xs
xsm
sm
md
lg

ปิดเอเอสทีวี…ความโง่ของรัฐบาลหุ่นเชิด!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ยิ่งนานวันพฤติกรรมหุ่นเชิดของรัฐบาลก็ยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น ยิ่งนานวันพฤติกรรมรัฐตำรวจก็ยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่มีความมั่นใจหนักแน่นว่ารัฐบาลแบบนี้ไม่ใช่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เป็นเพียงรัฐบาลของระบอบทักษิณเท่านั้น

พฤติกรรมเผด็จการทรราชปรากฏชัดเจนเมื่อครั้งเตรียมการล้อมปราบการชุมนุมของประชาชนแบบแตกหัก และยิ่งชัดเจนขึ้นจากพฤติกรรมข่มเหงรังแกข้าราชการและประชาชนของรัฐตำรวจ

ล่าสุดก็แสดงพฤติกรรมเผด็จการทรราชเพิ่มขึ้นอีกด้วยการคิดที่จะปิดหูปิดตาประชาชน โดยการหาช่องทางทุกวิถีทางเพื่อปิดเอเอสทีวีให้จงได้

คำพูดของนายสมัคร สุนทรเวช อย่างน้อยสองวาระที่กล่าวหาถึง 8 ครั้งว่าเอเอสทีวีปลุกระดมโจมตีด่าว่ารัฐบาลโดยได้รับการคุ้มครองจากศาล ซึ่งหมายถึงศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุด

คำพูดเช่นนี้ดูไปแล้วหมิ่นเหม่ที่จะเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เพราะใคร ๆ ที่ฟังก็อาจเข้าใจไปได้ว่าเป็นการกล่าวหาศาลปกครองว่าให้ความคุ้มครองเอเอสทีวีให้โจมตีด่าว่ารัฐบาลตลอด 24 ชั่วโมง

ถ้าเกิดความเข้าใจเช่นนี้ก็น่าจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล จึงควรที่ผู้บริหาร เอเอสทีวีจะได้แถลงให้ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้ทราบคำพูดของนายสมัคร สุนทรเวช และขอให้ศาลได้พิจารณาว่าคำพูดเช่นนั้นเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่

ถ้าไม่ก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นการละเมิดอำนาจศาล ศาลย่อมมีอำนาจที่จะเรียกนายสมัคร สุนทรเวช มาพิจารณาไต่สวนแล้วจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาลได้!

ดังนั้นจึงน่าห่วงใยและขอติงเตือนนายสมัคร สุนทรเวช ให้สังวรในการพูดเรื่องแบบนี้ไว้ให้จงหนัก

ที่สำคัญ ข้อความที่พูดนั้นก็เป็นการปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ และแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่คนระดับนายกรัฐมนตรีมีนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน จึงทำให้เกิดการพูดเชย ๆ และไม่เข้าท่า เพราะผิดพลาดในสาระสำคัญอย่างยิ่ง

คนที่อ่านหนังสือพิมพ์หรือฟังข่าวตลอดมาย่อมจำได้ว่าเมื่อต้นปีนี้ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาแล้วว่าเอเอสทีวีถ่ายทอดรายการได้ และไม่เป็นความผิด กรมประชาสัมพันธ์ต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ซึ่งศาลได้พิพากษาให้กรมประชาสัมพันธ์ชดใช้ค่าเสียหายแก่เอเอสทีวีไปแล้ว

ดังนั้นการถ่ายทอดรายการของเอเอสทีวีตั้งแต่ต้นมาจึงเป็นการถ่ายทอดโดยมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่จะทำได้

ความจริงนายสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นนักกฎหมาย ย่อมรู้ว่าเมื่อศาลได้ให้ความคุ้มครองชั่วคราวให้ถ่ายทอดเอเอสทีวีได้ และต่อมาศาลมีคำพิพากษาว่าการถ่ายทอดนั้นไม่เป็นความผิดแล้ว การถ่ายทอดเอเอสทีวีย่อมเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่ใช่ถ่ายทอดด้วยการคุ้มครองของศาลดังที่กล่าวหา

นั่นเป็นเรื่องของความเชยและความตกยุคไม่ทันต่อความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปของคนแบบนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเพียงแค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อกอบกู้วิกฤตของชาติบ้านเมืองได้ เพราะเรื่องกระจอกงอกง่อยแค่นี้ก็ยังรู้ผิดหลงผิดอยู่ได้

แล้วกระบวนการที่คิดอ่านจะปิดเอเอสทีวีที่กำลังดำเนินอยู่นี้ก็คือการแสดงความโง่เขลาและแสดงพฤติกรรมย่ำยีรัฐธรรมนูญ ตลอดจนบทกฎหมายของบ้านเมืองให้ประชาชนทั่วประเทศได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง

