ผู้จัดการรายวัน – อาเจ ไทย เร่งสร้างอาณาจักรน้ำอัดลมหลังซุ่มลุยน้ำดำเจาะภูธรกว่า 2 ปี ล่าสุดจ่อคิวแตกไลน์น้ำสีแบรนด์ “อาเจ โอโร่” แคธิกอรี่ใหม่สีทองอัดก๊าซ ชูคอนเซปต์ “ไม่ผสมคาเฟอีน ขนาดใหญ่ ราคาถูกกว่า 10%” ตีตลาดเป๊ปซี่ – โค้ก พร้อมคลอดน้ำส้มขวดแก้ว รับกระแสสุขภาพบูม
นายสิทธิศักดิ์ จินดาษ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลม อาเจ บิ๊ก โคล่า ของประเทศเปรู เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้รุกทำตลาดน้ำอัดลมหรือน้ำดำมากว่า 2 ปี ภายใต้แบรนด์ “อาเจ บิ๊ก โคล่า” โดยชูจุดขายน้ำอัดลมไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ขนาดใหญ่และราคาที่ถูกกว่าน้ำอัดลมแบรนด์ดังอย่างเป๊ปซี่และโค้กถึง 10% โดยมีด้วยกัน 2 ขนาด ได้แก่ 535 มล. 10 บาท และ 3.1 ลิตร ราคา 40 บาท กระทั่งปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 15% ในช่องทางตลาดต่างจังหวัด
สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดที่ผ่านมาบริษัทเน้นป่าล้อมเมือง หรือมุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัดในสัดส่วนถึง 90% โดยผ่านยี่ปั๊วและโชวห่วย และอีก 10% ในกรุงเทพฯ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้ไลน์สินค้าครอบคลุมมากยิ่งขึ้น บริษัทจึงได้วางแผนแตกน้ำอัดลมสีภายใต้แบรนด์ “อาเจ โอโร่”โดยจะเป็นน้ำอัดลมแคธิกอรี่ใหม่เป็นน้ำสีทองอัดก๊าซ และประการสำคัญไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ซึ่งบริษัทจะเปิดตัวลงสู่ตลาดในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้
แผนทำตลาดน้ำสีของบริษัทจะเป็นลักษณะเดียวกับน้ำดำ คือ จำหน่ายตามตลาดต่างจังหวัดเป็นหลักและใช้กลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าในการทำตลาด นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมผลิตน้ำส้มบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ภายใต้แบรนด์ “อาเจ บิ๊กออเร้นจ์” ลงสู่ตลาด เพื่อรองรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันคือทำให้ไลน์สินค้าเครื่องดื่มของบริษัทครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทย ยังคงมีศักยภาพในการตลาด แม้ว่าจะประสบปัญหาต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ขยับขึ้นจากปีก่อนเพราะผู้บริโภคไทยคุ้นเคยกับการดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมมานานกว่าเครื่องดื่มให้ความสดชื่นประเภทอื่น จึงโอกาสที่ดีของผู้ผลิตน้ำอัดลมขนาดกลาง-เล็กที่จะแทรก ดังนั้นเมื่อปี 2549 บริษัทได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท สร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้า 6 แห่ง ได้แก่ รังสิต,พระราม 2 ,บางนา,จ.ระยอง,จ.ชลบุรี และจ.อ่างทอง
“ที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ประสบกับปัญหาภาวะต้นทุนมากนัก แม้ว่าราคาน้ำตาลและน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการสร้างแบรนด์ อีกทั้งบริษัทมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเองด้วยจึงยังทำใหสามารถควบคุมได้บ้าง” นายสิทธิศักดิ์กล่าว
นายสิทธิศักดิ์ จินดาษ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลม อาเจ บิ๊ก โคล่า ของประเทศเปรู เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้รุกทำตลาดน้ำอัดลมหรือน้ำดำมากว่า 2 ปี ภายใต้แบรนด์ “อาเจ บิ๊ก โคล่า” โดยชูจุดขายน้ำอัดลมไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ขนาดใหญ่และราคาที่ถูกกว่าน้ำอัดลมแบรนด์ดังอย่างเป๊ปซี่และโค้กถึง 10% โดยมีด้วยกัน 2 ขนาด ได้แก่ 535 มล. 10 บาท และ 3.1 ลิตร ราคา 40 บาท กระทั่งปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 15% ในช่องทางตลาดต่างจังหวัด
สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดที่ผ่านมาบริษัทเน้นป่าล้อมเมือง หรือมุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัดในสัดส่วนถึง 90% โดยผ่านยี่ปั๊วและโชวห่วย และอีก 10% ในกรุงเทพฯ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้ไลน์สินค้าครอบคลุมมากยิ่งขึ้น บริษัทจึงได้วางแผนแตกน้ำอัดลมสีภายใต้แบรนด์ “อาเจ โอโร่”โดยจะเป็นน้ำอัดลมแคธิกอรี่ใหม่เป็นน้ำสีทองอัดก๊าซ และประการสำคัญไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ซึ่งบริษัทจะเปิดตัวลงสู่ตลาดในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้
แผนทำตลาดน้ำสีของบริษัทจะเป็นลักษณะเดียวกับน้ำดำ คือ จำหน่ายตามตลาดต่างจังหวัดเป็นหลักและใช้กลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าในการทำตลาด นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมผลิตน้ำส้มบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ภายใต้แบรนด์ “อาเจ บิ๊กออเร้นจ์” ลงสู่ตลาด เพื่อรองรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันคือทำให้ไลน์สินค้าเครื่องดื่มของบริษัทครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทย ยังคงมีศักยภาพในการตลาด แม้ว่าจะประสบปัญหาต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ขยับขึ้นจากปีก่อนเพราะผู้บริโภคไทยคุ้นเคยกับการดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมมานานกว่าเครื่องดื่มให้ความสดชื่นประเภทอื่น จึงโอกาสที่ดีของผู้ผลิตน้ำอัดลมขนาดกลาง-เล็กที่จะแทรก ดังนั้นเมื่อปี 2549 บริษัทได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท สร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้า 6 แห่ง ได้แก่ รังสิต,พระราม 2 ,บางนา,จ.ระยอง,จ.ชลบุรี และจ.อ่างทอง
“ที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ประสบกับปัญหาภาวะต้นทุนมากนัก แม้ว่าราคาน้ำตาลและน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการสร้างแบรนด์ อีกทั้งบริษัทมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเองด้วยจึงยังทำใหสามารถควบคุมได้บ้าง” นายสิทธิศักดิ์กล่าว