นักลงทุนรายย่อยแห่จองหุ้น "เอสโซ่" เกลี้ยง บล.ภัทร ที่ปรึกษาฯ-แกนนำอันเดอร์ไรท์ประกาศปิดรับจองหลังยอดวันแรกทะลักเกิน 3 เท่าของหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด ก่อนจะประกาศราคาเสนอขาย 24 เม.ย.นี้ ระบุยอดจองรายย่อยสูงเกิน 475 ล้านหุ้นจากยอดเสนอขาย 161 ล้านหุ้น แย้มวันนี้อาจพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกินให้รายย่อยเพิ่ม ด้านโบรกเกอร์ประเมินปัจจัยพื้นฐาน "เอสโซ่" ด้อยกว่าหุ้นพลังงานที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่มีจุดเด่นที่ผู้จองซื้อหุ้นไอพีโอมีสิทธิรับปันผลหุ้นละ 1 บาท
วานนี้ (21 เม.ย.) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้เปิดขายหุ้นสามัญให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 1,099.58 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 4.93 บาท ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 773.33 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังไม่เกิน 326.25 ล้านหุ้น โดยหุ้นจำนวนดังกล่าวจะจัดสรรให้กับนักลงทุนสถาบันและรายย่อยทั่วไป ในราคาเสนอขายหุ้นละ 9-13 บาท กำหนดจองซื้อระหว่างระหว่างวันที่ 21-22 เมษายนนี้
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารตลาดตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ผลการจองซื้อหุ้นไอพีโอบมจ.เอสโซ่ วันแรก ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับรายงานผลการจองซื้อหุ้นจากต้วแทนจำหน่ายทั้ง 2 ราย คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นมียอดจองเข้ามารวมทั้งสิ้น 475.5 ล้านหุ้น จากยอดที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อรวม 161.9 ล้านหุ้น
"ผมดีใจที่นักลงทุนสนใจจองหุ้นเอสโซ่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน ทำให้เราสามารถปิดรับการจองซื้อได้ก่อนกำหนดตั้งแต่เย็นวานนี้ แต่ในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) บริษัทจะพิจารณาการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกิน (กรีนชู) อีกหรือไม่ หากมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเพิ่มก็จะดูอีกครั้งว่าจะจัดสรรให้รายย่อยในสัดส่วนเท่าใด"
ส่วนการกำหนดราคาเสนอขายนั้น คงต้องรอพิจารณาดู Book Build ของสถาบันก่อนว่าจะมีความต้องการมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นราคาต่ำสุดหรือสูงสุด เพราะที่ผ่านมาบางตัวตั้งราคาในระดับสูง แต่ผลออกมาต่ำสุดก็เป็นไปได้
ด้านธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ แจ้งว่า หลังจากที่ธนาคารได้ทำการเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เป็นวันแรก (21 เม.ย.) ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก และธนาคารได้ปิดให้จองซื้อหุ้นดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเวลาเที่ยง เนื่องจากมียอดจองรวม 240 ล้านหุ้น ซึ่งเกิน 3 เท่าของยอดขายหุ้นที่ธนาคารรับจัดจำหน่ายคือ 80.9 ล้านหุ้น
สำหรับการจองซื้อดังกล่าว ผู้จองซื้อจะต้องต้องจ่ายเงินค่าหุ้นในราคาสูงสุดหุ้นละ 13 บาท จากราคาที่กำหนดไว้ที่ 9-13 บาท และหากราคาจริงซึ่งจะสรุปจากการ Book Building ในวันที่ 24 เมษายนออกมาต่ำกว่าระดับดังกล่าว ธนาคารจะดำเนินการโอนเงินคืนให้ผู้ซื้อในภายหลัง
ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินการสุ่มหาผู้จองหุ้นก่อนเที่ยงในวันที่ 25 เมษายนนี้ และจะสามารถให้ตรวจสอบรายชื่อได้ทันทีที่ดำเนินการแรนดอมเสร็จสิ้น ทางคอลเซ็นเตอร์ของธนาคาร
นายมงคลนิมิตร เอื้อเชิดกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้รับแจ้งจาก บล. ภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ว่า การเปิดจำหน่ายหุ้นเอสโซ่ผ่านธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย ในราคาหุ้นละ 13 บาท วานนี้ มียอดจองซื้อเข้ามาถึง 3 เท่า ของจำนวนหุ้นที่มีการจำหน่ายทั้งหมด ดังนั้นบริษัทจะยุติการจำหน่ายหุ้นเอสโซ่ และจะมีการสุ่มเลือกผู้ได้รับหุ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แรนดอม) และจะประกาศราคาไอพีโอในวันที่ 24 เม.ย. นี้
