xs
xsm
sm
md
lg

เทียนแห่งธรรมกับการบูรณาภูมิปัญญาเพื่อการกู้โลก (ตอนที่ 11)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

11. จอมคนของหวงอี้ (ต่อ)

จิต
ช่างวิเศษยิ่งนัก! จิตมนุษย์ นั้นช่างวิเศษแท้! เพราะการที่จิตใจมนุษย์นั้นเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเร็วอยู่ตลอดเวลา มีทั้งดีมีทั้งชั่ว เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งข้างเดียว มันจึงทำให้คนเราสามารถเรียนรู้เรื่องจิต สามารถเห็นความแปรปรวนของจิตได้โดยง่ายว่ามันเป็นไตรลักษณ์ คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาอยู่ตลอดเวลา

เพราะเหตุนี้แหละ ความเป็นมนุษย์ จึงเป็นทั้ง โอกาส และ ศักยภาพ ที่จะทำให้คนเราสามารถ “ปลดแอก” ตัวเองให้พ้นจาก อำนาจของความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ได้ ด้วยการฝึก จิต ให้มีสติรู้เท่าทัน ความเป็นจริงของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งดีและสิ่งประเสริฐเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะมันเป็นโอกาสให้คนเราได้ฝึกฝนตนเอง ฝึกจิตของตนเองเพื่อที่จะได้ปลดแอกตนเองจากกฎแห่งไตรลักษณ์

นี่คือ คุณค่าของการบำเพ็ญ (self cultivation) ที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ประเสริฐ และสามารถก้าวล่วงจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานในตนได้

การฝึกฝนตนเองเพื่อแปรเปลี่ยน พลังทางเพศ ให้กลายเป็น พลังปราณ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากของ การบำเพ็ญ และ การพัฒนาทางจิต ประสบการณ์ในการฝึกฝนเพื่อเปลี่ยน พลังทางเพศ ให้เป็น พลังปราณ ที่นำมาถ่ายทอดในที่นี้เป็นประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ กับปัจเจก และมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

หยินชื่อสือ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1872 ในวัยเด็กเขาเป็นคนที่มีร่างกายอ่อนแอและขี้โรค เมื่อเป็นวัยรุ่น บิดาของเขาจึงแนะนำให้เขาลองฝึก สมาธิเต๋า ที่เรียกว่า ลมปราณจุลจักรวาล (Microcosmic Orbit) เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ เมื่อเขาทดลองฝึกดู สุขภาพของเขาก็กลับมาดีขึ้นกว่าสมัยที่ยังเป็นเด็ก ครั้นเมื่อ หยินชื่อสือ ซึ่งเป็นปัญญาชนที่มีการศึกษา และมาจากครอบครัวที่พอมีฐานะคนหนึ่ง แต่งงานเมื่ออายุยี่สิบสองปี และคิดว่าสุขภาพของตัวเองดีขึ้นแล้ว เขาจึงเลิกฝึก สมาธิเต๋า และหันไปหลงใหลกับกิจกรรมทางเพศ ซึ่งทำให้สุขภาพของเขากลับมาย่ำแย่เหมือนกับสมัยเด็กๆ

ปลาย ค.ศ. 1899 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของพี่ชายคนรองของ หยินชื่อสือ ที่ป่วยตายด้วยโรคปัจจุบัน ประกอบกับการที่สุขภาพของเขาย่ำแย่ลงมากจนกระทั่งไอออกมาเป็นเลือด ทำให้ หยินชื่อสือ ได้คิดว่า ถ้าหากตัวเขายังคงใช้ชีวิตที่ขาดวินัยในการฝึกฝนตนเองอยู่เช่นนี้ ตัวเขาก็คงต้องอายุสั้นเป็นแน่

หยินชื่อสือ
จึงตัดสินใจแยกตัวเองจากครอบครัว ตัดขาดจากสังคมแล้วหันมาอาศัยอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ ที่สงบเงียบในแถบชานเมืองแห่งหนึ่ง คราวนี้ หยินชื่อสือ ปักใจแน่วแน่ว่าจะหันมาทุ่มเทตัวเองให้กับการฝึก สมาธิเต๋า อีกครั้ง และจริงจังกว่าเดิม ขณะนั้นเขามีอายุได้ยี่สิบแปดปีแล้ว

เมื่อ หยินชื่อสือ หันกลับมาฝึก สมาธิเต๋า อย่างทุ่มเทอีกครั้ง คราวนี้เขาฝึกตามตารางเวลาที่ตัวเขากำหนดขึ้นมาเองในแต่ละวันอย่างเคร่งครัด กล่าวคือ เขาจะตื่นขึ้นมาในตอนตีสี่ และลุกขึ้นมานั่ง สมาธิเต๋า บนเตียงนอนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปล้างหน้า แปรงฟัน และดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เล็กน้อย ก่อนออกไปเดินเล่นในตอนเช้าตรู่ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแสงอาทิตย์ยามเช้า

