การตั้งข้อสงสัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อรัฐบาลหุ่นเชิดเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหารว่าเป็นการขายชาติ ยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมร เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว! และทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนแก่กัมพูชาไปแล้ว
หลังจากปกปิดมุบมิบเล่นเล่ห์กลมาพักใหญ่ ก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เดินขบวนใหญ่ทวงถามรัฐบาลให้เปิดเผยข้อเท็จจริง และเป็นผลให้นายนพดล ปัทมะ เปิดการแถลงข่าวเรื่องนี้ในตอนบ่ายวันที่ 18 มิถุนายน 2551
และจากการแถลงข่าวนั่นเอง ข้อเท็จจริงก็เปิดเผยออกมาชัดเจนยิ่งขึ้นว่ากรณีเป็นการขายชาติยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมรจริง ๆ สมดังที่กลุ่มพันธมิตรฯ เขากล่าวหา
แต่จากคำแถลงและเอกสารแผนที่ ตลอดจนแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นั้นใช้ทั้งภาษาการทูต ภาษากฎหมาย และมีความซับซ้อนในเรื่องวิชาการแผนที่ จึงทำให้เข้าใจได้ยาก
ทั้ง ๆ ที่เนื้อแท้และความจริงแล้วก็คือการขายชาติ โดยยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปอย่างหน้าตาเฉยนั่นเอง
ดังนั้นมาทำความเข้าใจถึงถ้อยคำภาษากฎหมายภาษาการทูตและความซับซ้อนเรื่องวิชาการแผนที่ ตลอดจนการใช้เล่ห์กลซับซ้อนซ่อนเงื่อนในเรื่องนี้กันให้ชัดเจน ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
เรื่องที่หนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งมีแผนที่ประกอบตามที่นายนพดล ปัทมะ แถลงนั้น เนื้อหาที่แท้จริงก็คือข้อตกลงชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ และมีผลต่อดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ข้อตกลงประเภทนี้รัฐธรรมนูญปัจจุบันบัญญัติว่าจะต้องดำเนินการสองประการก่อนจึงจะลงนามในเอกสารนั้นได้ คือ ประการแรก จะต้องนำกรอบข้อตกลงขออนุมัติต่อรัฐสภาเสียก่อน และประการที่สอง จะต้องให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาออกความเห็นด้วย หากไม่ปฏิบัติตามนี้รัฐบาลก็ทำข้อตกลงนั้นไม่ได้
การที่รัฐบาลลงนามในข้อตกลงตามเอกสารที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศว่าแถลงการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันประเทศไทยและรัฐบาลไทย ตลอดจนประชาชนไทย ทำนองเดียวกับที่ขบวนการเสรีไทยเคยประกาศโมฆะกรรมที่รัฐบาลเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ได้ทำสนธิสัญญาเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์เอเชียบูรพากับญี่ปุ่นทำสงครามกับพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว
เรื่องที่สอง แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นข้อตกลงประเภทที่เรียกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ คือระงับข้อพิพาทที่มีต่อกันในเรื่องเขตแดน
ขอให้สาธุชนผู้รักชาติทั้งปวงได้สังเกตถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมนั้นให้ดี ก็จะพบว่ามีถ้อยคำว่าเพื่อการประนีประนอม และถ้อยคำนี้อยู่ภายหลังข้อความที่ว่าเพื่อความเป็นไมตรีระหว่างกัน
เป็นการใช้ภาษากฎหมายผสมกับภาษาการทูตด้วยเล่ห์กลอุบายขายชาติ ซึ่งถ้าหากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. คนก่อนไม่ถูกย้ายอย่างฉุกเฉินแล้ว ข้อตกลงขายชาติแบบนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เห็นหรือยังว่าการย้ายอดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. อย่างฉุกเฉินก็เพราะมีนัยที่จะผลักดันข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนี้ไม่ใช่หรือ?
อันสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างประเทศ เมื่อทำโดยถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้วก็ใช้บังคับระหว่างกันได้ มีผลเป็นการระงับข้อพิพาทอื่น ๆ หรือปัญหาที่เคยมีต่อกันก่อนหน้านี้ทั้งหมด
นี่คือการมัดตราสังข์ประเทศไทยและรัฐบาลไทยในภายภาคหน้าไม่ให้มีโอกาสทวงคืนปราสาทพระวิหารและดินแดนแถบนั้นได้อีกต่อไป!