"หุ้นเอสโซ่ ถือเป็นหุ้นที่มีมูลค่าการตลาด หรือมาร์เก็ตแคปที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ" นายมงคลนิมิตร กล่าว
***โบรกวิเคราะห์พื้นฐาน ESSO ด้อย
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานบมจ.เอสโซ่ค่อนข้างด้อยกว่า บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอุตสาหกรรมการกลั่นครบวงจร และบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ที่มีรายได้จากธุรกิจอะโรเมติกส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้ว
ขณะที่ด้านศักยภาพการเติบโตของ ESSO มีแนวโน้มว่าอาจจะไม่มากนัก เนื่องมาจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากค่าการกลั่น ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 จนถึงปี 2552 ค่าการกลั่นในตลาดโลกอาจจะมีการปรับตัวลดลงจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้ประเมินราคาเหมาะสมของบมจ.เอสโซ่ที่ 13.85 บาท ที่ระดับ PE ที่ 7.78 เท่า อย่างไรก็ตาม บมจ.เอสโซ่ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.00 บาท ซึ่งถ้ากำหนดราคาไอพีโอที่ 13 บาท จะคิดเป็นเงินปันผลกว่า 7.7% ทำให้หุ้นเอสโซ่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
"ถ้าพิจารณาในภาพใหญ่แล้ว ESSO จะเป็นอันดับที่ 3 เมื่อเทียบกับไทยออลย์ และ PTTAR ตอนนี้ราคาไอพีโอที่แท้จริงยังไม่กำหนดแต่คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างประมาณ 9-13 บาท ซึ่งถ้าราคาไอพีโอหยุดที่กรอบบน ทำให้หุ้นอาจไม่ค่อยมีความน่าสนใจมากนัก เพราะมีช่วงให้เพิ่มขึ้นได้อีกไม่มาก แต่ถ้าหยุดแถวกรอบล่างก็ทำให้หุ้นน่าจะมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น" นางสาววิริยา กล่าว
สำหรับบมจ. เอสโซ่ ดำเนินธรกิจโรงกลั่นน้ำมันขนาด 1.77 แสนบาร์เรล/วัน มีเอ็กซอน โมบิลอินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง อิงค์ ถือหุ้น 86.77% และกระทรวงการคลัง 12.50% โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้ระยะสั้นที่มีอยู่ 23,700 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.4 เท่า
วานนี้ (21 เม.ย.) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้เปิดขายหุ้นสามัญให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 1,099.58 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 4.93 บาท ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 773.33 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังไม่เกิน 326.25 ล้านหุ้น โดยหุ้นจำนวนดังกล่าวจะจัดสรรให้กับนักลงทุนสถาบันและรายย่อยทั่วไป ในราคาเสนอขายหุ้นละ 9-13 บาท กำหนดจองซื้อระหว่างระหว่างวันที่ 21-22 เมษายนนี้
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารตลาดตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ผลการจองซื้อหุ้นไอพีโอบมจ.เอสโซ่ วันแรก ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับรายงานผลการจองซื้อหุ้นจากต้วแทนจำหน่ายทั้ง 2 ราย คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นมียอดจองเข้ามารวมทั้งสิ้น 475.5 ล้านหุ้น จากยอดที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อรวม 161.9 ล้านหุ้น
"ผมดีใจที่นักลงทุนสนใจจองหุ้นเอสโซ่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน ทำให้เราสามารถปิดรับการจองซื้อได้ก่อนกำหนดตั้งแต่เย็นวานนี้ แต่ในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) บริษัทจะพิจารณาการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกิน (กรีนชู) อีกหรือไม่ หากมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเพิ่มก็จะดูอีกครั้งว่าจะจัดสรรให้รายย่อยในสัดส่วนเท่าใด"