จากนั้น หยินชื่อสือ จะกลับมาที่ห้องพักในตอนแปดโมงเช้ารับประทานอาหารเช้า และพักผ่อนประมาณสองชั่วโมง ในช่วงเวลานั้น เขาจะอ่านคัมภีร์เต๋าของเล่าจื่อและจวงจื่อ และคัมภีร์ของศาสนาพุทธเป็นหลัก

พอถึงเวลาสิบโมงเช้า หยินชื่อสือ จะนั่ง สมาธิเต๋า เป็น รอบที่สอง เคล็ดของการฝึก สมาธิเต๋า เพื่อแปรเปลี่ยน พลังทางเพศ ให้กลายเป็น พลังปราณ นั้นอยู่ที่การกักลมหายใจกับการเพ่งจิตไปที่จุดตันเถียน บริเวณท้องน้อย หยินชื่อสือ ฝึกสมาธิเต๋าในรอบนี้จนถึงเที่ยง เขาจึงทานอาหารกลางวัน และหยุดพักจนถึงบ่ายสามโมง แล้วจึงเล่นดนตรีเพื่อการผ่อนคลาย หรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกอีกรอบหนึ่ง

ครั้นพอถึงเวลาหกโมงเย็น หยินชื่อสือ จะนั่ง สมาธิเต๋า เป็น รอบที่สาม จนถึงหนึ่งทุ่ม แล้วจึงทานอาหารค่ำเป็นมื้อเบาๆ และพักผ่อน พอถึงเวลาสามทุ่ม เขาก็จะนั่ง สมาธิเต๋า อีกครั้งเป็น รอบที่สี่ ก่อนที่จะเข้านอนในตอนสี่ทุ่ม ทำอย่างนี้อย่างเคร่งครัด และอย่างต่อเนื่องทุกวันมิได้ขาด

ในช่วงแรกๆ เนื่องจาก หยินชื่อสือ ใจร้อนอยากจะฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้นเร็วๆ เขาจึงประสบกับความยากลำบากในการทำสมาธิ เพราะความคิดของเขาจะฟุ้งซ่านมาก ยิ่งเขาพยายามจะหยุดคิด ความคิดของเขากลับยิ่งเตลิดไปใหญ่ แต่เนื่องจากคราวนี้ หยินชื่อสือ มีความมุ่งมั่นที่จะฝึกสมาธิและลมปราณโดยไม่ย่อท้อ และมีศรัทธาต่อ แนวทางเต๋า เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ และอายุวัฒนะอย่างแน่นแฟ้น เขาจึงยืนหยัดฝึกสมาธิต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว และอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยไม่ไปบีบคั้นจิต ไม่ไปเร่งรัด เร่งรีบเหมือนแต่ก่อน

สามเดือนต่อมา การฝึก สมาธิเต๋า ของ หยินชื่อสือ ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางกาย และจิตของเขาสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ง่ายยิ่งขึ้น อุปสรรคที่เขาเคยพบในตอนฝึกสมาธิช่วงแรกๆ ค่อยๆ หมดไป

หยินชื่อสือ เริ่มฝึก สมาธิเต๋า อย่างจริงจังอีกครั้งในวันที่ 4 เดือนเมษายน ค.ศ. 1900 เขาฝึกสมาธิเต๋าทุกวันตามตารางที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดโดยไม่ขาดตอน จนกระทั่ง การบำเพ็ญ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขา บัดนี้ หยินชื่อสือ เริ่มตระหนักได้ว่าสุขภาพของเขาฟื้นฟูขึ้น กำลังกลับมาดีขึ้นอย่างดีวันดีคืนจนเห็นได้ชัด เพราะเมื่อก่อนกำลังขาของเขาไร้เรี่ยวแรง แค่ออกไปเดินเล่นได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรก็เหนื่อยแล้ว แต่บัดนี้ เขาสามารถออกไปเดินเล่นได้ไกลถึงสิบกิโลเมตร โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด

หลังจากฝึก สมาธิเต๋า อย่างจริงจังได้เพียงสามเดือนเท่านั้น หยินชื่อสือ ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณท้องน้อยของเขา ในขณะที่ตัวเขากำลังนั่ง สมาธิเต๋า อยู่ ขณะนั้นเป็นตอนเย็นของวันที่ 25 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1900 เมื่อเขานั่ง สมาธิเต๋า ต่อไปอีกสามวัน คราวนี้ หยินชื่อสือ เริ่มรู้สึกได้ว่า พลังงานร้อนสายหนึ่งได้แล่นผ่านกระดูกก้นกบของเขาพุ่งขึ้นผ่านกระดูกสันหลังของเขาไปถึงกลางกระหม่อมส่วนบนสุดของศีรษะของเขา นี่เป็นวันที่แปดสิบห้าหลังจากที่ตัวเขาเริ่มกลับมาฝึกสมาธิเต๋าอย่างจริงจังอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่ตัวเขามีประสบการณ์เช่นนี้

