xs
xsm
sm
md
lg

เทียนแห่งธรรมกับการบูรณาภูมิปัญญาเพื่อการกู้โลก (ตอนที่ 10)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

10. จอมคนของหวงอี้ (ต่อ)

“จอมคน”
ในอุดมคติของหวงอี้เท่าที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมส่วนใหญ่ของเขานั้น สามารถจำแนกประเภทออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกันคือ

จอมคนประเภทที่หนึ่ง คือ “จอมคนพิชิตแผ่นดิน” เพื่อสันติสุขของปวงประชาราษฎร์ จอมคนประเภทนี้จะเป็นทั้งผู้นำทัพที่รบชนะทุกครั้งครา และเป็นมือดาบที่ไร้ผู้ต่อต้านอยู่ในคนคนเดียวกัน จอมคนประเภทนี้ได้แก่ตัวละครอย่าง เซี่ยงเส้าหลง ใน “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” โค่วจง ใน “มังกรคู่สู้สิบทิศ” และ หลิวอวี้ ใน “จอมคนแผ่นดินเดือด”

จอมคนประเภทที่สอง คือ “จอมคนเหนือโลก” จอมคนประเภทนี้จะเป็นผู้แสวงธรรม แสวงความหลุดพ้น มีความฝักใฝ่ในเชิงจิตวิญญาณ แต่ก็เอาใจใส่ต่อความเป็นไปของบ้านเมือง และพร้อมที่จะเข้ามาร่วมปฏิบัติการเพื่อพลิกแผ่นดิน ทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวแล้ว จอมคนประเภทนี้มีความชืดชาต่อลาภ ยศ สรรเสริญ จอมคนแบบนี้ได้แก่ตัวละครอย่าง ล่างฟานหวิน ใน “เทพมารสะท้านภพ” ฉีจื่อหลิง ใน “มังกรคู่สู้สิบทิศ” และ เอี้ยนเฟย ใน “จอมคนแผ่นดินเดือด”

การบูรณาจอมคนสองประเภทนี้ให้โลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวาในวรรณกรรมกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ ได้กลายมาเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจที่ขาดเสียมิได้ และยังได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวในงานเขียนของหวงอี้อีกด้วย จนแทบกล่าวได้ว่า หัวใจแห่งความสำเร็จ ในงานวรรณกรรมของหวงอี้นั้น อยู่ที่การรังสรรค์ตัวละครต่างๆ ที่มีทั้ง “จอมคนพิชิตแผ่นดิน” กับ “จอมคนเหนือโลก” ให้อยู่ในหัวใจของคนอ่านได้อย่างมีเลือดมีเนื้อ อย่างมีสีสัน และอย่างกลมกลืนไปกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงได้อย่างลงตัวนั่นเอง

หาก คนแบบโค่วจง ซึ่งเป็นประเภท “จอมคนพิชิตแผ่นดิน” มีความสำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองฉันใด คนแบบฉีจื่อหลิง ซึ่งเป็นประเภท “จอมคนเหนือโลก” ก็มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างเชิงลึก ของบ้านเมืองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้ว่าบทบาทของ “จอมคนเหนือโลก” จะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยาก และจับต้องได้ยากกว่าบทบาทของ “จอมคนพิชิตแผ่นดิน” ก็ตาม

การที่ผู้อ่านจะทำความเข้าใจบุคลิกของ “จอมคนเหนือโลก” ในวรรณกรรมของหวงอี้ได้ ก่อนอื่นผู้อ่านควรจะต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้งเสียก่อนว่า “จอมคนเหนือโลก” เหล่านี้มุ่งแสวงหาอะไรในชีวิต ซึ่งหวงอี้เคยบรรยายเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “จอมคนเหนือโลก” เหล่านี้ล้วนแสวงหานิพพานโดยผ่านมรรคาบู๊ หรือเรียกให้กระชับยิ่งขึ้นได้ว่า นิพพานของมรรคาบู๊

หากมีคนถาม “จอมคนเหนือโลก” เหล่านี้ว่า

“ในห้วงจักรวาฬ ยังมีสิ่งใดวิจิตรกว่าฟ้าดิน?”