เรื่องที่สาม ข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเลย หากเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่เขมรฝ่ายเดียวเท่านั้น และเป็นประโยชน์หลายสถาน คือ
(1)เขมรได้ไปซึ่งปราสาทพระวิหารอย่างถาวรอย่างหนึ่ง
(2)เขมรได้ไปซึ่งปราสาทในบริเวณใกล้เคียงอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นอย่างหนึ่ง
(3)เขมรได้ไปซึ่งพื้นที่อันเป็นดินแดนของประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของบริเวณปราสาททั้งหมดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรอย่างหนึ่ง และ
(4)เขมรได้ไปซึ่งสิทธิ์ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าดินแดนประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงรวมตลอดไปถึงอุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่ทับซ้อน และอยู่ในข้อตกลงที่จะต้องจัดการผลประโยชน์ร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง
ทั้ง 4 ประการนี่แหละเป็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่ว เป็นเรื่องการขายชาติ เป็นเรื่องการปล้นชาติ เป็นเรื่องปล้นอธิปไตยของประเทศที่บรรพบุรุษไทยและกองทัพไทยได้พิทักษ์รักษามาตั้งแต่บรรพกาลให้กับเขมรไปอย่างหน้าตาเฉย
มาเข้าใจเรื่องนี้กันให้ลึกซึ้งสักหน่อย ซึ่งสามารถพูดให้เข้าใจได้โดยง่ายดังนี้
(1)ในเรื่องตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลโลกเคยตัดสินให้เป็นของเขมรนั้น รัฐบาลไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนสิทธิ์และโต้แย้งไว้ต่อสหประชาชาติว่าปราสาทพระวิหารนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย แต่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาไปก่อนตามพันธะแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยสงวนสิทธิ์ที่จะเอาคืนหรือพิสูจน์ใหม่ในอนาคต
ข้อตกลงหรือแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดคือการสละสิทธิ์ดังกล่าวทั้งหมดและยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของเขมรอย่างถาวรตลอดกัลปาวสาน
(2)ปราสาทอื่นในบริเวณนั้นอีก 3 หลัง รวมทั้งทางเดินขึ้นปราสาทพระวิหารทั้งหมด ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นของเขมร และประเทศไทยก็ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศไทยตลอดมา
แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ตกลงในแถลงการณ์ร่วมแบบมุบมิบโมเมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรไปทั้งหมด
(3)พื้นที่อันเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย และศาลโลกก็มิได้ตัดสินให้เป็นของเขมร แต่เขมรเขียนแผนที่ใหม่ฝ่ายเดียว ระบุว่าเป็นดินแดนของเขมร
ดังนั้นการที่รัฐบาลหุ่นเชิดยอมรับแผนที่ดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการยกดินแดนหรืออธิปไตยของประเทศไทยอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหาร ปราสาทอื่นอีก 3 หลัง และทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นของกัมพูชาไปทั้งหมด ซึ่งถือเป็นข้อตกลงประนีประนอมยอมความดังที่ได้จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
(4)พื้นที่นอกบริเวณพื้นที่อันเป็นที่ตั้งตัวปราสาทและทางขึ้น มีอาณาเขตประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกินพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติพระวิหารและมีชาวเขมรมาตั้งร้านค้า ตั้งวัดอยู่แล้ว และเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย โดยในแผนที่ของประเทศไทยก็ระบุชัดว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย
แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ทำความตกลงให้ถือเอาพื้นที่ดังกล่าวเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” และ “จะดำเนินการบริหารจัดการหาประโยชน์ร่วมกัน”
นี่คือการสละดินแดนและอธิปไตยซึ่งเป็นของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ให้กลายเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” เป็นเนื้อที่ถึงประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร
แล้วข้อตกลงอันเป็นแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวก็ได้วางกรอบเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าวว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะบริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งจะเปรียบก็เหมือนๆ กับการทำความตกลงว่าให้สนามหลวงเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา แล้วยอมให้ไทยและกัมพูชาบริหารจัดการแล้วหาประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง มันจึงเป็นเรื่องโกงอธิปไตยของชาติอย่างหน้าด้าน ๆ
