แอมเวย์ เท 150 ล้านบาท พัฒนาระบบ "แอมเวย์ เมมเบอร์" ปิดช่องโหว่แก้ปัญหาการรับสมัครสมาชิกแอมเวย์ยุ่งยาก มุ่งเปิดประตูรับสมาชิกใหม่เพิ่ม 3ทาง รื้อระบบคอลเซ็นเตอร์ ปรับโฉมอินเตอร์เน็ต รับสมัครตรงหน้าชอป จูงใจลดค่าสมัครสมาชิกเหลือ 100 บาท มั่นใจสิ้นปียอดสมาชิกเพิ่ม 15% รายได้โต10 % กวาด 1,1000 ล้านบาท
นายปรีชา ประกอบกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ซึ่งมีแผนที่จะต้องมีรายได้สู่เป้า 20,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2555 ที่จะมาถึง ทางบริษัทฯ จึงได้ร่างแผนการดำเนินธุรกิจขึ้นใหม่ พร้อมทั้งมองหาปัญหาต่างๆที่ควรแก้ไข เพื่อให้สามารถดันรายได้ตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้พบว่าในส่วนของการสมัครสมาชิกใหม่ของแอมเวย์ ถือเป็นปัญหาสำคัญ เพราะที่ผ่านมาลูกค้ามองว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก จะต้องผ่านนักธุรกิจแอมเวย์เท่านั้น จึงจะสมัครสมาชิกได้ ขณะเดียวกันค่าสมัครก็ค่อนข้างสูง คือ 300 บาท ส่วนการสั่งซื้อสินค้าก็ยังทำไม่ได้ในทันที และยังต้องต่อสมาชิกรายปีที่ 150บาทด้วย
ดังนั้นปีนี้ทางบริษัทฯจึงได้ทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาท เพื่อแก้ข้อบกพร่องในการลดขั้นตอนความยุ่งยาก เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีการสมัครสมาชิกมากขึ้น ภายใต้โครงการพัฒนาระบบ "แอมเวย์ เมมเบอร์" โดยทางบริษัทฯได้มุ่งเน้นปรับช่องทางเพิ่ม 3 ช่องทาง คือ 1.คอลเซ็นเตอร์ ได้รื้อจัดการวางระบบใหม่หมด เพื่อให้ได้มาตรฐานและสะดวกในการสมัครสมาชิกในไม่กี่นาที พร้อมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ คอลเซ็นเตอร์เป็น 02-725-8000
2. เว็บไซด์ พัฒนาให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์ ชอปปิ้ง สตรีท โดยสามารถสมัครสมาชิกผ่านระบบออนไลน์ และสั่งซื้อสินค้าได้ทันที และ3.แอมเวย์ ชอป ลูกค้าสามารถยื่นบัตรประชาชน สมัครสมาชิก พร้อมเลือกซื้อสินค้าได้ทันทีเช่นกัน นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ปรับราคาค่าสมาชิกใหม่ด้วย จากเดิม 300 บาท เหลือ100 บาท ส่วนการต่อสมาชิกในแต่ละปีจะลดลงเหลือ 100 บาท จากเดิมต้องจ่าย150 บาท
ทั้งนี้บริษัทฯมั่นใจว่า หลังจากช่วงเปิดตัวระบบ แอมเวย์ เมมเบอร์ในเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้เพียงเดือนเดียว จะมียอดสมาชิกใหม่เติบโตขึ้น 3 เท่า จากปกติต่อเดือนที่มียอดสมาชิกใหม่เข้ามาประมาณ 20,000 ราย หรือทั้งปีนี้คาดว่าจะมียอดสมาชิกใหม่เติบโตขึ้นกว่า 15% จากปกติที่ผ่านมาจะมีการเติบโตเพียง 5 %
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น การทำธุรกิจขายตรงต้องมองให้เป็นบวก ยิ่งทำมากก็ได้มาก ซึ่งในส่วนแอมเวย์คาดว่าปีนี้โต 10% จากรายได้ 10,000 ล้านบาทในปีก่อน หรือ 11,000 ล้านบาท แม้ว่าจะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ต่างๆทั้งการเมือง และเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นในช่วง ครึ่งปีหลังก็ตาม
นายปรีชา ประกอบกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ซึ่งมีแผนที่จะต้องมีรายได้สู่เป้า 20,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2555 ที่จะมาถึง ทางบริษัทฯ จึงได้ร่างแผนการดำเนินธุรกิจขึ้นใหม่ พร้อมทั้งมองหาปัญหาต่างๆที่ควรแก้ไข เพื่อให้สามารถดันรายได้ตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้พบว่าในส่วนของการสมัครสมาชิกใหม่ของแอมเวย์ ถือเป็นปัญหาสำคัญ เพราะที่ผ่านมาลูกค้ามองว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก จะต้องผ่านนักธุรกิจแอมเวย์เท่านั้น จึงจะสมัครสมาชิกได้ ขณะเดียวกันค่าสมัครก็ค่อนข้างสูง คือ 300 บาท ส่วนการสั่งซื้อสินค้าก็ยังทำไม่ได้ในทันที และยังต้องต่อสมาชิกรายปีที่ 150บาทด้วย
ดังนั้นปีนี้ทางบริษัทฯจึงได้ทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาท เพื่อแก้ข้อบกพร่องในการลดขั้นตอนความยุ่งยาก เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีการสมัครสมาชิกมากขึ้น ภายใต้โครงการพัฒนาระบบ "แอมเวย์ เมมเบอร์" โดยทางบริษัทฯได้มุ่งเน้นปรับช่องทางเพิ่ม 3 ช่องทาง คือ 1.คอลเซ็นเตอร์ ได้รื้อจัดการวางระบบใหม่หมด เพื่อให้ได้มาตรฐานและสะดวกในการสมัครสมาชิกในไม่กี่นาที พร้อมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ คอลเซ็นเตอร์เป็น 02-725-8000
2. เว็บไซด์ พัฒนาให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์ ชอปปิ้ง สตรีท โดยสามารถสมัครสมาชิกผ่านระบบออนไลน์ และสั่งซื้อสินค้าได้ทันที และ3.แอมเวย์ ชอป ลูกค้าสามารถยื่นบัตรประชาชน สมัครสมาชิก พร้อมเลือกซื้อสินค้าได้ทันทีเช่นกัน นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ปรับราคาค่าสมาชิกใหม่ด้วย จากเดิม 300 บาท เหลือ100 บาท ส่วนการต่อสมาชิกในแต่ละปีจะลดลงเหลือ 100 บาท จากเดิมต้องจ่าย150 บาท
ทั้งนี้บริษัทฯมั่นใจว่า หลังจากช่วงเปิดตัวระบบ แอมเวย์ เมมเบอร์ในเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้เพียงเดือนเดียว จะมียอดสมาชิกใหม่เติบโตขึ้น 3 เท่า จากปกติต่อเดือนที่มียอดสมาชิกใหม่เข้ามาประมาณ 20,000 ราย หรือทั้งปีนี้คาดว่าจะมียอดสมาชิกใหม่เติบโตขึ้นกว่า 15% จากปกติที่ผ่านมาจะมีการเติบโตเพียง 5 %
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น การทำธุรกิจขายตรงต้องมองให้เป็นบวก ยิ่งทำมากก็ได้มาก ซึ่งในส่วนแอมเวย์คาดว่าปีนี้โต 10% จากรายได้ 10,000 ล้านบาทในปีก่อน หรือ 11,000 ล้านบาท แม้ว่าจะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ต่างๆทั้งการเมือง และเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นในช่วง ครึ่งปีหลังก็ตาม