xs
xsm
sm
md
lg

"หมัก"เหิมหาช่องใช้อำนาจฟัน ASTV สุดอดสูรัฐตำรวจอุ้ม"ชินวัตร"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คตส.แฉ กองปราบฯทำพิลึกส่งคดีแจ้งความตระกูล"ชินวัตร" ให้อัยการสูงสุดแล้ว แต่กลับไม่ยอมบอกรายละเอียด จี้ "ผบ.ตร." แจงด่วน ขณะที่ตำรวจมีมติสั่งไม่ฟ้องคดี ที่ "แก้วสรร" ให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่กองปราบฯ ดำเนินคดีกับครอบครัว "ชินวัตร" และสำนักกฎหมายนิติเอกราช ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ด้าน "แก๊งลูกกรอก" นั่งไม่ติดขู่เปิดสภาวิสามัญฯดันแก้ กม.ความถี่ตั้ง กสทช. ฟัน"เอเอสทีวี" ไฟเขียว สตช.ร่วมวงฟ้อง ด้านพันธมิตรฯยกระดับการต่อสู้ ประกาศมาตรการอารยะขัดขืน ตอบโต้ ข้าราชการทรยศชาติ "สนธิ"ลั่นเปิดโปงหลักฐานความชั่วช้าของ กกต.วันนี้

วานนี้ (10 มิ.ย.) นายสัก กอแสงเรือง ในฐานะโฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยถึงกรณีทำหนังสือสอบถามไปยังกองปราบปราม ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเกี่ยวกับบุคคลในตระกูล "ชินวัตร" ถูก คตส.แจ้งความดำเนินคดีหลายกรณี ว่า กองปราบปรามเพิ่งแจ้งให้ คตส.ทราบในช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้ชี้แจงว่า คดีทั้งหมดได้ส่งให้อัยการสูงสุดไปแล้ว แต่เมื่อ คตส.ถามว่าได้ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลที่ คตส.แจ้งความดำเนินคดี รวมถึงมีการขอออกหมายจับ และเหตุผลของการส่งฟ้องต่ออัยการสูงสุด ทางกองปราบปรามก็ไม่สามารถที่จะให้รายละเอียดได้

"คตส.ก็แปลกใจเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นโจทก์ฟ้อง กลับไม่รับทราบความคืบหน้าของคดี แต่ในทางกลับกัน คดีที่ คตส.ถูกฟ้อง กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบดำเนินการ ซึ่งในทางกฎหมาย ประเด็นการฟ้องกลับในคดีหมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยรับฟ้อง เพราะจะเป็นการฟ้องกันไปมาไม่รู้จักจบ แต่ปรากฏว่า กองปรามปราม กลับรีบดำเนินการกับ คตส. อย่างเร่งด่วน"

นายสัก กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ คตส.ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดกองปราบปราม จึงได้ดำเนินการเช่นนี้ ดังนั้น เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา คตส.จึงได้ส่งหนังสือลงนามโดย นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ถึง ผบ.ตร.เพื่อทราบความคืบหน้าคดีที่ คตส.ได้แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลในตระกูลชินวัตร พร้อมทั้งขอรายละเอียดว่า ได้ออกหมายเรียกให้มาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเมื่อไร

"หากไม่มี จะมีการออกหมายเรียกซ้ำหรือไม่ และมีการออกหมายจับ โดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนเหมือนกับที่ คตส.โดนในขณะนี้หรือไม่ ซึ่งแต่ละคดีที่ คตส.ได้แจ้งความไปนั้นเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีความคืบหน้าแต่อย่างใด" นายสัก กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คตส.ได้แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกอบด้วย กรณีคุณหญิงพจนมาน ชินวัตร ภริยา จงใจขัดหมายเรียกไม่ยอมมาให้ข้อมูลกับ คตส.ในคดีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หลังจากขอเลื่อนมาแล้ว 5 รอบโดยอ้างติดภาระกิจในต่างประเทศ

กรณีนายพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว กรณีเดินทางมาพบ คตส. แต่ไม่ยอมให้ปากคำ โดยมีเจตนาจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน รวมถึงทีมทนายหลายคน โดยทั้งหมดมีความผิดจงใจขัดหมายเรียกมาให้ข้อมูลต่อ คตส. ซึ่งออกตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 5 ประกอบ รัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 25 (1) และ มาตรา 79 และ ตามระเบียบ คตส. ข้อ 14 (7) และข้อ 19 ที่ระบุว่าผู้ได้ขัดหมายเรียก มีความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 118 มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังมีคดี คตส.ฟ้องบริษัทสำนักงานกฎหมายนิติเอกราช จำกัด ได้ส่งหนังสือแจ้งยัง คตส. เมื่อวันที่ 3 ก.ค.50 เพื่อให้ยุติการละเมิดและให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ที่กล่าวหาว่า คตส. มีเจตนามุ่งหมาย เจาะจง กลั่นแกล้ง เลือกปฏิบัติ จนทำให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียหาย จึงได้เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 17 ต.ค.50 แต่ต่อมาสำนักงานกฏหมายนิติเอกราช แจ้งความกลับ จนนำไปสู่การออกหมาย เรียกครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 มิ.ย.ซึ่งจะนำไปสู่การขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป

ชี้ความดีจะคุ้มครอง คตส.

พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก ผบ.ทอ.กล่าวว่า วันนี้(11มิ.ย.) จะมีการประชุม ผบ.เหล่าทัพโดย ผบ.ตร. จะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม ซึ่งการประชุมจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันธรรมดา

ส่วนการพูดคุยของ ผบ.เหล่าทัพ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีการพูดคุยเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างใหม่กระทรวงกลาโหม แต่ก็มีการหารือ แลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย ถึงสถานการณ์ของม็อบต่างๆ ที่สนับสนุน และต่อต้านรัฐบาล เพราะถือเป็นภาระที่เราจะต้องติดตาม ทั้งนี้โดยทั่วไปเป็นอำนาจของตำรวจ ซึ่งรัฐบาลต้องใช้ตำรวจในการรักษาความสงบภายในประเทศ ยกเว้นที่เป็นภาวะวิกฤติ ที่ตำรวจทำไม่ได้ ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การใช้ทหาร จะต้องมีการสั่งการที่ถูกต้องตามระเบียบที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัญหาการเมือง ดังนั้นจะต้องใช้วิธีทางการเมืองแก้ไข เช่น ทางสภา หรือทางต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

ต่อข้อถามถึงการทำงานของ คตส. ที่เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ต้องห่วงท่านหรอก ท่านทำงานของท่านเต็มที่อยู่ และเมื่อครบกำหนด ก็จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา ทุกท่านก็พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว

เมื่อถามว่า ดูแล้วเป็นลักษณะมวยล้มหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่าไม่ล้มหรอก เพราะขณะนี้ผลการทำงานของ คตส. ก็ออกมาแล้ว

เมื่อถามว่า ดูแล้วผลงานการทำงานไม่สะเด็ดน้ำ พล.อ.อ.ชลิต ล่าวว่า สะเด็ดน้ำหรือไม่สะเด็ดน้ำ ตนว่าต้องรอให้ศาลท่านพิจารณา เราคงไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดความสะใจ แต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมในการพิจารณาคดีต่างๆ ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงหรือไม่คณะกรรมการ คตส. จะถูกเช็คบิลจากฝ่ายที่มีอำนาจ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ถ้าทุกคนทำในสิ่งที่ดีให้กับประเทศชาติแล้ว เชื่อว่าความดีจะคุ้มตัว

ปชป.ชงร่าง ต่ออายุ คตส.

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คณะกรรมการ คตส.สมควรได้รับการต่ออายุการทำงานออกไป และตนเตรียมที่จะนำเรื่องนี้เสนอให้ที่ประชุม ส.ส.พรรคได้พิจารณา เนื่องจากจะต้องออกเป็นร่าง พ.ร.บ. ทั้งนี้ คตส. ต้องทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นพนักงานสอบสวน และเป็นโจทก์ร่วมในคดีทุจริตที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล ซึ่งถ้าไม่ดำเนินการเช่นนี้ ความขัดแย้ง และการเผชิญหน้า ก็ยังจะคงอยู่ เพราะฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ไม่เชื่อว่ารัฐบาลนี้ จะเป็นกลางในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง จะเห็นได้จาก กรณีมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว เช่น การย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ น.ส.กัญญานุช สอทิพย์ อธิบดีกรมบังคับคดี หรือแม้แต่การดิสเครดิต คตส. ด้วยวิธีการต่างๆ

ดังนั้น คตส.ควรที่จะต้องอยู่ทำงานให้เสร็จและรับผิดชอบต่อสำนวนคดีที่ได้ส่งฟ้องศาล และจะเป็นโอกาสของฝ่ายที่ตกเป็นจำเลย และผู้ถูกกล่าวหา ในการต่อสู้คดี พรรคประชาธิปัตย์อยากให้กำลังใจ คตส.ได้ทำงานต่อไป เพราะ คตส.ทำงานด้วยความยากลำบากและเสียสละ

ดังนั้น ทุกฝ่ายควรที่จะให้กำลังใจและสนับสนุนรวมทั้งรัฐบาลและทุกพรรคการเมือง เพราะการตรวจสอบของ คตส. เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การพิจารณาการทุจริตในชั้นศาล จะทำให้ฝ่ายที่สนับสนุน หรือตกเป็นเครื่องมือของระบอบทักษิณ ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวอีกต่อไป ดังนั้น เรียกร้องให้ ส.ส.และ ส.ว. ควรที่จะให้การสนับสนุนในการผ่านกฎหมาย ต่ออายุการทำงานของ คตส. เพื่อให้การพิสูจน์ความถูกผิดในชั้นศาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่

จวกพวกใช้อำนาจรัฐเช็กบิล คตส.

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การที่ คตส.ถูกตามเช็คบิลจากอำนาจรัฐถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะงานที่ คตส.กำลังตรวจสอบคดีทุจริตของรัฐบาลทักษิณ และคณะถือได้ว่า เป็นกระบวนการหนึ่งในการพิสูจน์ความถูกผิดของระบอบทักษิณ ที่เป็นปมเงื่อนสำคัญที่จะถอดชนวนวิกฤติการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 3 ปี ซึ่งรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน สมควรที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองว่าการทำงานของ คตส.จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพิพากษาคดีในการทุจริตในระบอบทักษิณ