ที่แถลงแก้ตัวว่าการบุกรุกของชาวกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวจะเจรจากันในภายหลังนั้น เมื่อประกอบกับข้อตกลงดังกล่าวแล้วก็เห็นได้ชัดว่าได้วางเงื่อนไขที่เสียเปรียบซ้ำเข้าไปอีก เพราะเท่ากับเป็นการไม่โต้แย้งคัดค้านการที่ชาวเขมรมาตั้งถิ่นฐานและวัดวาอารามในพื้นที่นั้น
ด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวมานี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าข้อตกลงซึ่งกระทำการในแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียหายดังต่อไปนี้
1.ปราสาทพระวิหารซึ่งรัฐบาลไทยสงวนสิทธิ์ไว้ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรอย่างถาวรตลอดกาลด้วยการสละสิทธิ์ของรัฐบาลหุ่นเชิด โดยประเทศไทยหมดสิทธิ์ทวงคืนตลอดไป
2.ปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้นถูกยกให้แก่กัมพูชาไปดื้อ ๆ
3.ยกดินแดนอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาท 3 หลัง กับทั้งพื้นที่ทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้แก่เขมร ทั้ง ๆ ที่เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ และศาลโลกก็ไม่เคยตัดสินให้เป็นของเขมร
4.ตกลงให้ดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงกับพื้นที่ตั้งปราสาทซึ่งกินพื้นที่อุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร เป็น “พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา”
5.ตกลงให้เขมรมีสิทธิ์มีส่วนเท่ากับประเทศไทยในการจัดการและแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรของประเทศไทยได้ตลอดไป
นี่คือการขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นอธิปไตยอย่างโจ่งแจ้งที่สุด!
แต่ข้อตกลงนี้กระทำขึ้นโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยการทรยศชาติ ประชาชนไทยและองค์กรต่าง ๆ ของประเทศไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศให้ข้อตกลงเป็นโมฆะโดยแจ้งไปยังสหประชาชาติหรือยูเนสโกได้ และสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี และแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวได้อีกด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ จะเป็นเหตุการณ์อัปยศเสื่อมเสียถึงพระบรมเดชานุภาพเพราะเกิดเหตุเสียดินแดนเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้ ทั้งจะเป็นความอัปยศอดสูของเหล่าทหารทั้งกองทัพไทยที่อาจถูกดูหมิ่นหรือถูกก่นด่าประชดให้เปลี่ยนเครื่องแบบไปนุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่นของผู้หญิงแทนหากว่ายอมให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบนี้.
หลังจากปกปิดมุบมิบเล่นเล่ห์กลมาพักใหญ่ ก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เดินขบวนใหญ่ทวงถามรัฐบาลให้เปิดเผยข้อเท็จจริง และเป็นผลให้นายนพดล ปัทมะ เปิดการแถลงข่าวเรื่องนี้ในตอนบ่ายวันที่ 18 มิถุนายน 2551
และจากการแถลงข่าวนั่นเอง ข้อเท็จจริงก็เปิดเผยออกมาชัดเจนยิ่งขึ้นว่ากรณีเป็นการขายชาติยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมรจริง ๆ สมดังที่กลุ่มพันธมิตรฯ เขากล่าวหา
แต่จากคำแถลงและเอกสารแผนที่ ตลอดจนแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นั้นใช้ทั้งภาษาการทูต ภาษากฎหมาย และมีความซับซ้อนในเรื่องวิชาการแผนที่ จึงทำให้เข้าใจได้ยาก
ทั้ง ๆ ที่เนื้อแท้และความจริงแล้วก็คือการขายชาติ โดยยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปอย่างหน้าตาเฉยนั่นเอง
ดังนั้นมาทำความเข้าใจถึงถ้อยคำภาษากฎหมายภาษาการทูตและความซับซ้อนเรื่องวิชาการแผนที่ ตลอดจนการใช้เล่ห์กลซับซ้อนซ่อนเงื่อนในเรื่องนี้กันให้ชัดเจน ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
เรื่องที่หนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งมีแผนที่ประกอบตามที่นายนพดล ปัทมะ แถลงนั้น เนื้อหาที่แท้จริงก็คือข้อตกลงชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ และมีผลต่อดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ข้อตกลงประเภทนี้รัฐธรรมนูญปัจจุบันบัญญัติว่าจะต้องดำเนินการสองประการก่อนจึงจะลงนามในเอกสารนั้นได้ คือ ประการแรก จะต้องนำกรอบข้อตกลงขออนุมัติต่อรัฐสภาเสียก่อน และประการที่สอง จะต้องให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาออกความเห็นด้วย หากไม่ปฏิบัติตามนี้รัฐบาลก็ทำข้อตกลงนั้นไม่ได้