ในเรื่องนี้ดูเหมือนว่ากรมประชาสัมพันธ์ตระหนักในหน้าที่รับผิดชอบของตนเองดีแล้วว่าเอเอสทีวีมีสิทธิ์ถ่ายทอดได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเหตุผลแห่งคำพิพากษาของศาลมีความชัดเจน ทั้งกรมประชาสัมพันธ์ก็หมดอำนาจหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องวิทยุกระจายเสียงไปแล้ว จึงโบ้ยให้เป็นเรื่องของตำรวจ

รัฐตำรวจในระบอบเผด็จการทรราชก็กำลังรับลูก กำลังแสวงหาหนทางที่จะปิดเอเอสทีวีให้จงได้ จึงต้องขอเตือนฝ่ายตำรวจให้ตระหนักและสังวรไว้ให้จงดี

ตำรวจควรจะได้รู้ถึงอำนาจหน้าที่และวิธีการถ่ายทอดของเอเอสทีวีเสียก่อน จะได้ไม่หลงโง่หรือทำอะไรผิด ๆ ตามรัฐบาลหุ่นเชิดแล้วไปทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และ ในที่สุดก็อาจต้องติดคุกในวันข้างหน้า

เหมือนกับกรณีการสั่งไม่ฟ้องเรื่องที่ คตส. กล่าวหาว่ามีการดูหมิ่นเจ้าพนักงานโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผนนั้น ระวังให้ดีเถิดว่าจะเป็นความผิดในกระบวนการยุติธรรมที่ใช้อำนาจหน้าที่ช่วยเหลือคนผิดไม่ให้ต้องรับผิด ซึ่งมีโทษจำคุก 6 เดือนถึง 7 ปี และในส่วนที่ไปแกล้งออกหมายจับ คตส. นั้นอาจเป็นความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 200 วรรคสอง ที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งคงจะได้เห็นดีเห็นชั่วกันในไม่ช้านี้

ก็ขอบอกพวกตำรวจที่รับงานมาปิดเอเอสทีวีให้ได้รู้ทั่วกันว่า

ประการแรก
ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่าเอเอสทีวีมีสิทธิ์ถ่ายทอดรายการได้

ดังนั้นความพยายามใด ๆ ที่จะบิดเบือนกฎหมายหรือข้อเท็จจริงเพื่อปิดเอเอสทีวีย่อมเป็นความผิดทางอาญา ทางวินัย และทางแพ่ง

ที่สำคัญ อย่าได้ริอ่านแอบนำคดีไปฟ้องยังศาลต่างจังหวัดแบบที่เคยขอออกหมายจับอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นอันขาด เพราะคราวนี้คงจะได้เห็นดีเห็นงามเป็นแน่

รัฐธรรมนูญและกฎหมายได้คุ้มครองบุคคลอื่นไว้แล้ว นั่นคือหากบุคคลใดได้รับความเสียหายจากการพูดการจาของใครก็ตาม ย่อมมีสิทธิ์ที่จะดำเนินคดีเอากับผู้นั้น

แต่ไม่มีสิทธิ์และอำนาจใด ๆ ที่จะไปปิดสื่อได้ นี่เป็นรัฐธรรมนูญที่คุ้มครอง หากใครฝ่าฝืนก็ต้องรับโทษสถานหนัก

ประการที่สอง
การถ่ายทอดรายการของเอเอสทีวีไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายเกี่ยวกับวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ทั้งกฎหมายนั้นก็ยกเลิกไปแล้ว และหน่วยงานที่มีอยู่ก็ไม่มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์กระจายเสียงแต่ประการใด

การถ่ายทอดรายการของเอเอสทีวีไม่เหมือนกับการถ่ายทอดรายการของฟรีทีวี เช่น การถ่ายทอดรายการของช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 หรือช่อง 11 ซึ่งต้องใช้คลื่นวิทยุโทรทัศน์ และต้องเป็นการใช้คลื่นวิทยุโทรทัศน์ในประเทศไทยด้วย

การถ่ายทอดรายการของเอเอสทีวีไม่ได้ใช้คลื่นวิทยุโทรทัศน์ เพราะประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน และบางขั้นตอนก็ไม่อยู่ในบังคับกฎหมายของประเทศไทย กล่าวคือ

ขั้นตอนที่หนึ่ง
เป็นขั้นตอนการจัดทำรายการ เช่นการแสดงบนเวที การอภิปราย การปราศรัย เป็นต้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับเอเอสทีวี แต่เป็นเรื่องของผู้จัดรายการนั้นๆ ที่ต้องรับผิดชอบเอง