ขอให้สังเกตคำถามนี้ให้ดี เพราะอันที่จริงการที่ผู้นั้นเห็นคุณค่าของธรรมชาติหรือความวิจิตรของฟ้าดินว่า เหนือกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ ทางโลกแบบดารดาษอันเป็นความมุ่งมาดปรารถนาของปุถุชนผู้ต่ำต้อยก็ต้องถือว่า คนผู้นั้นไม่ธรรมดาแล้ว แต่ “จอมคนเหนือโลก” กลับไปไกลยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อตอบคำถามข้างต้นนี้ว่า

“คือหัวใจที่ไม่ยึดติดกับวัตถุ ไม่ถูกน้ำใจกั้นขวาง ไม่ถูกจำกัดด้วยความดี และไม่ถูกจำกัดด้วยความชั่ว”

ในสายตาของ “จอมคนเหนือโลก” ความเป็นความตายเป็นเพียงจุดยืนที่แตกต่างเท่านั้น เพราะระหว่างความเป็นกับความตายอันที่จริงก็เป็นเพียงระยะทางอันกระชั้นสั้นชั่วพริบตาเดียวในสายตาของจักรวาฬ

เมื่อมองชีวิตจากมุมมองนี้ ไม่ว่าวัตถุเรื่องราวใดล้วนสามารถปล่อยวางได้ ไม่ว่าวัตถุเรื่องราวใดล้วนเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยไร้ร่องรอย

จะมีก็แต่ “วิถี” หรือ “มรรคา” เท่านั้นที่เป็นนิรันดร์

มรรคาบู๊เป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งเท่านั้นที่ “จอมคนเหนือโลก” เหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือในระหว่างการแสวงธรรมเพื่อช่วยให้หลุดพ้นจากความเป็นความตาย และสามารถค้นหาปริศนาของชีวิต และจักรวาฬได้

เส้นทางของการกลายเป็น “จอมคนเหนือโลก” นั้น ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายพุทธหรือฝ่ายเต๋าล้วนต้องพึ่งพาคัมภีร์โบราณที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ให้ทั้งสิ้น ในสายตาของผู้แสวงธรรมเช่นพวกเขา วัฏสงสารและโลกใบนี้ไม่ต่างไปจากเรือนจำที่ไม่มีทางออกหลังหนึ่ง จะมีก็แต่ผู้ที่เข้าถึง ความเป็นอมตะ ที่ซ่อนเร้นอยู่ใน พลังแห่งจิตวิญญาณ อันเร้นลับของมนุษยชาติได้เท่านั้น จึงจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และโลกนี้ไปได้

อัน วิถีของจอมคนเหนือโลก นั้นคือ วิถีแห่งการหวนคืนสู่พลังธรรมชาติแรกกำเนิดหรือพลังก่อนกำเนิด คนเราเกิดจากครรภ์พลังและสิ่งหล่อเลี้ยงทั้งหมดได้รับจากมารดาผ่านทางสายสะดือ เรียกว่า พลังธรรมชาติแรกกำเนิด เมื่ออยู่ในครรภ์ครบสิบเดือนทารกหลุดร่วงจากครรภ์มารดา หายใจด้วยจมูกปาก นับแต่นั้นที่สูดเข้าไปเป็นพลังที่ก่อเกิดในภายหลังหรือพลังหลังกำเนิด แต่พลังธรรมชาติแรกกำเนิดยังคงอยู่ภายในกาย

ดังนั้น แววตาของเด็กเล็กจึงดำขลับสุกใส เมื่อเจริญวัยทีละน้อยพลังธรรมชาติแรกกำหนดจะค่อยๆ หมดหายไป สายตาเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว จวบจนกระทั่งแก่เฒ่าเสียชีวิตคืนสู่ธุลีดิน

สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงล้วนไม่พ้นจากต้นกำเนิด ต่ำใต้แม้ประกอบด้วยร้อยค่ายพันสำนักปฏิบัติ มีวิธีการฝึกปรือที่แตกต่างกันก็จริง แต่สุดท้ายล้วนมุ่งหวังว่าสามารถหวนกลับจาก พลังหลังกำเนิด หรือพลังที่ฝึกฝนในภายหลังไปสู่ พลังก่อนกำเนิด หรือพลังธรรมชาติแรกกำเนิดทั้งสิ้นไม่พ้นไปจากนี้

การฝึก พลังหลังกำเนิด เป็นการเดินไปตามวิถีทางที่ถูกบัญญัติไว้แล้วให้มุ่งไป ขณะที่การฝึก พลังก่อนกำเนิด ต้องกอปรด้วยคุณสมบัติที่เหนือคนของคนผู้นั้น อีกทั้งยังต้องมีบุญวาสนาบารมีในทางธรรมมาหนุนเสริมด้วย จึงจะสามารถบรรลุถึงได้

พลังหลังกำเนิด ซึ่งเป็นพลังที่ฝึกฝนในภายหลังล้วนเกิดจากการกระทำ ขณะที่ พลังก่อนกำเนิด หรือพลังธรรมชาติแรกกำเนิด เป็นสิ่งซึ่งไร้การกระทำมันเป็นไปเองตามครรลองของมัน แต่กลับกระทำได้ทุกสิ่ง

