"ภัทรียา" ชี้ดัชนี 800 จุดเป็นโอกาสเข้าลงทุนกองทุนแอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ สร้างผลตอบแทนที่ดี เชื่อแรงซื้อนักลงทุนในประเทศต่อเนื่อง ไม่ห่วงฝรั่งเทขายต่อเนื่อง เชื่อเมื่อดัชนีมาถึงระดับหนึ่งและการเมืองคลายต่างประเทศกลับมาลงทุนแน่ และมาตรการกำกับดูแลหุ้นที่มีการซื้อขายห้นหมุนเวียนสูง( Turnover list )จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ก.ค.นี้ ไม่น่าจะซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นให้แย่ลง
ยันเดินหน้าแผนโรดโชว์ต่างประเทศ นักวิเคราะห์เผยระหว่างวันดัชนีร่วง 799 จุด แต่มีแรงซื้อกลับดันดัชนีปิดบวกเล็กน้อย
ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(5มิ.ย.)ดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนทำให้ดัชนีหลุดต่ำกว่า 800 จุด แต่หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามา ดันดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดของวันที่ 809.82 จุด เพิ่มขึ้น 0.90 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.11 % ปรับตัวเพิ่มต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 799.68 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,372.47 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,347.19 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ1,457.76 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,889.44 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลในเรื่องภาวะตลาดหุ้นไทยขณะนี้แม้นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นออกมาต่อเนื่องจากความกังวลใจในเรื่องปัจจัยการเมือง และเรื่องภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง รวมถึงความกังวลในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกา เนื่องจาก เชื่อว่านักลงทุนไทยจะเข้ามาซื้อจากเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะยาว
สำหรับการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 800 จุด ในช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) และในอดีตที่ผ่านมาเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาที่ระดับ800 จุด นั้น ดัชนีก็จะรีบาวน์ ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดี และเมื่อดัชนีลดลงมาถึงระดับหนึ่งและคลายความกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมืองเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะนักลงทุนต่างประเทศต้องการหาแหล่งลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี
" ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดต่ำกว่า 800 จุด แต่หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา แม้ต่างชาติจะมีการขายหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง เชื่อว่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศเข้ามาลงทุนจากเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าแรงรับซื้อหุ้นของนักลงทุนไทยจะไม่หมด จึงไม่รู้สึกกังวลในเรื่องภาวะการณ์ลงทุนขณะนี้ ตราบใดที่มูลค่าการซื้อขายยังดีอยู่ " นางภัทรียา กล่าว
ทั้งนี้ในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัททมากนัก เพราะบริษัทจดทะเบียนมีหนี้สิ้นต่อทุนที่ต่ำ (D/E)เพียง 1 เท่าเท่านั้น จึงไม่น่ากังวล แต่ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นเรื่องต้นทุนจากน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี เชื่อมั่นว่ามาตรการกำกับดูแลหุ้นที่มีการซื้อขายห้นหมุนเวียนสูง( Turnover list )
ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นเดือนก.ค.นี้ ไม่น่าจะซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นให้แย่ลงกว่าปัจจุบัน เนื่องจากมาตรการดังกล่าวไม่ได้บังคับใช้กับหุ้นทุกตัว แต่บังคับใช้เฉพาะหุ้นบางตัวที่ติด Turnover list ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการใช้กับบัญชีเงินสด ซึ่งน่าจะช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนได้ดี อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลท.ได้มีการทำความเข้าใจกับโบรกเกอร์และนักลงทุน ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะบังคับใช้ได้และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
นางภัทรียา กล่าวว่า เรื่องการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ที่ประเทศสิงคโปร์ ลอนดอน นิวยอร์ก ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ซึ่งทางบริษัทหลักทรัพย (บล.)เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน นั้นขณะนี้กำหนดการยังคงเหมือนเดิม ทางบล.เครดิต สวิส เฟิร์สท์ จะผู้ประสานงาน ซึ่งหากนักลงทุนในประเทศสิงคโปร์ต้องการที่จะรับฟังข้อมูลการลงทุนทางตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีการเดินทางไป ส่วนเรื่องปัจจัยทางการเมืองนั้นเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการสอบถามเราก็จะมีการอธิบายไป แต่ในเรื่องการเมืองนั้นประเทศไทยก็มีการผ่านช่วงที่มีปัญหามาแล้วหลายครั้ง
สำหรับการเดินทางไปโรดโชว์ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตนั้นจะมีการพิจารณาอีกครั้งก่อนซึ่งอาจจะมีการเชิญผู้บริหารกองทุนอาบูดาบี เข้ามารับฟังข้อมูล หรืออาจจะเชิญบริษัทจดทะเบียนที่กองทุนดังกล่าวสนใจไปพบ โดยก่อนหน้านี้กองทุนจากดูไบ ซึ่งมีขนาด 700 -1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว แต่ลงทุนไม่มากนัก เพราะ ตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก
**คาดแรงขายต่างชาติลดลง
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนตลอดทั้งวันแต่ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย จากนักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมือง และการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้มีการปรับตัวลดลง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ทั้งนี้ มูลค่าการซื้อขายเริ่มปรับตัวลดลง จากนักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นติดต่อกัน 9 วัน มูลค่า 2.6หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจากนี้นักลงทุนต่างประเทศจะชะลอการขายหุ้นออกมา รวมถึงนักลงทุนที่มีการขายหุ้นเพราะ ลดความเสี่ยงจากการเมืองคาดว่าจะหมดแล้ว ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้จะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 800 จุด แต่ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา ซึ่งถือว่าเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆระดับ 800-820 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้น กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และส่งออก เมื่อดัชนีอยู่ที่ระดับ 800 จุด และมีการขายหุ้นออกมาเมื่อดัชนีปรับตัวอยู่ที่ 820 จุด
**เชื่อSETไม่หลุด800 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆจากความกังวลอัตราเงินเฟ้อ การเมือง แต่ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการรีบาวน์ขึ้นมา แต่มูลค่าการซื้อขายลดลงมาอยู่ที่1.6 หมื่นล้านบาท จากนักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ความชัดเจนมากกว่านี้ ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังไม่หลุด 800 จุด
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่คงไม่มากนัก โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 800 จุด แนวต้านที่ระดับ 815 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนคือหุ้นที่ได้รับผลประทบจากปัจจัยทางการเมือง และอัตราเงินเฟ้อน้อยที่สุด เช่น บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน)หรือ TVO บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BIGC
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบยมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด และเมื่อดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในระดับที่น่าลงทุน จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามา แต่ตลาดยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศ แม้ท่าทีการเผชิญหน้าและความร้อนแรงจะลดลงไปพอสมควร แต่สถานการณ์ยังยากจะคาดเดา เมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีการชุมนุมใหญ่วันนี้และวันเสาร์ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้การปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น และยังถูกกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะทรงตัว และคาดว่ามูลค่าการซื้อขายก็จะไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจกับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในสุดสัปดาห์ เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนการลงทุน โดยดัชนีจะมีแนวรับที่ 799-800 จุด และแนวต้านที่ 815 จุด
ยันเดินหน้าแผนโรดโชว์ต่างประเทศ นักวิเคราะห์เผยระหว่างวันดัชนีร่วง 799 จุด แต่มีแรงซื้อกลับดันดัชนีปิดบวกเล็กน้อย
ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(5มิ.ย.)ดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนทำให้ดัชนีหลุดต่ำกว่า 800 จุด แต่หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามา ดันดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดของวันที่ 809.82 จุด เพิ่มขึ้น 0.90 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.11 % ปรับตัวเพิ่มต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 799.68 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,372.47 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,347.19 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ1,457.76 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,889.44 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลในเรื่องภาวะตลาดหุ้นไทยขณะนี้แม้นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นออกมาต่อเนื่องจากความกังวลใจในเรื่องปัจจัยการเมือง และเรื่องภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง รวมถึงความกังวลในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกา เนื่องจาก เชื่อว่านักลงทุนไทยจะเข้ามาซื้อจากเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะยาว
สำหรับการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 800 จุด ในช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) และในอดีตที่ผ่านมาเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาที่ระดับ800 จุด นั้น ดัชนีก็จะรีบาวน์ ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดี และเมื่อดัชนีลดลงมาถึงระดับหนึ่งและคลายความกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมืองเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะนักลงทุนต่างประเทศต้องการหาแหล่งลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี
" ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดต่ำกว่า 800 จุด แต่หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา แม้ต่างชาติจะมีการขายหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง เชื่อว่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศเข้ามาลงทุนจากเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าแรงรับซื้อหุ้นของนักลงทุนไทยจะไม่หมด จึงไม่รู้สึกกังวลในเรื่องภาวะการณ์ลงทุนขณะนี้ ตราบใดที่มูลค่าการซื้อขายยังดีอยู่ " นางภัทรียา กล่าว