ดังนั้น การทำงานของ คตส.จึงเป็นเพียงขั้นตอนของการสอบสวนจัดทำสำนวนคดี ซึ่งหากว่า คตส. ถูกกลั่นแกล้ง แทรกแซง หรือบิดเบือนสำนวนสอบสวนในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใด ก็จะถูกมองว่ามีอำนาจแฝงเร้นเหนือรัฐบาล ในการดิสเครดิตสกัดกั้นการทำงานของ คตส. ซึ่งจะทำให้กระบวนการพิสูจน์ความถูกผิด คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะหยุดชะงัก ซึ่งจะทำให้ฝ่ายที่คัดค้านระบอบทักษิณ ยังมีความชอบธรรมในการแสดงความไม่เห็นด้วย ต่อการใช้อำนาจรัฐ เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะซึ่งจะทำให้ปมความขัดแย้งยังดำรงอยู่ ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องสนับสนุนการทำงานของ คตส.ต่อไป

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การที่เมื่อ คตส.หมดวาระ การทำงานไปแล้วก็สามารถโอนคดีที่ยังค้างส่งต่อไปให้สำนักงาน ป.ป.ช.ทำต่อได้นั้น เห็นว่าเรื่องการโอนคดี เราเคยมีความผิดพลาดมาแล้ว เพราะการโอนคดีให้ ป.ป.ช.นั้น อาจจะมีข้อจำกัดของ ป.ป.ช.เอง โดยเฉพาะเรื่องอำนาจการตรวจสอบทางกฎหมาย ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น กรณีคดีการปกปิดโครงสร้างหุ้น บริษัท เอสซีแอสเสท ซึ่งเป็นประเด็นคอขาดบาดตาย และเป็นปมมัดที่มีคำถามมานานกว่า 7 ปี กรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์ค และบริษัท แอมเพิล ริช ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ติดตามตรวจสอบมาตั้งแต่ปี 44 ซึ่ง ปปง. ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ป.ป.ช.ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า ใครคือเจ้าของบริษัทดังกล่าวที่จดทะเบียนอยู่ในหมู่เกาะบริชติชเวอร์จิ้น ไอแลนด์ แต่ความลับได้เปิดเผยออกมาเมื่อมี คตส. ซึ่งมีอำนาจเพียงพอในการแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งในและต่างประเทศ จนทราบว่าเจ้าของบริษัทลึกลับทั้งสองคือ พ.ต.ท.ทักษิณ

ทั้งหมดนี้คือเงื่อนตาย ที่เป็นเชือกแขวนคอ พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะ ตัวอย่างที่แสดงถึงผลการสอบสวนดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการพิจารณาคดีการทุจริต ถ้าเราให้ความสำคัญกับการพิจารณาข้อเท็จจริง และยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้น และยอมรับต่อคำพิพากษาของศาลที่จะเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงดังกล่าว การเผชิญหน้าและวิกฤติทางการเมืองก็จะยุติลงได้

"ข้อเท็จจริงกรณีบริษัท วินมาร์ค และบริษัทแอมเพิลริช คือกุญแจไขไปสู่ความลับของการปกปิดทรัพย์สิน และผลประโยชน์ทับซ้อน ตั้งแต่คดีซุกหุ้นจนมาถึงการขายบริษัทชิน คอร์ป ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือเป็นหัวใจของคดีทุจริตทั้งหมดในระบอบทักษิณ" นายอลงกรณ์ กล่าว

ปชป.ตั้งคณะทำงานหนุน คตส.

ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ เปิดเผยว่า ในการประชุม ส.ส.โดยได้เสนอประเด็นการออก พ.ร.บ.ต่ออายุการทำงานของ คตส.ออกไปอีก 1 ปี โดยที่ประชุมเห็นว่าการต่ออายุ คตส. เป็นเรื่องยาก ที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะเห็นชอบ จึงมีมติให้ตั้งคณะทำงานติดตามการทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของ คตส.ซึ่งมีนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน

โดยคณะทำงานนี้มีหน้าที่ 1.ดูประเด็นว่าทำอย่างไรในการดูแลสำนวนการสอบสวนของ คตส.ทั้งที่สรุปผลแล้วและอยู่ในขั้นตอนของอัยการและในชั้นศาล เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสำนวนการสอบสวนดังกล่าวจะเข้าสู่กระบวนการศาลอย่างถูกต้อง และ 2.กรณีที่ คตส.สิ้นอายุแล้วต้องโอนคดีไป ป.ป.ช. ให้คณะทำงานดูว่า ป.ป.ช.มีข้อจำกัดอะไรบ้างในเรื่องอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไร ซึ่งอาจจะมีการหาช่องทางเสนอแก้กฎหมาย ป.ป.ช. เพื่อเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช.
 
"ประพันธ์"แนะ คตส.ฟ้องกลับรัฐ ตร.

นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พันธมิตรฯ กล่าวบนเวที ในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจออกหมายเรียก คตส.ว่า การดำเนินการของตำรวจครั้งนี้วิปริต ผิดปกติ ทั้งที่ คตส.เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีต่อสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสำนักงานลิ่วล้อระบอบทักษิณ

แต่ตำรวจกลับให้สำนักงานกฎหมายนั้นมาแจ้งความกลับ คตส.ตำรวจจึงออกหมายเรียก คตส. เรื่องนี้เป็นความชั่วร้าย และเลวร้ายอย่างมากของรัฐตำรวจ นายสัก กอแสงเรือง จึงต้องสั่งสอนกฎหมายให้ตำรวจได้รู้เสียบ้าง ตนอยากเสนอให้ คตส. ฟ้องตำรวจกลับด้วย เป็นการสั่งสอนอย่าให้คนเลวใช้อำนาจเถื่อน ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองนี้จะอยู่อย่างไร หากตำรวจใช้อำนาจเถื่อน บิดเบือนกฎหมายแบบนี้

