xs
xsm
sm
md
lg

นักธุรกิจใต้จี้“หมัก”แก้ปัญหา ศก.รากหญ้ายิ่งเดือดร้อนยิ่งชุมนุมไล่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ระบอบทักษิณทำให้สถานการณ์บ้านเมืองสุดย่ำแย่ ตั้งรัฐบาลนอมินีมุ่งแต่แก้ปัญหาตัวเอง ปล่อยให้ราคาสินค้าและน้ำมันพุ่งฉุดเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูงลิ่ว นักธุรกิจแดนใต้ชี้ “หมัก” พูดจากลับกลอกไร้ความน่าเชื่อถือแล้ว ฟุ้งแก้ปัญหาภาคใต้เป็นเพียงราคาคุยช่วงหาเสียง ฉะ “เป็ดเหลิม” ทิ้ง 3 จชต.โยนภาระให้ฝ่ายความมั่นคง ขณะที่ รมว.ศึกษาฯ นั่งทับปัญหาคุณภาพการศึกษาในภาคใต้รั้งท้ายประเทศ ชี้ความเดือดร้อนของประชาชนที่มีทุกหย่อมหญ้าจะยิ่งทำให้มีการลุกฮือประท้วง ประกอบกับการไร้ผลงานจะเป็นตัวชี้ชะตารัฐบาลได้เร็วขึ้น

เพียงแค่บริหารประเทศร่วม 4 เดือน เสียงสะท้อนต่อนาวารัฐบาลนอมินีดังระงมทั่วทุกภาคจากปัญหาต้นทุนด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตทางการเกษตรและประมงนั้นตกต่ำอย่างน่าใจหาย หรือยามที่ปรับราคาขึ้นส่วนต่างกลับไหลสู่มือนายทุนเพียงหยิบมือ แต่ยังความเดือดร้อนให้กับคนส่วนใหญ่ ภาพความเดือดร้อนของหลายคนรากหญ้าทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงในหลายพื้นที่ ในส่วนของภาคใต้เองก็ได้รับผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและความบอบช้ำจากปัญหาไฟใต้ที่ยังขาดการกำหนดการขับเคลื่อนทิศทางจากนาวารัฐบาล

นายไสว เจยาคม รองนายกสมาคมประมง จ.สงขลา เปิดเผยว่า การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งมีประชาชนทั่วประเทศเข้าร่วม ณ สะพานมัฆวานรังสรรค์นั้นถือว่ามีชัยชนะในระดับหนึ่งที่ยกเลิกญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศลาออก แม้ว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นยืดเยื้อและทำให้ประชาชนและธุรกิจบางส่วนได้รับผลกระทบความเดือดร้อน แต่ตนก็เห็นด้วยกับการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ เพราะขาดความน่าเชื่อถือทั้งการเข้ามาบริหารประเทศอย่างมีวาระแอบแฝง ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และยิ่งแก้ปัญหาก็ยิ่งสร้างปัญหาใหม่ซ้ำเติม

เช่น การทำงานของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาราคาข้าว แต่ปรากฎว่าราคาที่เพิ่มขึ้นสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มนายทุน พอชาวนาเริ่มมีข้าวออกขายราคากลับดิ่งลงสวนคำพูดที่บอกว่าจะประกันราคาให้ไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท/เกวียน รวมถึงเกษตรกรอีกหลายสาขาที่เดือดร้อนจากราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้ต้องลุกฮือมาประท้วงทั่วประเทศ และที่สำคัญคือมีนายกรัฐมนตรีที่โกหก กลับกลอกไปมาได้ตลอดทุกสถานการณ์ ขาดความน่าเชื่อถือโดยปริยาย

“ถ้าฟังจากคำพูดของนายกรัฐมนตรีประกอบกับการทำงานของรัฐมนตรี ประชาชนไม่สามารถเชื่อถืออะไรจากรัฐบาลชุดนี้ได้เลย รวมถึงการชะลอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เชื่อว่าหากพันธมิตรสลายการชุมนุมรัฐบาลก็จะต้องรีบแก้ไขเพื่อเปิดทางให้กับอดีตนายกทักษิณอย่างแต่นอน” นายไสวกล่าวต่อและว่า

หากการประท้วงถึงจุดที่รัฐบาลต้องถอนตัวไม่ว่าจะเป็นการยุบสภาฯ หรือลาออก การเมืองไทยก็ต้องอยู่แบบเดิมคือเลือกตั้งใหม่ ประท้วง หรือถ้าได้ฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามเข้ามาก่อกวนบ้านเมืองก็จะไม่สงบ เพราะต้นตอของปัญหายังอยู่ ดังนั้นศาลจึงต้องเร่งพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่พยายามจะแทรกแซงทางการเมืองเพื่อให้ตนเองและพรรคพวกพ้นผิด

นายไสว กล่าวด้วยว่า ระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรกำลังชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อนั้น ในฐานะคนไทยคนหนึ่งรู้สึกเป็นห่วงการแก้ปัญหาของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นไม่ได้มีอาวุธ ขณะที่รัฐบาลมีอำนาจและมีสมองที่ดีกว่าคนธรรมดา แต่ต้องเตือนตัวเองว่าต้องอย่าเหลิงในอำนาจ และใช้ปัญญาในการต่อสู้ดีกว่าใช้อาวุธ