การที่รัฐบาลลงนามในข้อตกลงตามเอกสารที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศว่าแถลงการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันประเทศไทยและรัฐบาลไทย ตลอดจนประชาชนไทย ทำนองเดียวกับที่ขบวนการเสรีไทยเคยประกาศโมฆะกรรมที่รัฐบาลเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ได้ทำสนธิสัญญาเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์เอเชียบูรพากับญี่ปุ่นทำสงครามกับพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว
เรื่องที่สอง แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นข้อตกลงประเภทที่เรียกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ คือระงับข้อพิพาทที่มีต่อกันในเรื่องเขตแดน
ขอให้สาธุชนผู้รักชาติทั้งปวงได้สังเกตถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมนั้นให้ดี ก็จะพบว่ามีถ้อยคำว่าเพื่อการประนีประนอม และถ้อยคำนี้อยู่ภายหลังข้อความที่ว่าเพื่อความเป็นไมตรีระหว่างกัน
เป็นการใช้ภาษากฎหมายผสมกับภาษาการทูตด้วยเล่ห์กลอุบายขายชาติ ซึ่งถ้าหากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. คนก่อนไม่ถูกย้ายอย่างฉุกเฉินแล้ว ข้อตกลงขายชาติแบบนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เห็นหรือยังว่าการย้ายอดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. อย่างฉุกเฉินก็เพราะมีนัยที่จะผลักดันข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนี้ไม่ใช่หรือ?
อันสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างประเทศ เมื่อทำโดยถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้วก็ใช้บังคับระหว่างกันได้ มีผลเป็นการระงับข้อพิพาทอื่น ๆ หรือปัญหาที่เคยมีต่อกันก่อนหน้านี้ทั้งหมด
นี่คือการมัดตราสังข์ประเทศไทยและรัฐบาลไทยในภายภาคหน้าไม่ให้มีโอกาสทวงคืนปราสาทพระวิหารและดินแดนแถบนั้นได้อีกต่อไป!
เรื่องที่สาม ข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเลย หากเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่เขมรฝ่ายเดียวเท่านั้น และเป็นประโยชน์หลายสถาน คือ
(1)เขมรได้ไปซึ่งปราสาทพระวิหารอย่างถาวรอย่างหนึ่ง
(2)เขมรได้ไปซึ่งปราสาทในบริเวณใกล้เคียงอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นอย่างหนึ่ง
(3)เขมรได้ไปซึ่งพื้นที่อันเป็นดินแดนของประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของบริเวณปราสาททั้งหมดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรอย่างหนึ่ง และ
(4)เขมรได้ไปซึ่งสิทธิ์ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าดินแดนประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงรวมตลอดไปถึงอุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่ทับซ้อน และอยู่ในข้อตกลงที่จะต้องจัดการผลประโยชน์ร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง
ทั้ง 4 ประการนี่แหละเป็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่ว เป็นเรื่องการขายชาติ เป็นเรื่องการปล้นชาติ เป็นเรื่องปล้นอธิปไตยของประเทศที่บรรพบุรุษไทยและกองทัพไทยได้พิทักษ์รักษามาตั้งแต่บรรพกาลให้กับเขมรไปอย่างหน้าตาเฉย
มาเข้าใจเรื่องนี้กันให้ลึกซึ้งสักหน่อย ซึ่งสามารถพูดให้เข้าใจได้โดยง่ายดังนี้
(1)ในเรื่องตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลโลกเคยตัดสินให้เป็นของเขมรนั้น รัฐบาลไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนสิทธิ์และโต้แย้งไว้ต่อสหประชาชาติว่าปราสาทพระวิหารนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย แต่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาไปก่อนตามพันธะแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยสงวนสิทธิ์ที่จะเอาคืนหรือพิสูจน์ใหม่ในอนาคต
ข้อตกลงหรือแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดคือการสละสิทธิ์ดังกล่าวทั้งหมดและยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของเขมรอย่างถาวรตลอดกัลปาวสาน
(2)ปราสาทอื่นในบริเวณนั้นอีก 3 หลัง รวมทั้งทางเดินขึ้นปราสาทพระวิหารทั้งหมด ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นของเขมร และประเทศไทยก็ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศไทยตลอดมา
แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ตกลงในแถลงการณ์ร่วมแบบมุบมิบโมเมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรไปทั้งหมด
(3)พื้นที่อันเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย และศาลโลกก็มิได้ตัดสินให้เป็นของเขมร แต่เขมรเขียนแผนที่ใหม่ฝ่ายเดียว ระบุว่าเป็นดินแดนของเขมร