"นาม"ขอเคลียร์ "บิ๊กป๊อก"

แหล่งข่าวจาก คตส.เปิดเผยว่า ในการประชุม คตส. เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมานายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส.ได้พูดในที่ประชุมถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในฐานะอดีตรองเลขาธิการ คมช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ คตส.ทำหนังสือแจ้งไปยังอดีตแกนนำ คมช. เรื่องที่กองปราบปรามออกหมายเรียกให้ คตส.ไปรายงานตัว แต่ พล.อ.อนุพงษ์ กลับให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ทราบในเรื่องนี้ ซึ่งนายนาม ไม่เข้าใจว่าทำไมพูดเช่นนั้นได้อย่างไร ทั้งนี้ ในที่ประชุมยังได้มีกรรมการ คตส.ท่านหนึ่งเสนอว่าต้องเคลียร์กับ พล.อ.อนุพงษ์ โดยตรง ซึ่งนายนาม จึงให้ คตส.ท่านนั้นต่อสายถึง พล.อ.อนุพงษ์ ทันที

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นายนาม ต้องใช้เวลาในการต่อสายอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งช่วงบ่าย หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางกลับจากการมาให้กำลังใจ คตส.แล้ว นายนามจึงได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ พล.อ.อนุพงษ์ โดยมีคนต่อสายตรงให้ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการติดต่อไปยังโทรศัพท์มือถือแล้ว แต่ผู้ติดตาม พล.อ.อนุพงษ์ กลับบอกว่าท่านยังไม่ว่าง โดยนายนามพูดไปทางโทรศัพท์ไปว่า ขอยืนยันว่าการที่ คตส.ทำหนังสือไปถึงนั้นไม่ต้อง การเรียกร้องเรื่องใดเป็นพิเศษ เพียงแต่แจ้งไปตามมารยาทเท่านั้น อีกทั้งประธาน คตส.ก็ มีอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อยด้วย

ตร.ไม่ฟ้อง"ตระกูลชินวัตร-ทนาย"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ คณะพนักงานสอบสวน คดีกองปราบปราม ที่แต่งตั้งโดย พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง นำโดย พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) ได้มีมติสั่งไม่ฟ้องคดีที่นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส.มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ กองปราบปราม ดำเนินคดีกับ ครอบครัวชินวัตร และสำนักกฎหมายนิติเอกราช ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เมื่อวันที่ 17 ต.ค.50 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ครอบครัวชินวัตร และสำนักงานกฎหมายนิติเอกราช ไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานแขวงพระนครเหนือแล้ว เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยจะต้องรอความเห็นของพนักงานอัยการว่า จะมีความเห็นพ้อง สั่งไม่ฟ้องตามพนักงานสอบสวน หรือมีความเห็นอื่นหรือไม่

ทั้งนี้ กองปราบปราม กำลังถูกคตส. มองว่าทำคดีช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะออกหมายจับคตส. หรือไม่ หลังจากขัดหมายเรียกกองปราบปรามในคดีที่ถูกสำนักงานกฎหมายเดียวกันนี้ แจ้งความจับฐานหมิ่นประมาท และกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา ซึ่งทั้งสองคดีมี พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำคนสำคัญในพรรคพลังประชาชน เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน

มีรายงานว่าในวันนี้ (11 มิ.ย.) พ.ต.อ.จารุวัฒน์ จะเรียกประชุมพนักงานสอบสวน ที่กองปราบปราม เพื่อหารือว่าจะเสนอศาลเพื่อออกหมายจับ คตส.หรือไม่

"พัชรวาท"ลั่นคดี คตส.ทำตามขั้นตอน

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีที่ คตส.ข้องใจถึงกรณีกองปราบปรามออกหมายเรียกให้ คตส. มารับทราบข้อกล่าวหาว่าไม่เป็นธรรมว่า การออกหมายเรียกเป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนในกระบวนการยุติธรรมปกติ ส่วนช่วงระยะเวลาของการสืบสวนหาข้อมูลก็เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน สำหรับเรื่องหมายจับเป็นอำนาจของศาลไม่ใช่อำนาจของพนักงานสอบสวน ซึ่งตนก็ยังไม่เห็นเอกสารที่ คตส. ส่งมาให้ตนตักเตือนกองปราบปราบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินคดีกับ คตส.เพราะเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า พนักงานสอบสวนต้องให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทุกคนเท่ากัน ส่วนจะยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือไม่มีใบสั่ง คงไม่ทราบ พูดถึงใบสั่งตนไม่ค่อยเข้าใจ แต่พนักงานสอบสวนทำตามขั้นตอนข้อกฎหมาย ถ้าผิดขึ้นตอน เจ้าพนักงานก็ผิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบก.ป.หัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดี คตส.ได้เดินทางเข้าพบ ผบ.ตร. คาดว่าน่าจะเป็นการหารือเกี่ยวกับการออกหมายเรียก คตส. มารับทราบข้อกล่าวหา