ขั้นตอนที่สอง เป็นขั้นตอนการถ่ายทำรายการที่ใช้กล้องบันทึกรายการ ขั้นตอนนี้ไม่ผิดกฎหมายอะไรทั้งนั้น และไม่อยู่ในบังคับกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนกับการมีกล้องถ่ายวิดีโอแล้วจะไปถ่ายอะไรที่ไหนย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำได้

ขั้นตอนที่สาม เป็นขั้นตอนการส่งข้อมูลที่ถ่ายทำ ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้สามารถรวมภาพ เสียง และข้อมูลรวมกันเป็นฐานข้อมูล แล้วส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังต่างประเทศโดยทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งการส่งข้อมูลก็ดี การใช้บริการอินเทอร์เน็ตก็ดี เป็นกิจกรรมปกติที่ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีใครจะห้ามปรามการส่งข้อมูลหรือการใช้บริการนี้ได้ ดังที่ศาลปกครองได้พิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว

ขั้นตอนที่สี่ เป็นขั้นตอนที่บริษัทซึ่งให้บริการดาวเทียมในต่างประเทศส่งข้อมูลจากภาคพื้นดินในต่างประเทศขึ้นไปยังดาวเทียมที่โคจรอยู่ในอวกาศ ซึ่งข้อมูลนั้นเมื่อถึงดาวเทียมแล้วก็กระจายถ่ายทอดไปยังพื้นที่ที่ดาวเทียมดวงนั้นมีรัศมีทำการ เป็นการกระทำในต่างประเทศและในอวกาศ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายในประเทศไทย รัฐบาลไทยไม่มีสิทธิ์ไปห้ามปรามหรือเกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูลขึ้นไปยังดาวเทียมดังกล่าว

ขั้นตอนที่ห้า เป็นขั้นตอนที่มนุษย์บนพื้นโลกรับสัญญาณที่ส่งมาจากดาวเทียม ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ว่ามนุษย์ในประเทศไหนมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะรับสัญญาณดาวเทียมใด ๆ ก็ได้ ดังเช่นการรับสัญญาณโทรทัศน์ BBC หรือ CNN หรืออัลจาซีร่าห์ หรือ CCTV รวมทั้งเอเอสทีวี ที่คนไทยและพลโลกสามารถรับได้โดยทั่วไป รัฐบาลไทยไม่มีสิทธิ์ไปห้ามปรามประชาชนในการรับสัญญาณจากดาวเทียมเพื่อชมรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมรายการใดๆ ได้

ทั้งห้าขั้นตอนดังกล่าวนี้ไม่มีขั้นตอนไหนที่ผิดกฎหมาย และไม่มีขั้นตอนไหนที่รัฐบาลจะห้ามปรามหรือเอาผิดตามกฎหมายใดๆ ได้

และทั้งห้าขั้นตอนนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคงหรือกฎหมายอาญา ดังนั้นจึงอย่าไปริอ่านบิดเบือนกฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งปิดเอเอสทีวีเป็นอันขาด

ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งหลาย รวมทั้งตำรวจที่เป็นตำรวจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งหลาย ควรที่จะได้เคารพต่อรัฐธรรมนูญและบทกฎหมาย จึงจะทำให้ขื่อแปของบ้านเมืองแข็งแรงมั่นคง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้

หากไม่ยึดมั่นในความถูกผิดชั่วดี มุ่งแต่จะสนองความต้องการของนักการเมืองโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้ว คนที่ได้รับความเดือดร้อนที่แท้จริงก็คือประชาชน รวมทั้งผู้ปฏิบัติที่รับใช้นักการเมืองนั่นเอง

ตัวอย่างของนายตำรวจหลายคนดังเช่น โอ๋ สืบ 6 ควรเป็นตัวอย่างให้ตำรวจทั้งหลายได้ตระหนักสังวรและอย่าเดินซ้ำรอยเส้นทางสายนี้อีก!

พวกนักการเมืองนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นมาก็หนีไปต่างประเทศ เพราะเขามีเงิน มีฐานะ แล้วพี่น้องตำรวจล่ะจะหนีไปไหน? จะเปลี่ยนสีแปรธาตุได้เสมอไปหรือ? แล้วเรื่องอันใดจะไปเสี่ยงแบกรับความรับผิดชอบมากมายขนาดนี้

ยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องจะดีกว่า แม้ว่าอาจจะถูกสั่งย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ก็เป็นเพียงชั่วคราว ในที่สุดความดีความงามก็จะตามสนองความดีนั้น เพราะความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายไม่อาจคงทนอยู่ได้ในแผ่นดินนี้ดอก

ปิดเอเอสทีวีวันไหน คงจะได้เห็นประชาชนนับล้าน ๆ คนออกมาเหยียบพวกเผด็จการหุ่นเชิดอย่างแน่นอน!
กำลังโหลดความคิดเห็น