ผู้จัดการรายวัน-สรรพากรเร่งสอบภาษีนิติบุคคลยื่นขอคืนภาษี 7 หมื่นรายหลังพบพิรุธแจ้งข้อมูลเท็จทุจริตภาษี คาดกระทำผิดจริงสูงถึง 4 หมื่นรายพร้อมดำเนินการส่งฟ้องคดีอาญา ระบุกระบวนการทุจริตพัฒนาหลายรูปแบบทั้งการส่งเอกสารปลอม สร้างบุคคลขึ้นมายื่นขอคืนภาษีเทียม
แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีการปิดการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2550 ในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีจำนวนผู้เสียภาษีที่ยื่นขอคืนภาษีเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยคิดเป็นจำนวนรายทั้งสิ้น 1,991,140 ราย หรือเป็นเม็ดเงินขอคืนภาษีกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพากรได้ทยอยคืนภาษีเกือบหมดแล้ว คงเหลือยอดคงค้างอีกประมาณ 70,000 ราย เท่านั้น
แหล่งข่าวกล่าวว่า สาเหตุที่กลุ่ม 70,000 รายที่เหลือยังไม่ได้รับเงินคืนภาษี เนื่องจากมีความผิดปกติในการตรวจสอบการคืนภาษีเกิดขึ้น ซึ่งส่อลักษณะการกระทำทุจริตในการขอคืนภาษีโดยกรมสรรรพากรกำลังเร่งดำเนินการแยกกลุ่มทุจริตออกจากกลุ่มที่เสียภาษีถูกต้องให้ได้โดยเร็ว เพื่อให้ทันกับกำหนดการคืนภาษีที่ต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิถุนายนนี้
“ในกลุ่ม 7 หมื่นรายที่เหลืออยู่นี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีการกระทำทุจริตประมาณ 3-4 หมื่นราย โดยมีทั้งการกระทำทุจริตรายกลุ่ม รายบริษัท และรายบุคคล เพราะมีหลักฐานที่ติดตามได้ชัดเจนแล้ว เหลือเพียงติดตามตัวให้เจอ และแจ้งความดำเนินทั้งทางอาญา และในทางภาษี”แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ข้อมูลในการกระทำทุจริตนั้นมีรูปแบบ ดังนี้ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มสาวโรงงาน หรือพนักงานในโรงงาน ที่เข้าใจว่าอาจจะถูกหลอกมา โดยมีผู้จัดหาทางคืนภาษีให้ประมาณ รายละ 500-700 บาท โดยการแจ้งหักค่าใช้จ่าย และลดหย่อนเป็นเท็จ เพื่อขอเงินคืนภาษีให้ไม่สูงนัก เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่เมื่อตรวจสอบแล้วค่าใช้จ่ายและการขอลดหย่อนนั้นไม่มีจริง
กลุ่ม 2 จะเป็นกลุ่มคนอาชีพอิสระ หรือพนักงานรายวัน แต่ถูกนำชื่อมาเป็นพนักงานรายเดือนของบริษัท เพื่อสร้างรายจ่ายเทียมในการจ้างพนักงานของบริษัท และทำให้บริษัทเสียภาษีน้อยลง โดยมีทั้งการสร้างตัวตนของพนักงานขึ้นมาใหม่ทั้งที่ไม่รู้จักบริษัทนี้มาก่อนเลย และการสร้างเงินเดือนเทียมขึ้นมา เช่นพนักงานได้รับ 4 พัน แต่ลงบัญชี เป็น 8 พัน เป็นต้น และยังนำชื่อของบุคคลดังกล่าวมายื่นขอคืนภาษีด้วย
“เจ้าหน้าที่สามารถตรวจเจอเพราะมีเบาะแสที่ผิดปกติ คือการขอคืนภาษีของบุคคลเหล่านี้แม้จะมีชื่อแตกต่างกันไปแต่มีพิรุธคืนให้ส่งเช็คไปที่อยู่เดียวกันหมด เช่น ที่บริษัทเป็นต้น ซึ่งถือว่าผิดปกติ เพราะโดยทั่วไปเงินคืนภาษีแต่ละบุคคลจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องการเก็บไว้คนเดียวไม่จำเป็นที่ต้องไปให้ฝ่ายบัญชีรับทราบ แต่กลุ่มนี้จะให้ฝ่ายบัญชีดำเนินการให้หมด และแบ่งเงินที่ได้คืนกันเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มที่กระทำผิดแบบนี้พบความผิดชัดเจนแล้วกว่า 10 บริษัท และอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานให้ชัดอีก กว่า100บริษัท”
นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่ม คือ การสร้างการขอคืนภาษีเทียมโดยไม่ผ่านบริษัทที่ทำงานอยู่ แต่เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ไปรวบรวมรายชื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ขึ้นมา โดยให้ส่งเช็คไปที่อยู่เดียวกัน แต่เมื่อกรมสรรพากรเริ่มตั้งข้อสังเกตโดยเรียกเอกสารเพิ่มเติม ปรากฏว่าไปรษณีย์ตีกลับจดหมายที่ส่งไปกลับคืนดังกล่าวกลับมาหมด เพราะว่าที่อยู่ดังกล่าวไม่มีสถานการณ์ประกอบการแล้ว