ยังไม่หมายเรียกแกนนำพันธมิตรฯ

เวลา 15.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.พัชรวาท, พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร ที่ปรึกษา (สบ.10) ทำหน้าที่รอง ผบ.ตร.ประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯบริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯ รวมถึงการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มเครือข่ายหนี้สินชาวนาที่เข้ามาปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวว่า ในส่วนของการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ผบ.ตร.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกนายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มความสามารถ ใช้ความอดทน อดกลั้นและความละมุนละม่อมโดยกำชับให้ดูแลทุกฝ่ายอย่างเต็มที่

พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า ผบ.ตร.ยังได้กำชับให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ที่มีประชาชนเข้าแจ้งความร้องทุกข์อันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เร่งรวบรวมพยานหลักฐานด้วยความรวดเร็วต่อเนื่อง โดยกำชับให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ส่วนการออกหมายเรียกนั้นขอยืนยันว่า ต้องเป็นไปตามกระบวนการ คือ มีการรวบรวมพยานหลักฐาน จนเชื่อได้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหากระทำผิดตามที่ถูกแจ้งไว้จริง ตำรวจจึงจะดำเนินการออกหมายเรียก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของพนักงานสอบสวน

ส่วนกรณีที่สื่อชนบางแขนงนำเสนอการชุมนุมที่พาดพิงถึงบุคคลที่ 3 ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความแตกแยกเพิ่มขึ้นนั้น พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ส่วนนี้จะประสานไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลสื่อมวลชนเพื่อประชุมสรุปรวมถึงหาแนวทางและกรอบในการนำเสนอข่าวที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

วอร์รูม พปช.ลั่นไม่ต่ออายุ คตส.

ที่พรรคพลังประชาชน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง หัวหน้าคณะทำงานติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯได้สรุปประเด็นว่าจะเห็นว่าข้อกล่าวหาของกลุ่มพันธมิตรฯที่ปักหลักชุมนุมนั้น ไม่อยู่กับร่องกับรอย เปลี่ยนแปลงตลอด จะเห็นข้อกล่าวหาจะนำไปสู่ข้อเรียกร้องให้นายกฯออก จนถึงการยุบสภา ซึ่งไม่เกี่ยวข้อกล่าวหากับนายกรัฐมนตรีปัจจุบันหากติดตามแผนดาวกระจายพันธมิตรฯไปเยี่ยม เพื่อนเก่า คตส.เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อและคาดไม่ถึง ต้องบอกว่าการทำงานของ คตส.ตั้งแต่ต้นเป็นไปตามกติกาที่กำหนดโดยคณะรัฐประหาร จะเกิดจากคณะรัฐประหารโดยตรงหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่เป็นสภาของคณะรัฐประหาร หรือเป็นกติกาที่เขียนจาก ส.ส.ร.เป็นคนที่พันธมิตรฯสนับสนุน

ดังนั้น จะบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ไปแทรกแซง คตส.และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นกติกาที่เขาเขียนทั้งหมด หรือเขียนให้พรรคพลังประชาชนแพ้การเลือกตั้ง แต่เมื่อพรรคพลังประชาชนชนะ การเลือกตั้งก็ไม่ได้แก้กติกาแล้วจะกล่าวหาว่าไปแทรกแซง คตส.ได้อย่างไร

"แล้วจะไปต่ออายุให้ คตส.ได้อย่างไร เพราะ คตส.เกิดมาตามประกาศ คปค.มาอายุ 1 ปีแต่ทำงานไม่ทัน สนช.ก็ต่ออายุครึ่งปีแล้ว ทั้งๆ ที่จะหมดอายุในวันที่ 30 มิ.ย.นี้เพราะทำงานไม่ทัน แล้วจะมาเรียกร้องให้รัฐบาลต่ออายุ คตส.ทำได้อย่างไรและเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลมาจากเลือกตั้ง จะไปต่ออายุให้องค์กรที่มาจากคณะรัฐประหารแล้ว จะบอกว่า คตส.จะหมดอายุก็จะเสียเวลาทำงานก็เหมือนการแสดงละครว่า คตส.ถูกรังแก" ร.ท.กุเทพ ย้ำ

"ชูศักดิ์"ขู่ดันแก้กม.ฟัน"เอเอสทีวี"

ส่วนกรณีสืบเนื่องจากที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ "สนทนาประสาสมัคร" ถึงสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม "เอเอสทีวี"ว่าเป็นช่องที่โจมตีรัฐบาล 24 ชั่วโมงและบอกเป็นนัยว่าอยากปิดสถานีนี้ แต่ทว่าได้รับความคุ้มครองจากศาลปกครองสูงสุดนั้น

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์รับลูกนายสมัคร ถึงความเป็นไปได้ในการที่รัฐบาลจะเสนอเรื่องไปยังศาลปกครองสูงสุดให้ยกเลิกสั่งระงับการให้คุ้มครองชั่วคราวสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ว่า เดิมกรมประชาสัมพันธ์เป็นโจทก์และมีอำนาจหน้าที่ในขณะนี้ แต่ตอนนี้มีร่างแก้ไข พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ.2543 และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม กำลังจะเสนอเข้าสู่สภาฯ

"กรมประชาสัมพันธ์ จึงอ้างว่าหมดหน้าที่การเป็นโจทก์ ที่จะสามารถทำได้ แต่ความจริงแล้วการประชุมสภาฯสมัยวิสามัญจะมีกฎหมายที่เข้าสู่สภาฯ ซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันและกำหนดไว้ชัดเจน ว่าคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และการสื่อสารแห่งชาติ (กสทช.) ที่จะตั้งขึ้นในการจัดสรรดูแลคลื่นความถี่ จึงมีการอ้างว่าตรงนี้เป็นช่องว่าง" นายชูศักดิ์กล่าว

