เอสเอ็มอี ในต่างจังหวัดมีที่พึ่งในการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจอย่างใกล้ชิด รวมถึงการสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาครบวงจรสำหรับ เอสเอ็มอี ที่มีความต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั่วประเทศ
นายกิตติพัฒน์ ปณิฐาภรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาหน่วยบริการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาด้านเศรษฐกิจของ เอสเอ็มอี ไทยในชั่วโมงนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัยใหญ่ๆด้วยกันคือ 1. ปัญหาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหาด้านการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน และปัญหาที่หนักสุดคือ การขาดหายไปของคำสั่งซื้อ ส่วนอีกปัญหาคือ ปัญหาจากปัจจัยภายใน เช่น พนักงานขาดความรู้ความชำนาญที่เพียงพอ กระบวนการผลิตที่มีการสูญเสียจำนวนมาก ขาดการวางแผนด้านการตลาด ระบบบัญชีไม่ได้มาตรฐาน ตราสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก เป็นต้น
โดยปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ จึงแนะนำให้ เอสเอ็มอี ไทย ใช้เวลาในช่วงนี้ หันมาปรับปรุงปัจจัยภายในต่างๆเหล่านี้ และวางแผนแนวทางของธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อที่เมื่อปัญหาด้านปัจจัยภายนอกต่างๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว จะสามารถทำการแข่งขันได้ในทันที ทั้งนี้ ทางสำนักพัฒนาฯ ร่วมกับคณะที่ปรึกษาธุรกิจฯ ได้มีการสร้างทีมที่ปรึกษาเอาไว้แล้ว จำนวนกว่า 300 คน สำหรับให้ความช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ไทยที่มีความสนใจในการปรับปรุงกิจกรรมของตนเอง
ด้านนายวิริยะ ลิขิตวงศ์ กรรมการบริหาร คณะที่ปรึกษาธุรกิจเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจไทย กล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมของ เอสเอ็มอี ไทยมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดี ในการปรับปรุงองค์กร เพื่อที่จะรองรับการแข่งขันในอนาคต อย่างเช่น เมื่อเร็วๆนี้ ทางคณะที่ปรึกษาฯ ได้ร่วมมือกับ สำนักพัฒนาหน่วยบริการอุตสาหกรรม จัดโครงการสร้างนักออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ให้กับ เอสเอ็มอี ที่สนใจฟรี การเตรียมสร้างโครงการที่ปรึกษาประจำจังหวัด ซึ่งจะทำให้ เอสเอ็มอี ในต่างจังหวัดมีที่พึ่งในการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจอย่างใกล้ชิด รวมถึงการสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาครบวงจรสำหรับ เอสเอ็มอี ที่มีความต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั่วประเทศ