ทั้งนี้ในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัททมากนัก เพราะบริษัทจดทะเบียนมีหนี้สิ้นต่อทุนที่ต่ำ (D/E)เพียง 1 เท่าเท่านั้น จึงไม่น่ากังวล แต่ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นเรื่องต้นทุนจากน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี เชื่อมั่นว่ามาตรการกำกับดูแลหุ้นที่มีการซื้อขายห้นหมุนเวียนสูง( Turnover list )
ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นเดือนก.ค.นี้ ไม่น่าจะซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นให้แย่ลงกว่าปัจจุบัน เนื่องจากมาตรการดังกล่าวไม่ได้บังคับใช้กับหุ้นทุกตัว แต่บังคับใช้เฉพาะหุ้นบางตัวที่ติด Turnover list ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการใช้กับบัญชีเงินสด ซึ่งน่าจะช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนได้ดี อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลท.ได้มีการทำความเข้าใจกับโบรกเกอร์และนักลงทุน ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะบังคับใช้ได้และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
นางภัทรียา กล่าวว่า เรื่องการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ที่ประเทศสิงคโปร์ ลอนดอน นิวยอร์ก ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ซึ่งทางบริษัทหลักทรัพย (บล.)เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน นั้นขณะนี้กำหนดการยังคงเหมือนเดิม ทางบล.เครดิต สวิส เฟิร์สท์ จะผู้ประสานงาน ซึ่งหากนักลงทุนในประเทศสิงคโปร์ต้องการที่จะรับฟังข้อมูลการลงทุนทางตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีการเดินทางไป ส่วนเรื่องปัจจัยทางการเมืองนั้นเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการสอบถามเราก็จะมีการอธิบายไป แต่ในเรื่องการเมืองนั้นประเทศไทยก็มีการผ่านช่วงที่มีปัญหามาแล้วหลายครั้ง
สำหรับการเดินทางไปโรดโชว์ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตนั้นจะมีการพิจารณาอีกครั้งก่อนซึ่งอาจจะมีการเชิญผู้บริหารกองทุนอาบูดาบี เข้ามารับฟังข้อมูล หรืออาจจะเชิญบริษัทจดทะเบียนที่กองทุนดังกล่าวสนใจไปพบ โดยก่อนหน้านี้กองทุนจากดูไบ ซึ่งมีขนาด 700 -1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว แต่ลงทุนไม่มากนัก เพราะ ตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก
**คาดแรงขายต่างชาติลดลง
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนตลอดทั้งวันแต่ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย จากนักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมือง และการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้มีการปรับตัวลดลง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ทั้งนี้ มูลค่าการซื้อขายเริ่มปรับตัวลดลง จากนักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นติดต่อกัน 9 วัน มูลค่า 2.6หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจากนี้นักลงทุนต่างประเทศจะชะลอการขายหุ้นออกมา รวมถึงนักลงทุนที่มีการขายหุ้นเพราะ ลดความเสี่ยงจากการเมืองคาดว่าจะหมดแล้ว ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้จะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 800 จุด แต่ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา ซึ่งถือว่าเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆระดับ 800-820 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้น กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และส่งออก เมื่อดัชนีอยู่ที่ระดับ 800 จุด และมีการขายหุ้นออกมาเมื่อดัชนีปรับตัวอยู่ที่ 820 จุด
**เชื่อSETไม่หลุด800 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆจากความกังวลอัตราเงินเฟ้อ การเมือง แต่ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการรีบาวน์ขึ้นมา แต่มูลค่าการซื้อขายลดลงมาอยู่ที่1.6 หมื่นล้านบาท จากนักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ความชัดเจนมากกว่านี้ ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังไม่หลุด 800 จุด
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่คงไม่มากนัก โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 800 จุด แนวต้านที่ระดับ 815 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนคือหุ้นที่ได้รับผลประทบจากปัจจัยทางการเมือง และอัตราเงินเฟ้อน้อยที่สุด เช่น บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน)หรือ TVO บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BIGC
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบยมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด และเมื่อดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในระดับที่น่าลงทุน จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามา แต่ตลาดยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศ แม้ท่าทีการเผชิญหน้าและความร้อนแรงจะลดลงไปพอสมควร แต่สถานการณ์ยังยากจะคาดเดา เมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีการชุมนุมใหญ่วันนี้และวันเสาร์ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้การปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น และยังถูกกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะทรงตัว และคาดว่ามูลค่าการซื้อขายก็จะไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจกับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในสุดสัปดาห์ เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนการลงทุน โดยดัชนีจะมีแนวรับที่ 799-800 จุด และแนวต้านที่ 815 จุด