ดังนั้นการที่รัฐบาลหุ่นเชิดยอมรับแผนที่ดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการยกดินแดนหรืออธิปไตยของประเทศไทยอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหาร ปราสาทอื่นอีก 3 หลัง และทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นของกัมพูชาไปทั้งหมด ซึ่งถือเป็นข้อตกลงประนีประนอมยอมความดังที่ได้จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
(4)พื้นที่นอกบริเวณพื้นที่อันเป็นที่ตั้งตัวปราสาทและทางขึ้น มีอาณาเขตประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกินพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติพระวิหารและมีชาวเขมรมาตั้งร้านค้า ตั้งวัดอยู่แล้ว และเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย โดยในแผนที่ของประเทศไทยก็ระบุชัดว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย
แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ทำความตกลงให้ถือเอาพื้นที่ดังกล่าวเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” และ “จะดำเนินการบริหารจัดการหาประโยชน์ร่วมกัน”
นี่คือการสละดินแดนและอธิปไตยซึ่งเป็นของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ให้กลายเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” เป็นเนื้อที่ถึงประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร
แล้วข้อตกลงอันเป็นแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวก็ได้วางกรอบเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าวว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะบริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งจะเปรียบก็เหมือนๆ กับการทำความตกลงว่าให้สนามหลวงเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา แล้วยอมให้ไทยและกัมพูชาบริหารจัดการแล้วหาประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง มันจึงเป็นเรื่องโกงอธิปไตยของชาติอย่างหน้าด้าน ๆ
ที่แถลงแก้ตัวว่าการบุกรุกของชาวกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวจะเจรจากันในภายหลังนั้น เมื่อประกอบกับข้อตกลงดังกล่าวแล้วก็เห็นได้ชัดว่าได้วางเงื่อนไขที่เสียเปรียบซ้ำเข้าไปอีก เพราะเท่ากับเป็นการไม่โต้แย้งคัดค้านการที่ชาวเขมรมาตั้งถิ่นฐานและวัดวาอารามในพื้นที่นั้น
ด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวมานี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าข้อตกลงซึ่งกระทำการในแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียหายดังต่อไปนี้
1.ปราสาทพระวิหารซึ่งรัฐบาลไทยสงวนสิทธิ์ไว้ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรอย่างถาวรตลอดกาลด้วยการสละสิทธิ์ของรัฐบาลหุ่นเชิด โดยประเทศไทยหมดสิทธิ์ทวงคืนตลอดไป
2.ปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้นถูกยกให้แก่กัมพูชาไปดื้อ ๆ
3.ยกดินแดนอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาท 3 หลัง กับทั้งพื้นที่ทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้แก่เขมร ทั้ง ๆ ที่เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ และศาลโลกก็ไม่เคยตัดสินให้เป็นของเขมร
4.ตกลงให้ดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงกับพื้นที่ตั้งปราสาทซึ่งกินพื้นที่อุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร เป็น “พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา”
5.ตกลงให้เขมรมีสิทธิ์มีส่วนเท่ากับประเทศไทยในการจัดการและแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรของประเทศไทยได้ตลอดไป
นี่คือการขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นอธิปไตยอย่างโจ่งแจ้งที่สุด!
แต่ข้อตกลงนี้กระทำขึ้นโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยการทรยศชาติ ประชาชนไทยและองค์กรต่าง ๆ ของประเทศไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศให้ข้อตกลงเป็นโมฆะโดยแจ้งไปยังสหประชาชาติหรือยูเนสโกได้ และสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี และแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวได้อีกด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ จะเป็นเหตุการณ์อัปยศเสื่อมเสียถึงพระบรมเดชานุภาพเพราะเกิดเหตุเสียดินแดนเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้ ทั้งจะเป็นความอัปยศอดสูของเหล่าทหารทั้งกองทัพไทยที่อาจถูกดูหมิ่นหรือถูกก่นด่าประชดให้เปลี่ยนเครื่องแบบไปนุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่นของผู้หญิงแทนหากว่ายอมให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบนี้.