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ ครั้งที่ หยินชื่อสือ นั่ง สมาธิเต๋า ตัวเขาจะรู้สึกได้เสมอว่า พลังงานร้อนสายนี้ได้ไหลพุ่งขึ้นมาที่ส่วนบนสุดของศีรษะเขาโดยผ่านเส้นทางเดียวกันนี้ จากนั้นพลังงานร้อนสายนี้ก็ไหลลงมาผ่านใบหน้า ลำคอ ทรวงอกก่อนที่จะไหลเวียนกลับคืนไปที่จุดตันเถียนบริเวณท้องน้อย เพื่อที่จะเริ่มไหลเวียนซ้ำในรอบใหม่อีก หยินชื่อสือ โคจรลมปราณจุลจักรวาลไหลเวียนรอบตัวเขา จากท้องน้อยไปสู่ก้นกบ ขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง จนไปถึงส่วนบนสุดของศีรษะ ก่อนที่จะไหลลงมาผ่านใบหน้า ลำคอ ทรวงอก และท้องน้อย โคจรอยู่เช่นนี้รอบแล้วรอบเล่า ก่อนที่จะออกจากสมาธิ บัดนี้ตัวเขาได้หายขาดจากโรคต่างๆ ที่เคยรุมเร้าตัวเขาและเคยสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ตัวเขาอย่างสิ้นเชิง

หยินชื่อสือ ฝึก สมาธิเต๋า อย่างเข้มงวดเช่นนี้เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็ม จนมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว เขาจึงกลับคืนสู่สังคมและออกไปทำงานเลี้ยงชีพ แต่เขาก็ยังคงฝึกสมาธิเต๋าอย่างสม่ำเสมอวันละ 2 รอบมิได้ขาด

หยินชื่อสือ เปลี่ยนไปแล้ว! จากคนที่ไม่เคยสนใจสุขภาพตัวเอง ไม่เคยใส่ใจเรื่องธรรมะ เรื่องจิตวิญญาณ บัดนี้เขากลายเป็น ผู้แสวงธรรม เต็มตัวจากการหัด สมาธิเต๋าเพื่อสุขภาพ ก็ค่อยๆ พัฒนาไปสู่การหัด สมาธิเต๋า และสมาธิพุทธเพื่อความรู้แจ้ง ใน ค.ศ. 1914 หยินชื่อสือ ในวัยสี่สิบสองปี จึงได้ตัดสินใจเขียนประสบการณ์ในการฝึก สมาธิเต๋า และ สมาธิพุทธ หลังจากนั้นของเขาออกมาเพื่อประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง

จากแค่ประสบการณ์จริงๆ ของ หยินชื่อสือ ที่ยกมาข้างต้นเพียงคนเดียว ก็คงพอทำให้เห็นได้แล้วกระมังว่า วิชาลมปราณและกำลังภายใน ที่บรรยายใน วรรณกรรมกำลังภายใน ของ หวงอี้ และในหนังสือนิยายกำลังภายในทั้งหลายนั้น มันมี ความจริง ของมันอยู่ในระดับหนึ่งที่สามารถ สร้างแรงบันดาลใจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งหลายได้ ถ้ามีภูมิปัญญาในการกลั่นกรองแยกความเป็นจริงออกจากจินตนาการได้

ปราชญ์จีนคนหนึ่งในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1386-1644) ได้เคยเขียนบทกวีบรรยายความปีติสุขของเขาที่ได้รับจากการบำเพ็ญสมาธิเจริญภาวนาในชีวิตประจำวันไว้อย่างงดงามว่า

ข้ารักการเจริญสมาธิภาวนาในภูเขา
เวลาทอดตัวอย่างเนิบนาบ
สนเขียวขจีทอดเงาวิเวก
เมฆขาวเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่ง
หมู่สัตว์หากินอยู่ในหุบเขา
หมู่นกทำรังอยู่บนทิวไม้
สรรพสัตว์ล้วนรู้วิธีการใช้ชีวิตที่ไร้กังวล
แต่เหตุไฉนมนุษย์ส่วนใหญ่จึงไม่รู้?

ข้ารักการเจริญสมาธิภาวนาในริมธาร
ชำระล้างฝุ่นละอองแห่งโลกีย์
ไปกับสายน้ำและไม่หวนกลับ
มีแต่สำราญชนอย่างข้าเท่านั้นจึงแลเห็น
สายน้ำที่มีตะไคร่เขียว
ดอกไม้ป่าที่ผลิดอก ปลาที่ผุดว่าย
นี่ล้วนเป็นความงามที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
ข้าสงบนิ่งราวกับหินในสายธารนั้น

ข้ารักการเจริญสมาธิภาวนาอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่
รู้สึกถึงความเบาสบายตลอดทั้งวัน
บางครั้งข้าก็พิงตัวกับลำต้น
ใจของข้ากระจ่างใสราวกับกระจก
ไร้กังวล ไร้ทุกข์ ไร้เจตนา
โลกใบนี้เขียวขจี และเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
แค่เป็นอยู่อย่างนี้ก็ประเสริฐสุดแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

(ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น