“ขณะนี้เรามีข้อมูลทั้งระดับบุคคล และระดับบริษัทที่ให้ความร่วมมือในการโกงขอคืนภาษี และไปได้ประสานกับตำรวจในการดำเนินคดีทั้งอาญาและคดีทางภาษีนั้นได้อยู่ในกระบวนการของสำนักตรวจสอบภาษีแล้ว”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีการปิดการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2550 ในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีจำนวนผู้เสียภาษีที่ยื่นขอคืนภาษีเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยคิดเป็นจำนวนรายทั้งสิ้น 1,991,140 ราย หรือเป็นเม็ดเงินขอคืนภาษีกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพากรได้ทยอยคืนภาษีเกือบหมดแล้ว คงเหลือยอดคงค้างอีกประมาณ 70,000 ราย เท่านั้น
แหล่งข่าวกล่าวว่า สาเหตุที่กลุ่ม 70,000 รายที่เหลือยังไม่ได้รับเงินคืนภาษี เนื่องจากมีความผิดปกติในการตรวจสอบการคืนภาษีเกิดขึ้น ซึ่งส่อลักษณะการกระทำทุจริตในการขอคืนภาษีโดยกรมสรรรพากรกำลังเร่งดำเนินการแยกกลุ่มทุจริตออกจากกลุ่มที่เสียภาษีถูกต้องให้ได้โดยเร็ว เพื่อให้ทันกับกำหนดการคืนภาษีที่ต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิถุนายนนี้
“ในกลุ่ม 7 หมื่นรายที่เหลืออยู่นี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีการกระทำทุจริตประมาณ 3-4 หมื่นราย โดยมีทั้งการกระทำทุจริตรายกลุ่ม รายบริษัท และรายบุคคล เพราะมีหลักฐานที่ติดตามได้ชัดเจนแล้ว เหลือเพียงติดตามตัวให้เจอ และแจ้งความดำเนินทั้งทางอาญา และในทางภาษี”แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ข้อมูลในการกระทำทุจริตนั้นมีรูปแบบ ดังนี้ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มสาวโรงงาน หรือพนักงานในโรงงาน ที่เข้าใจว่าอาจจะถูกหลอกมา โดยมีผู้จัดหาทางคืนภาษีให้ประมาณ รายละ 500-700 บาท โดยการแจ้งหักค่าใช้จ่าย และลดหย่อนเป็นเท็จ เพื่อขอเงินคืนภาษีให้ไม่สูงนัก เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่เมื่อตรวจสอบแล้วค่าใช้จ่ายและการขอลดหย่อนนั้นไม่มีจริง
กลุ่ม 2 จะเป็นกลุ่มคนอาชีพอิสระ หรือพนักงานรายวัน แต่ถูกนำชื่อมาเป็นพนักงานรายเดือนของบริษัท เพื่อสร้างรายจ่ายเทียมในการจ้างพนักงานของบริษัท และทำให้บริษัทเสียภาษีน้อยลง โดยมีทั้งการสร้างตัวตนของพนักงานขึ้นมาใหม่ทั้งที่ไม่รู้จักบริษัทนี้มาก่อนเลย และการสร้างเงินเดือนเทียมขึ้นมา เช่นพนักงานได้รับ 4 พัน แต่ลงบัญชี เป็น 8 พัน เป็นต้น และยังนำชื่อของบุคคลดังกล่าวมายื่นขอคืนภาษีด้วย
“เจ้าหน้าที่สามารถตรวจเจอเพราะมีเบาะแสที่ผิดปกติ คือการขอคืนภาษีของบุคคลเหล่านี้แม้จะมีชื่อแตกต่างกันไปแต่มีพิรุธคืนให้ส่งเช็คไปที่อยู่เดียวกันหมด เช่น ที่บริษัทเป็นต้น ซึ่งถือว่าผิดปกติ เพราะโดยทั่วไปเงินคืนภาษีแต่ละบุคคลจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องการเก็บไว้คนเดียวไม่จำเป็นที่ต้องไปให้ฝ่ายบัญชีรับทราบ แต่กลุ่มนี้จะให้ฝ่ายบัญชีดำเนินการให้หมด และแบ่งเงินที่ได้คืนกันเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มที่กระทำผิดแบบนี้พบความผิดชัดเจนแล้วกว่า 10 บริษัท และอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานให้ชัดอีก กว่า100บริษัท”
นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่ม คือ การสร้างการขอคืนภาษีเทียมโดยไม่ผ่านบริษัทที่ทำงานอยู่ แต่เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ไปรวบรวมรายชื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ขึ้นมา โดยให้ส่งเช็คไปที่อยู่เดียวกัน แต่เมื่อกรมสรรพากรเริ่มตั้งข้อสังเกตโดยเรียกเอกสารเพิ่มเติม ปรากฏว่าไปรษณีย์ตีกลับจดหมายที่ส่งไปกลับคืนดังกล่าวกลับมาหมด เพราะว่าที่อยู่ดังกล่าวไม่มีสถานการณ์ประกอบการแล้ว
“ขณะนี้เรามีข้อมูลทั้งระดับบุคคล และระดับบริษัทที่ให้ความร่วมมือในการโกงขอคืนภาษี และไปได้ประสานกับตำรวจในการดำเนินคดีทั้งอาญาและคดีทางภาษีนั้นได้อยู่ในกระบวนการของสำนักตรวจสอบภาษีแล้ว”แหล่งข่าวกล่าว