ส่วนการกำหนดราคาเสนอขายนั้น คงต้องรอพิจารณาดู Book Build ของสถาบันก่อนว่าจะมีความต้องการมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นราคาต่ำสุดหรือสูงสุด เพราะที่ผ่านมาบางตัวตั้งราคาในระดับสูง แต่ผลออกมาต่ำสุดก็เป็นไปได้
ด้านธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ แจ้งว่า หลังจากที่ธนาคารได้ทำการเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เป็นวันแรก (21 เม.ย.) ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก และธนาคารได้ปิดให้จองซื้อหุ้นดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเวลาเที่ยง เนื่องจากมียอดจองรวม 240 ล้านหุ้น ซึ่งเกิน 3 เท่าของยอดขายหุ้นที่ธนาคารรับจัดจำหน่ายคือ 80.9 ล้านหุ้น
สำหรับการจองซื้อดังกล่าว ผู้จองซื้อจะต้องต้องจ่ายเงินค่าหุ้นในราคาสูงสุดหุ้นละ 13 บาท จากราคาที่กำหนดไว้ที่ 9-13 บาท และหากราคาจริงซึ่งจะสรุปจากการ Book Building ในวันที่ 24 เมษายนออกมาต่ำกว่าระดับดังกล่าว ธนาคารจะดำเนินการโอนเงินคืนให้ผู้ซื้อในภายหลัง
ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินการสุ่มหาผู้จองหุ้นก่อนเที่ยงในวันที่ 25 เมษายนนี้ และจะสามารถให้ตรวจสอบรายชื่อได้ทันทีที่ดำเนินการแรนดอมเสร็จสิ้น ทางคอลเซ็นเตอร์ของธนาคาร
นายมงคลนิมิตร เอื้อเชิดกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้รับแจ้งจาก บล. ภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ว่า การเปิดจำหน่ายหุ้นเอสโซ่ผ่านธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย ในราคาหุ้นละ 13 บาท วานนี้ มียอดจองซื้อเข้ามาถึง 3 เท่า ของจำนวนหุ้นที่มีการจำหน่ายทั้งหมด ดังนั้นบริษัทจะยุติการจำหน่ายหุ้นเอสโซ่ และจะมีการสุ่มเลือกผู้ได้รับหุ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แรนดอม) และจะประกาศราคาไอพีโอในวันที่ 24 เม.ย. นี้
"หุ้นเอสโซ่ ถือเป็นหุ้นที่มีมูลค่าการตลาด หรือมาร์เก็ตแคปที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ" นายมงคลนิมิตร กล่าว
***โบรกวิเคราะห์พื้นฐาน ESSO ด้อย
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานบมจ.เอสโซ่ค่อนข้างด้อยกว่า บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอุตสาหกรรมการกลั่นครบวงจร และบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ที่มีรายได้จากธุรกิจอะโรเมติกส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้ว
ขณะที่ด้านศักยภาพการเติบโตของ ESSO มีแนวโน้มว่าอาจจะไม่มากนัก เนื่องมาจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากค่าการกลั่น ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 จนถึงปี 2552 ค่าการกลั่นในตลาดโลกอาจจะมีการปรับตัวลดลงจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้ประเมินราคาเหมาะสมของบมจ.เอสโซ่ที่ 13.85 บาท ที่ระดับ PE ที่ 7.78 เท่า อย่างไรก็ตาม บมจ.เอสโซ่ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.00 บาท ซึ่งถ้ากำหนดราคาไอพีโอที่ 13 บาท จะคิดเป็นเงินปันผลกว่า 7.7% ทำให้หุ้นเอสโซ่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
"ถ้าพิจารณาในภาพใหญ่แล้ว ESSO จะเป็นอันดับที่ 3 เมื่อเทียบกับไทยออลย์ และ PTTAR ตอนนี้ราคาไอพีโอที่แท้จริงยังไม่กำหนดแต่คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างประมาณ 9-13 บาท ซึ่งถ้าราคาไอพีโอหยุดที่กรอบบน ทำให้หุ้นอาจไม่ค่อยมีความน่าสนใจมากนัก เพราะมีช่วงให้เพิ่มขึ้นได้อีกไม่มาก แต่ถ้าหยุดแถวกรอบล่างก็ทำให้หุ้นน่าจะมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น" นางสาววิริยา กล่าว
สำหรับบมจ. เอสโซ่ ดำเนินธรกิจโรงกลั่นน้ำมันขนาด 1.77 แสนบาร์เรล/วัน มีเอ็กซอน โมบิลอินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง อิงค์ ถือหุ้น 86.77% และกระทรวงการคลัง 12.50% โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้ระยะสั้นที่มีอยู่ 23,700 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.4 เท่า