เมื่อถามว่า ความชัดเจนกรณีทีวีดาวเทียม น่าจะเกิดหลังร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านสภาฯ นายชูศักดิ์ กล่าวยอมรับว่า ใช่! ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะยื่นเรื่องไปที่ศาลปกครองสูงสุด เพื่อดำเนินการกับเอเอสทีวี นายชูศักดิ์ กล่าวว่า คงดูว่าข้อกฎหมายควรเป็นอย่างไร ส่วนการที่สถานีโทรทัศน์ออกอากาศด่ารัฐบาลตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ทำให้รัฐบาลได้รับความเสียหาย แต่จะทำอะไรได้ เท่าที่ทราบรัฐบาลกำลังให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องศึกษาว่า มีความเป็นไปได้อย่างไร

ลิ่วล้อระบอบแม้วจ้องฟัดเอเอสทีวี

ขณะที่นายจุลยุทธ์ หิรัญวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี การเผยแพร่ภาพสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม "เอเอสทีวี" ว่า เป็นเรื่องของกรมประชาสัมพันธ์ ในการดูถึงกรณีการฟ้องร้องสามารถทำได้โดยตรง โดยต้องมารายงานให้ตนทราบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน ฉะนั้น การดำเนินการอย่างไรนั้น ตนไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของกรมประชาสัมพันธ์ แต่เป็นเพียงการบอกด้วยวาจาเท่านั้นเอง แต่เป็นลายลักษณอักษร ไม่ทราบ

เมื่อถามว่า การที่ศาลปกครอง คุ้มครองการออกอากาศของเอเอสทีวีแล้วทางเราจะพิจารณาเรื่องเนื้อหาการออกอากาศจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางกฎหมายได้หรือไม่ นายจุลยุทธ์ กล่าวว่า ขอให้คณะทำงานที่ดูแล ตนไม่สามารถตอบได้ มีฝ่ายกฎหมายดูแล อย่างที่เรียนแล้วว่า เรื่องไม่ได้ผ่านมาที่ตนเลย

ด้านนายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ด้านการศึกษาเรื่องกฎหมายไม่ต้องศึกษาเลย ทางกรมประชาสัมพันธ์ได้รับการร้องขอจากทางฝ่ายบ้านเมือง โดยข้อเท็จจริงในอดีต กรมประชาสัมพันธ์เคยฟ้องร้องเรื่องการออกอากาศ เนื่องจากตั้งขึ้นมาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งศาลปกครองได้คุ้มครองการออกอากาศของเอเอสทีวี ต่อมากรมประชาสัมพันธ์ได้ขอให้บริษัท กสท.จำกัด (มหาชน) ยกเลิกการเชื่อมโยงสัญญาณไฟเบอร์ออฟติก ไปขึ้นสัญญาณดาวเทียม ที่ฮ่องกง แล้วศาลยกคำร้อง เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ศาล ทางกรมประชาสัมพันธ์มีหน้าที่ให้ข้อมูลกับฝ่ายความมั่นคง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ไปพบฝ่ายความมั่นคง มอบข้อมูลหลักฐาน

"วันนี้กรมประชาสัมพันธ์ไม่มีอำนาจในฐานะเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต เนื่องจากปัจจุบัน พ.ร.บ. ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ 2551 มีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่งในมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้ยกเลิกกฎหมาย พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 วันนี้กรมประชาสัมพันธ์ไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตเปิดกิจการ แต่เรายินดีให้ความร่วมมือ ด้านข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่" นายเผชิญ กล่าว

เมื่อถามว่า การรวบรวมเอกสารให้ฝ่ายปกครอง หรือฝ่ายความมั่นคง คาดว่าจะสามารถเอาผิดในประเด็นไหนบ้าง นายเผชิญ กล่าวว่า ตรงนี้เรื่องการฟ้องร้อง ทุกอย่างอยู่ที่ศาล เพราะได้คุ้มครองการออกอากาศ ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายบ้านเมืองว่าจะเข้ารวบรวมหลักฐานเอกสารต่อไป ประเด็นต่างๆ ต้องถามคณะกรรมการ เนื่องจากตนไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการดังกล่าว ข้อมูลต่างๆ ไม่ต้องศึกษา เพราะมีข้อมูลพร้อมแล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้ เวลา 16.00 น.ได้มอบให้ผู้อำนวยการกองกฎหมายและระเบียบของกรมประชาสัมพันธ์ นำข้อมูลหลักฐานไปพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งต้องไปสอบถามว่า จะมีข้อมูล ข้อพิจารณาอย่างไร

เมื่อถามว่า ส่วนตัวมั่นใจในพยานหลักฐานว่าจะดำเนินการกับเอเอสทีวี ได้หรือไม่ นายเผชิญ กล่าวว่า เรื่องพยานหลักฐานอยู่ที่ทางเจ้าหน้าที่ดำเนินการว่าจะข้องเกี่ยงแง่กฎหมายข้อใด ต่อข้อถามว่า ข้อมูลที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามมายังกรมประชาสัมพันธ์ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับอะไร นายเผชิญ กล่าวว่า ข้อมูลทั้งหมดทั้งเรื่องข้อมูลกรมประชาสัมพันธ์ ฟ้องร้องเอเอสทีวี และคำพิพากษาของศาลปกครอง รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่ง เป็นข้อกฎหมายเดิม

