ศูนย์ข่าวศรีราชา-นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย กระตุ้นต่อมสำนึกรัฐบาลเลิกทะเลาะพันธมิตรฯ หันหน้าใส่ใจปัญหาปากท้องประชาชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ถูกปั่นจนสูงเกินจริงจากกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ในวงการ เผยปี 51 เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังกว่า 8 ล้านคนทั่วประเทศ จะต้องได้รับผลกระทบจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นอีก 20% ถึง 1 หมื่นล้านบาท พร้อมจี้รัฐจริงใจหนุนผลิตเอทานอล
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะ หลังไทย กล่าวถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมไทยหลังเกิดการแตกแยกทางความคิดว่า นอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อผู้ใดแล้ว ยังทำให้ภาวะเศรษฐกิจ การลงทุนและภาพรวมของประเทศเดินเข้าสู่ขั้นอันตราย ซึ่งสถานการณ์ที่ประชาชนต้องประสบในปัจจุบันนอกจากการเข้าสู่ยุคข้าวยาก น้ำมันแพง จากการปั่นราคาน้ำมันและราคาข้าวสูงเกินจริงของผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ที่รัฐบาลควรหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง และหยุดตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วหันมาควบคุมผู้เกี่ยวข้อง ในวงการน้ำมันไม่ให้ปั่นราคาจนสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค และภาคขนส่งทั้งประเทศ
ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่สูงเกือบลิตรละ 40 บาทของไทย ถือเป็นราคาที่สูงเกินจริง และเหตุใดมาเลเซีย ขายน้ำมันลิตรละ 20 บาทได้แต่ไทยขายไม่ได้หากไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลควรออกมาแจกแจงให้ประชาชนรู้ว่าราคาน้ำมันที่สูงเช่นนี้เกิดจากการกระจายออกไปสู่ส่วนใดบ้างเพื่อให้เกิดความกระจ่าง เพราะในความเป็นจริง หากรัฐบาลจริงใจที่จะสนับสนุนให้ภาคผลิตสินค้าการเกษตร ที่มีทั้งอ้อย ข้าว มันสำปะหลัง มาผลิตพลังงานทางธรรมชาติทั้งเอทานอล หรือแก๊สโซฮอล์ เพื่อใช้เองแทนการนำเข้าจากประเทศอินเดีย จะทำให้ประชาชนคนไทยได้ใช้น้ำมันในราคาลิตรละ 20 บาทเท่านั้น
"ผมกล้าบอกกับรัฐบาลได้เลยว่า ตอนนี้สมาคมโรงงานฯ มัน พร้อมแล้วที่จะนำพลังงานเหล่านี้มาผลิตเป็นส่วนผสมของน้ำมัน และรัฐบาลล่ะพร้อมหรือยังที่จะสนับสนุนให้โรงงานผลิตเอทานอลที่มีอยู่ 45 แห่งทั่วประเทศเกิดอย่างจริงจัง ”
นายนิยม ยังบอกอีกว่าการปล่อยปละละเลยของรัฐบาล จนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงเช่นนี้ จะมีผลต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจำนวนกว่า 8 ล้านคนใน 40 จังหวัดทั่วประเทศ ที่จะต้องได้รับความเดือดร้อนจากค่าขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นอีก 20% จากเดิมที่สัดส่วนรายได้จากการขายหัวมันสด ต้องถูกแบ่งเป็นค่าขนส่ง 30% แต่ในวันนี้ขยับ เป็น 50% แล้วและจะทำให้เกษตรกรต้องจ่ายค่าขนส่งในปี 2551 เพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่จ่ายไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท และจะทำให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ภาคการผลิตหัวมันสดจากเดิมที่เคยได้ 4 หมื่นล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้น
“ผมไม่ต่อว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะเขาเห็นมุมมองในการโกงกิน หรือแม้แต่การเอาแขกอาหรับ เข้ามาดูภาคการเกษตรของไทย เพราะแขกกลุ่มนี้มองเห็นแล้วว่าประเทศไทย เป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่จะย้ายการลงทุนเข้ามาหลังจากแหล่งน้ำมันของเขาเริ่มเหลือน้อยลง ผมอยากจะบอกว่าคนไทยอย่าไปหลงกลแขกกลุ่มนี้ เพราะถ้าเราขายที่ดินที่เป็นผืนนาผืนสุดท้าย แขกกลุ่มนี้ก็จะเข้ามาเอาอธิปไตยของเราไปได้”
นายนิยม กล่าวย้ำอีกว่าคำพูดของนักการเมืองเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ และหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขเรื่องราคาน้ำมันความหายนะจะกลับมาเยือนภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยอีกครั้ง ที่สำคัญจะเกิดการชุมนุมประท้วงและปิดถนนอย่างแน่นอน จากผลกระทบของค่าขนส่งภายในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่การขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศยังสูงอีกด้วย ทางที่ดีรัฐบาลควรสนับสนุนให้ประเทศไทยมีการผลิตพลังงานทางธรรมชาติเพื่อใช้เอง แทนการนำเข้าจากต่างประเทศและปล่อยให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ต้องแบกภาระค่าขนส่งในการส่งไปขายต่างประเทศ ทั้งที่ประเทศไทย ยังมีความต้องการพลังงานเหล่านี้อยู่แต่รัฐบาลกลับนำเข้าจากต่างประเทศ