ยามใดที่คนผู้นั้นฝึกฝนตนเองจนกระทั่งเข้าสู่ขอบเขตของพลังธรรมชาติแรกกำเนิดได้ คนผู้นั้นจะเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นจะสามารถหลุดพ้นจากการครอบงำทางโลก เห็นซึ้งชืดชาในลาภ ยศ สรรเสริญของโลกหล้า สลัดหลุดจากกรอบความคิดระบบความเชื่ออันคร่ำครึ และสามารถจดจ่ออยู่กับ “วิถี” ของตนโดยไม่แยแสสนใจในเรื่องอื่นใดอีกได้

นับแต่โบราณกาลมา มีผู้ทรงภูมิปัญญามากมายนับมิถ้วนที่ได้ทุ่มเทพลังงานชั่วชีวิตเค้นสมองครุ่นคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตของพลังธรรมชาติแรกกำเนิดได้ ในที่สุดก็ได้เป็นข้อสรุปที่สำคัญมากออกมาดังต่อไปนี้

(1)จงแปรเปลี่ยน พลังทางเพศ (จิง) ให้กลายเป็น พลังปราณ (ชี่)

(2) จงแปรเปลี่ยน พลังปราณ ให้กลายเป็น พลังทางจิตวิญญาณ (เสิน)

(3) จงแปรเปลี่ยน พลังทางจิตวิญญาณ ให้คืนสู่ ความว่าง หรือ มหาสุญตา

(4) จาก ความว่าง จงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ วิถี หรือ เต๋า

ข้างต้นนี้คือ บทสรุปรวบยอดของขั้นตอนจากการฝึก พลังหลังกำเนิด เข้าสู่ พลังก่อนกำเนิด หรือ พลังธรรมชาติแรกกำเนิด เพื่อบรรลุความเป็นพุทธะแบบเต๋า ซึ่งในระหว่างเส้นทางนี้ย่อมแฝงไว้ด้วยความปวดร้าว หยาดเหงื่อ การทุรนทุรายทางความนึกคิด การเฝ้ารอคอย ความร้อนรุ่มมุ่งหวัง และการสละละทิ้งอย่างมากมายนัก

“จอมคนเหนือโลก” คือผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางของการหวนคืนสู่ พลังธรรมชาติแรกกำเนิด ที่ยาวไกลเสียยิ่งกว่าการฝึก พลังหลังกำเนิด เสียอีก บนเส้นทางสายนี้ เขาผู้นั้นย่อมสามารถมองทะลุซึ้งถึงวัตถุเรื่องราวทางโลก มีไหล่บ่าที่สามารถรองรับทุกเรื่องราว และมีบุคลิกภาพที่ปล่อยตัวตามสบายอย่างหลุดพ้น

เขาผู้นั้นย่อมไม่มุ่งแสวงหาวัตถุทางโลก เขาผู้นั้นย่อมพาตัวเองเข้าสู่ขอบเขตไร้ทุกข์ไร้สุข ไม่นำพาปรารมภ์คล้ายกับในโลกหล้า ไม่มีเรื่องราวที่คู่ควรกับการกลัดกลุ้มกังวลใจ ด้วยเหตุนี้ เขาผู้นั้นจึงสามารถนำพาตัวเองเข้าสู่ขุมพลังอันเป็นบ่อเกิดของฟ้าดิน และของสรรพสิ่งได้ เนื่องจากเขาผู้นั้นรู้สึกได้ถึงขุมพลังอันเร้นลับของจักรวาฬนี้ เรื่องราวอื่นๆ ในโลกหล้า ล้วนไม่ควรค่ากับการเหลือบแลของเขาผู้นั้นอีกต่อไป

หากแม้นคนอย่างเขาผู้นั้นก็ยังต้องถูก คลื่นลมแห่งยุคสมัย หอบพัดให้ม้วนตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การช่วงชิงแผ่นดินของขุมพลังต่างๆ แล้วต่อให้โดยส่วนตัวแล้ว เขาผู้นั้นเป็นคนประเภทชืดชาไม่ช่วงชิงก็ตาม แต่ด้วย อุดมการณ์กู้ชาติ-กู้แผ่นดิน เขาผู้นั้นจึงจำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยเข้าไปช่วยเหลือ คนประเภท “จอมคนพิชิตแผ่นดิน” มุ่งรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น สร้างความสงบสันติ ช่วยเหลือประชาราษฎร์ นำพาประเทศให้หลุดพ้นจากกลียุค เมื่อนั้นแหละ เขาผู้นั้นจึงสามารถปลีกตัววิเวกอย่างวางใจได้ (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น