เมื่อถามว่า ทางกรมประชาสัมพันธ์ ได้เสนอแนะเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงข้อผิดหรือไม่ นายเผชิญ กล่าวว่า ตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม เข้าใจว่าน่าจะมีการปรึกษาหารือกัน ตนไม่ทราบเข้าใจว่า หลังประชุม ครม.จะหารือกับผู้อำนวยการกองกฎหมายฯอีกครั้ง ทางเราคงจะไม่เข้าไปตัดสิน

ครม.เห็นชอบ ร่าง กม.คลื่นความถี่

ทางด้าน น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.... ซึ่งเป็นการแก้ไข พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2543 เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ระบุว่า องค์กรอิสระกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จะต้องเป็นองค์กรเดียว เป็นคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสช.) จากเดิมแบ่งเป็น 2 องค์กร คือ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสช.) และต้องทำให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 180 วัน หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา

แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม. เปิดเผยว่า นายสมัคร ได้หยิบยกวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เป็นวาระแรก ซึ่งปรากฎว่า ได้มีการอภิปรายกันหลายประเด็น โดยนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.อุตสาหกรรม และ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รมช.พาณิชย์ แสดงความกังวลเรื่องอำนาจของ กสช. ที่จะมีอำนาจมากเกินไป โดยเฉพาะกรณี กสช.ไม่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล จะมีบทลงโทษอย่างไร ซึ่งไม่มีบทลงโทษ แต่หากส่งเรื่องให้คณะกรรมการป.ป.ช. ก็จะไม่ตรวจสอบ เพราะไม่เข้าข่ายการทุจริต ดังนั้น การจะตรวจสอบ กสช.จะทำได้อย่างไร ขณะที่สำนักงานกฤษฎีกาชี้แจง ว่า ถ้ามีการกำหนดบทลงโทษไว้ องค์กรอิสระ ก็จะไม่มีความเป็นอิสระ เหมือนรัฐเข้ามาแทรกแซง ก็จะขาดความเชื่อถือในองค์กรอิสระนั้นได้

แหล่งข่าว กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องคุณสมบัติของกรรมการ กสช.ว่า ที่กำหนดไว้ว่า บุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งที่เกี่ยวกับกิจการวิทยุ โทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม ไม่ต่ำกว่า 5 ปี แต่นายสุวิทย์ กลับตั้งข้อสังเกตว่า สามารถเปลี่ยนเป็น 3 ปีได้หรือไม่ เนื่องจากมีเอกชน ท้วงติง และยังได้ทำหนังสือถึงนายสุวิทย์ด้วย

ข่าวแจ้งว่า บรรยากาศการอภิปรายเป็นไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทำให้นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมว่า หากเถียงกันไปมาอย่างนี้ เที่ยงก็คงไม่จบ จึงขอให้คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฏีกา รับข้อสังเกตต่างๆ ไปพิจารณาอุดช่องโหว่ จากนั้นให้เสนอไปทางสภา เพื่อจะได้ไปถกกันต่อในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎร

พันธมิตรฯ ประกาศอารยะขัดขืน

สำหรับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก เพื่อขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด ยังคงเป็นไปด้วยความคึกคัก และมีการยกระดับการต่อสู้ขึ้นอีกระดับหนึ่ง

โดยเมื่อเวลา 18.00 น.วานนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ขึ้นเวทีอ่าน ประกาศพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 1/2551 เรื่อง "มาตรการตอบโต้ข้าราชการที่ทรยศชาติ และเป็นปรปักษ์ต่อประชาชน" ซึ่งมีเนื้อหา เรียกร้องให้ข้าราชการ ผู้ซื่อสัตย์สุจริต ยืนหยัดในหน้าที่ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เป็นธรรม จากรัฐบาลหุ่นเชิด ขณะเดียวกัน ก็มี แนวทางการจัดการกับข้าราชการทึ่ทุจริต ยอมรับใช้ระบอบทักษิณ โดยละเลยหลักธรรมาภิบาล (อ่านประกาศพันธมิตรฯ หน้า 3 )

หลังการอ่านประกาศพันธมิตรฯ นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา ร่วมแถลงข่าวอีกครั้ง โดยนายพิภพ ย้ำว่า การแสดงออกของภาคประชาชนโดยการทำอารยะขัดขืน จะไม่สร้างผลกระทบให้กับประชาชนส่วนรวมแต่เป็นการแสดงออกเพื่อให้รู้ว่า การกระทำหรือคำสั่งของรัฐที่ไม่ยุติธรรมของรัฐเป็นอย่างไร หากพบว่าการกระทำของรัฐไม่มีความถูกต้องชอบธรรม ประชาชนจึงสามารถที่จะปฏิเสธได้

"รัฐธรรมนูญ ปี2550 ได้เปิดช่องให้ประชาชน สามารถฟ้องร้องกับศาลปกครองได้ และยังเป็นมาตรการที่เปิดช่องให้ประชาชนทำได้ เป็นการปิดกั้นคนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง หรืออกคำสั่งที่ไม่ยุติธรรม ดังนั้น ทุกคืนประมาณตี 2 จะมีการให้ความรู้ทางวิชาการกับประชาชนในเรื่องการทำ อารยะขัดขืน"