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะ หลังไทย กล่าวถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมไทยหลังเกิดการแตกแยกทางความคิดว่า นอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อผู้ใดแล้ว ยังทำให้ภาวะเศรษฐกิจ การลงทุนและภาพรวมของประเทศเดินเข้าสู่ขั้นอันตราย ซึ่งสถานการณ์ที่ประชาชนต้องประสบในปัจจุบันนอกจากการเข้าสู่ยุคข้าวยาก น้ำมันแพง จากการปั่นราคาน้ำมันและราคาข้าวสูงเกินจริงของผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ที่รัฐบาลควรหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง และหยุดตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วหันมาควบคุมผู้เกี่ยวข้อง ในวงการน้ำมันไม่ให้ปั่นราคาจนสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค และภาคขนส่งทั้งประเทศ
ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่สูงเกือบลิตรละ 40 บาทของไทย ถือเป็นราคาที่สูงเกินจริง และเหตุใดมาเลเซีย ขายน้ำมันลิตรละ 20 บาทได้แต่ไทยขายไม่ได้หากไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลควรออกมาแจกแจงให้ประชาชนรู้ว่าราคาน้ำมันที่สูงเช่นนี้เกิดจากการกระจายออกไปสู่ส่วนใดบ้างเพื่อให้เกิดความกระจ่าง เพราะในความเป็นจริง หากรัฐบาลจริงใจที่จะสนับสนุนให้ภาคผลิตสินค้าการเกษตร ที่มีทั้งอ้อย ข้าว มันสำปะหลัง มาผลิตพลังงานทางธรรมชาติทั้งเอทานอล หรือแก๊สโซฮอล์ เพื่อใช้เองแทนการนำเข้าจากประเทศอินเดีย จะทำให้ประชาชนคนไทยได้ใช้น้ำมันในราคาลิตรละ 20 บาทเท่านั้น
"ผมกล้าบอกกับรัฐบาลได้เลยว่า ตอนนี้สมาคมโรงงานฯ มัน พร้อมแล้วที่จะนำพลังงานเหล่านี้มาผลิตเป็นส่วนผสมของน้ำมัน และรัฐบาลล่ะพร้อมหรือยังที่จะสนับสนุนให้โรงงานผลิตเอทานอลที่มีอยู่ 45 แห่งทั่วประเทศเกิดอย่างจริงจัง ”
นายนิยม ยังบอกอีกว่าการปล่อยปละละเลยของรัฐบาล จนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงเช่นนี้ จะมีผลต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจำนวนกว่า 8 ล้านคนใน 40 จังหวัดทั่วประเทศ ที่จะต้องได้รับความเดือดร้อนจากค่าขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นอีก 20% จากเดิมที่สัดส่วนรายได้จากการขายหัวมันสด ต้องถูกแบ่งเป็นค่าขนส่ง 30% แต่ในวันนี้ขยับ เป็น 50% แล้วและจะทำให้เกษตรกรต้องจ่ายค่าขนส่งในปี 2551 เพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่จ่ายไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท และจะทำให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ภาคการผลิตหัวมันสดจากเดิมที่เคยได้ 4 หมื่นล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้น
“ผมไม่ต่อว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะเขาเห็นมุมมองในการโกงกิน หรือแม้แต่การเอาแขกอาหรับ เข้ามาดูภาคการเกษตรของไทย เพราะแขกกลุ่มนี้มองเห็นแล้วว่าประเทศไทย เป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่จะย้ายการลงทุนเข้ามาหลังจากแหล่งน้ำมันของเขาเริ่มเหลือน้อยลง ผมอยากจะบอกว่าคนไทยอย่าไปหลงกลแขกกลุ่มนี้ เพราะถ้าเราขายที่ดินที่เป็นผืนนาผืนสุดท้าย แขกกลุ่มนี้ก็จะเข้ามาเอาอธิปไตยของเราไปได้”
นายนิยม กล่าวย้ำอีกว่าคำพูดของนักการเมืองเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ และหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขเรื่องราคาน้ำมันความหายนะจะกลับมาเยือนภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยอีกครั้ง ที่สำคัญจะเกิดการชุมนุมประท้วงและปิดถนนอย่างแน่นอน จากผลกระทบของค่าขนส่งภายในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่การขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศยังสูงอีกด้วย ทางที่ดีรัฐบาลควรสนับสนุนให้ประเทศไทยมีการผลิตพลังงานทางธรรมชาติเพื่อใช้เอง แทนการนำเข้าจากต่างประเทศและปล่อยให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ต้องแบกภาระค่าขนส่งในการส่งไปขายต่างประเทศ ทั้งที่ประเทศไทย ยังมีความต้องการพลังงานเหล่านี้อยู่แต่รัฐบาลกลับนำเข้าจากต่างประเทศ