ส่วนนายพจน์ ไพบูลย์เกษมสุทธิ์ ที่ปรึกษาประธานหอการค้า จ.ยะลา เปิดเผยว่า ท่าทีของรัฐบาลที่เข้ามาบริหารรัฐบาลไม่ได้ดูแลด้านเศรษฐกิจ มีสินค้าขึ้นราคาเป็นจำนวนมาก กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนให้เดือดร้อนถึงระดับรากหญ้า โดยเฉพาะปัญหาราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนทุกด้านสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ แต่รัฐบาลกลับใช้เวลาในการทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระเร่งด่วน ทำให้มีการประท้วงกันทั่วประเทศ ทั้งชาวนา ชาวประมง

ในส่วนของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้น ส่งผลกระทบไปหลายด้าน รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงควรจะมาร่วมแก้ปัญหา โดยเฉพาะควรจะให้นโยบายเร่งด่วนดูแลด้านการศึกษาซึ่งที่ผ่านมานักเรียนมีผลการเรียนต่ำ ขาดแคลนบุคลากรและอุปกรณ์ทางการศึกษา รวมถึงการส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้

นายพจน์ กล่าวต่อด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดลงไปรับฟังปัญหาจากประชาชนและภาคธุรกิจซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่เพราะ จ.ยะลาตั้งอยู่สุดด้ามขวานของประเทศไทยจึงต้นทุนสินค้าทุกชนิดจึงขึ้นอยู่กับการขนส่ง ที่ผ่านมามีเพียง ศอ.บต.เป็นโซ่กลางให้ภาคเอกชนได้นำปัญหาเข้าไปพูดคุยกับรัฐบาลที่กรุงเทพฯ เพื่อผลักดันแทนที่รัฐมนตรีจะลงมาดูแลด้วยตนเอง

“ความเดือดร้อนที่มีทุกหย่อมหญ้าของประเทศไทยนี้ รัฐบาลต้องเร่งมาแก้ไขและเรียกความน่าเชื่อถือกลับคืนมา หากยังคงรับปากแบบขอไปทีประชาชนจะทนอยู่ต่อไปไม่ไหวและจะยิ่งออกมาประท้วงมากขึ้น เสียงประชาชนและผลงานจะเป็นตัวชี้ว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อหรือจะไม่ได้ โดยเฉพาะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนซึ่งเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่” นายพจน์กล่าว

ด้านนายไสว ณ พัทลุง ประธานที่ปรึกษาผู้บริหาร บริษัท พิงค์โฮเต็ล แอนด์ คอมเพล็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลา 4 เดือน ยังไม่เห็นผลงาน เพราะปัญหาเศรษฐกิจกำลังรุมเร้าประเทศ ทั้งปัญหาราคาน้ำมัน ข้าวแพง ค่าแรงถูก ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูง แต่เมื่อเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยซึ่งได้รับเสียงข้างมาก ประชาชนก็ต้องให้เวลาในการบริหารประเทศต่อไป

อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องของรัฐบาลที่ต้องปรับปรุงเป็นอย่างมาก คือการดูแลทุกข์สุขของภาคใต้ ซึ่งมีปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และทุกพรรคต่างชูเป็นนโยบายหาเสียง แต่เมื่อได้รัฐบาลแล้วกลับปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องรับคำตำหนิจากคนภาคใต้ เพราะแสดงความขาดกลัวที่จะลงมาดูประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน และเดินทางมาเพียงแค่ จ.สงขลาเท่านั้น โดยบอกว่าถ้าลงพื้นที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำงานเพราะต้องดูแล

“ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกปล่อยตามบุญตามกรรม เพราะรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ไม่ยอมลงพื้นที่ อ้างว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาทำงานมาดูแล และคงจะยังไม่ได้อ่านหนังสือข้อเท็จจริงของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตอนนี้ใช้งบประมาณแก้ปัญหาอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว จะต้องใช้การเจรจากับผู้อยู่เบื้องหลังซึ่งอยู่ต่างประเทศ เพราะคนที่ถูกจับกุมเป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น ซึ่งเป็นคนที่ว่างงาน ติดยา” นายไสว กล่าว และว่า

เช่นเดียวกับนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา ที่ทราบดีว่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบ ทำให้ความเชื่อมั่นทางการลงทุนและเศรษฐกิจเสียหาย และยังต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ ซึ่งขณะนี้สายการบินหลายแห่งได้ยกเลิกเที่ยวบินในประเทศ รวมทั้งสายการบินระหว่างประเทศไม่สามารถเรียกว่าเป็นสนามบินนานาชาติได้แล้ว แต่รัฐมนตรีเองไม่เคยมาพบปะกับผู้ที่เดือดร้อนนอกจากมาเป็นประธานเปิดงานแล้วกลับเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าภาคใต้จะไม่ใช่ฐานเสียงของรัฐบาล แต่หากรัฐมนตรีคนใดให้ความสำคัญเดินทางมาหาประชาชนในพื้นที่ ภาคธุรกิจก็ยินดีต้อนรับและยังให้โอกาสในการทำงาน

“ตอนนี้เศรษฐกิจก็แย่ ปัญหาการเมืองก็มีการชุมนุมขับไล่ โดยส่วนตัวผมแล้วยังให้โอกาสรัฐบาลในการทำงานให้ดำเนินการตามกระบวนการของประชาธิปไตย แม้ว่ารัฐบาลจะบริหารงานได้ไม่ดี แต่ก็ต้องให้เวลาและต้องเคารพว่ามีที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งหากมีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลก็จะรวมตัวกันยื่นหนังสือต่อรัฐบาลให้แก้ไข เพราะการชุมนุมประท้วงอาจจะทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการปฎิวัติซึ่งมีบทเรียนแล้วว่าไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นเลย” นายไสว กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น