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะแกนนำของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย (สรส.) ตนและ ผู้นำแรงงานทั่วประเทศจะหารือกันในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ว่า จะมีท่าทีในเรื่องการทำอารยะขัดขืนอย่างไร โดยเฉพาะการประกาศหยุดงานของ สมาชิก สรส. ซึ่งถือว่าเป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรมทางกฎหมาย และหากมีการประทำที่รุนแรงกับพันธมิตรฯ การกลั่นแกล้งพันธมิตรฯ เราก็อาจจะมีการตอบโต้ตามมาตรการเบื้องต้น

"การประกาศปิดน้ำปิดไฟ เป็นการพูดคุยกันเบื้องต้น ประชาชนทั่วไปจะไม่เดือดร้อน เราอาจจะดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือไม่มีความยุติธรรม เช่น ทำเนียบรัฐบาล หรือกระทรวงการคลัง เป็นต้น"

นายสุริยะใส กล่าวว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการแสดงออกว่า เป็นมวลชน สามารถไปร้องกับศาลปกครองจังหวัด ศาลปกครองกลาง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งพันธมิตรฯ พร้อมที่จะให้คำปรึกษา จะมีข้อมูลในเรื่องของการทำอารยะขัดขืน เช่นเดียวกับที่พันธมิตรฯ เคยรณรงค์โนโหวตเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.49 จนมีคำสั่งจากศาลว่า เป็นการเลือกตั้งที่มิชอบ " การที่ประชาชนสามารถทำอารยะขัดขืนได้ เช่น ฟ้องร้องคำสั่งของอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ห้ามเคเบิลทีวี หรือวิทยุชุมชนไม่ให้ออกอากาศการเคลื่อนไหวของพันธมิตร ฯ คำสั่งการห้ามประชาชนในต่างจังหวัด เข้ามาร่วมชุมนุม"

นายสุริยะใส ยอมรับว่า จะมีการทยอยออกประกาศอารยะขัดขืนทุก 3 วัน โดยแกนนำพันธมิตรฯ จะหารือและแจ้งให้ประชาชนรับทราบเพื่อเป็นการพิทักษ์สิทธิของตัวเอง ดังนั้น เราจึงอยากให้ประชาชนมาใช้สิทธิมากกว่าที่ให้เป็นภาพว่า พันธมิตรฯเป็นผู้จัดฉาก

นายสุริยะใส ระบุว่าวันที่ 11 มิ.ย.นี้ จะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปกดดันรัฐสภา แม้จะมีการเปิดสมัยประชุมวิสามัญฯ ก็ตาม แต่หากจะเคลื่อนในลักษณะดาวกระจาย ก็อาจจะเคลื่อนไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

"จำลอง"จี้สำนึกลูกกรอก

เวลา 20.30 น.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯกล่าวบนเวทีบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า วันเวลาผ่านไปเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า สิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องแล้ว วันนี้ได้ข่าวคณะรัฐมนตรี(ครม.)ของประเทศเกาหลีใต้ประกาศลาออกทั้งคณะ ด้วยที่เป็นเหตุจุดประการให้ประชาชนออกมาประท้วงไม่ให้รัฐบาลนำเข้าเนื้อวัวจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพียงแค่นี้รัฐบาลเกาหลีก็ทนแบกหน้าบางๆ อยู่ไม่ได้ ต้องประกาศลาออกทันที

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลกำลังหมดท่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ส่งข่าวมาก่อกวนพันธมิตรฯ อยู่เรื่อยอาจจะจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง หรือแม้กระทั้งส่งผู้ก่อกวนมาก่อกวน สร้างให้เป็นเรื่องเป็นราวสบช่องหาทางประกาศกฎหมายที่ไม่สมควรมาใช้ปราบปรามพันธมิตรฯ ดังนั้นเราต้องยืนหยัดร่วมกันต่อสู่จนถึงที่สุด

นัดให้กำลัใจ 3 กกต.จันทร์

ต่อจากนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นกล่าว ในวันจันทร์นี้ (16 มิ.ย.) เวลา 10.00 น.พวกเราจะตั้งขบวนที่สนามศุภชลาศัย เพื่อเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้กำลังใจ กกต.จำนวน 3 คน คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.นายสุเมธ อุปนิสากร และ นายประพันธ์ นัยโกวิท ขณะเดียวกัน จะไปขับไล่ นายสมชัย จึงประเสริฐ ส่วน นางสดศรี สัตยธรรม เราไม่รู้จัก ลบออกจากสารบบไปแล้ว

"พรุ่งนี้ (11 มิ.ย.นี้) ผมจะแฉข้อมูลที่ชั่วช้าของ กกต.ที่พิสูจน์แล้วว่าเหมาะสมแล้วที่เราออกมาไล่ และถ้าได้ฟังข้อมูลเหมาะสมแล้วที่เราต้องทนเปียกฟ้าเปียกฝน" นายสนธิ ระบุ

นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ เป็นวันครบรอบ 62 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 62 ปี มีคนทั่วประเทศที่ดูเอเอสทีวีเท่านั้นที่จำได้ ขณะที่รัฐบาล ทหาร และตำรวจ ได้ทำอะไรบ้างหรือไม่ ดังนั้น พวกเราเท่านั้นที่เป็นทหารของพระราชา และพระราชินี พร้อมกันนี้ ได้ย้ำว่าจะต่อสู้ต่อไปจนถึงที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น