อินเด็กซ์ ชี้เทรนด์การใช้สื่อ สู้ภาวะเศรษฐกิจซบ ลูกค้าหันใช้ IMC มาร์เกตติงสูง ชูอีเวนต์นำ พร้อมต่อยอดการสื่อสารไปยังช่องทางอื่นๆ มองตลาดอีเวนต์ยังโตต่อเนื่อง ใครที่มีความแตกต่างได้เปรียบ ลูกค้าต่อรองราคาได้ยาก เชื่ออินเด็กซ์มาถูกทาง คุยครึ่งปีแรกรายได้โต 20% มั่นใจเป้า 12,000ล้านบาทปีนี้ คว้าได้แน่
นายเกรียงไกร กาญจนโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เทรนด์การทำตลาดในปัจจุบัน มองว่าแค่ใช้เครื่องมือในการทำตลาดเพียงชิ้นเดียวคงจะไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะผู้บริโภคเริ่มที่จะเคยชิน และต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับการทำการตลาดที่ลูกค้าสื่อสารออกไปมากขึ้น
ทั้งนี้พบว่าในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา การทำตลาดแบบ IMC มาร์เกตติง "Integrated Marketing Communication" ซึ่งเป็นการทำตลาดที่มีการผสมผสานระหว่างสื่อและกิจกรรมในการทำตลาดร่วมกันตั้งแต่ 2สิ่งขึ้นไปนั้น กำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่ลูกค้าหันมาใช้มากยิ่งขึ้น โดยรูปแบบการทำตลาดแบบ IMC นี้ ปัจจุบันพบว่า จะชูอีเวนต์เป็นหลักในการทำตลาด และจะมีการต่อยอดการรับรู้ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อร่วมอีกหลายๆสื่อ
สำหรับรูปแบบการทำตลาดแบบ IMC นี้ ที่ผ่านมาพบว่าผู้เล่นรายแรกๆของตลาดที่นำมาใช้ คือ กลุ่มสินค้าของยูนิลีเวอร์ ขณะที่ปัจจุบันลูกค้าหันมาใช้การทำตลาดแบบดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เพราะเริ่มเห็นถึงประสิทธิภาพ และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ขณะเดียวกันยังเป็นการทำตลาดที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย
"จากความต้องการของลูกค้า ทำให้พบว่าตลาดอีเวนต์ยังมีการเติบโตค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องของการตัดราคา หรือมีการต่อรองราคาการจัดงานก็ตาม แต่มองว่ารายใดที่มีการนำเสนอไอเดียที่ดีต่อลูกค้า ก็จะไม่ค่อยเจอปัญหาเรื่องของการต่อรองราคามากนัก แต่ถ้าลูกค้าเป็นคนคิดไอเดีย แล้วมาเสนอให้เราทำนั้น จะเจอเรื่องของการต่อรองราคาค่อนข้างสูงแทน"
นายเกรียงกานต์ กาญจนโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า จากการที่บริษัทฯวางตัวเองเป็นผู้ให้บริการรับจัดงานอีเว้นท์ ที่มีรูปแบบเป็นอินเตอร์แอกทีฟ หรือให้ผู้เข้าชมงานมีส่วนร่วมนั้น เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เดินมาถูกทางแล้ว ส่งผลให้รายได้ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โตขึ้น20% คิดเป็นมูลค่าถึง 459 ล้านบาท เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
โดยสามารถแบ่งรายได้ออกเป็น 1.ธุรกิจอีเว้นท์ ทำได้ 267 ล้านบาท โตขึ้น 20% จาก 223 ล้านบาทในปีก่อน และ2.ธุรกิจจากส่วนอื่นๆอีก 192 ล้านบาท โตขึ้น21% จาก 158 ล้านบาท ซึ่งอีกครึ่งปีที่เหลือนั้น คาดว่าจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้กว่า 12,000ล้านบาท หรือมีการเติบโตขึ้นอีก 15%
นายเกรียงไกร กาญจนโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เทรนด์การทำตลาดในปัจจุบัน มองว่าแค่ใช้เครื่องมือในการทำตลาดเพียงชิ้นเดียวคงจะไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะผู้บริโภคเริ่มที่จะเคยชิน และต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับการทำการตลาดที่ลูกค้าสื่อสารออกไปมากขึ้น
ทั้งนี้พบว่าในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา การทำตลาดแบบ IMC มาร์เกตติง "Integrated Marketing Communication" ซึ่งเป็นการทำตลาดที่มีการผสมผสานระหว่างสื่อและกิจกรรมในการทำตลาดร่วมกันตั้งแต่ 2สิ่งขึ้นไปนั้น กำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่ลูกค้าหันมาใช้มากยิ่งขึ้น โดยรูปแบบการทำตลาดแบบ IMC นี้ ปัจจุบันพบว่า จะชูอีเวนต์เป็นหลักในการทำตลาด และจะมีการต่อยอดการรับรู้ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อร่วมอีกหลายๆสื่อ
สำหรับรูปแบบการทำตลาดแบบ IMC นี้ ที่ผ่านมาพบว่าผู้เล่นรายแรกๆของตลาดที่นำมาใช้ คือ กลุ่มสินค้าของยูนิลีเวอร์ ขณะที่ปัจจุบันลูกค้าหันมาใช้การทำตลาดแบบดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เพราะเริ่มเห็นถึงประสิทธิภาพ และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ขณะเดียวกันยังเป็นการทำตลาดที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย
"จากความต้องการของลูกค้า ทำให้พบว่าตลาดอีเวนต์ยังมีการเติบโตค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องของการตัดราคา หรือมีการต่อรองราคาการจัดงานก็ตาม แต่มองว่ารายใดที่มีการนำเสนอไอเดียที่ดีต่อลูกค้า ก็จะไม่ค่อยเจอปัญหาเรื่องของการต่อรองราคามากนัก แต่ถ้าลูกค้าเป็นคนคิดไอเดีย แล้วมาเสนอให้เราทำนั้น จะเจอเรื่องของการต่อรองราคาค่อนข้างสูงแทน"
นายเกรียงกานต์ กาญจนโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า จากการที่บริษัทฯวางตัวเองเป็นผู้ให้บริการรับจัดงานอีเว้นท์ ที่มีรูปแบบเป็นอินเตอร์แอกทีฟ หรือให้ผู้เข้าชมงานมีส่วนร่วมนั้น เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เดินมาถูกทางแล้ว ส่งผลให้รายได้ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โตขึ้น20% คิดเป็นมูลค่าถึง 459 ล้านบาท เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
โดยสามารถแบ่งรายได้ออกเป็น 1.ธุรกิจอีเว้นท์ ทำได้ 267 ล้านบาท โตขึ้น 20% จาก 223 ล้านบาทในปีก่อน และ2.ธุรกิจจากส่วนอื่นๆอีก 192 ล้านบาท โตขึ้น21% จาก 158 ล้านบาท ซึ่งอีกครึ่งปีที่เหลือนั้น คาดว่าจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้กว่า 12,000ล้านบาท หรือมีการเติบโตขึ้นอีก 15%