xs
xsm
sm
md
lg

ถอยด้วยการถอน : เหตุเพราะถึงทางตัน

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ในขณะที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังรุกคืบหน้าต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมอันเกิดจากการปกครองด้อยประสิทธิภาพ และขาดคุณธรรม จริยธรรมที่นักการเมืองพึงมีพึงเป็นของรัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน อันเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลผสม 6 พรรค และความไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดการชุมนุมต่อต้านในครั้งนี้มีมากมายหลายประการ แต่ที่พออนุมานผลความเสียหายแก่ประเทศชาติโดยรวมมีดังต่อไปนี้

1. นับจากที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่ได้แสดงศักยภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และก่อความเดือดร้อนแก่ส่วนรวม เป็นต้นว่า ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเกิดขึ้นมาก่อนและเรื่อยๆ มาให้ลดลง แถมยังก่อความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นด้วยการขึ้นราคาน้ำตาลและข้าวสาร จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง

2. ในขณะที่ไม่พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นดังได้บอกในข้อ 1 รัฐบาลชุดนี้ได้แสดงเจตนาอย่างชัดเจนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลตัวเอง และพวกพ้อง ดังจะเห็นได้จากการที่จะแก้มาตรา 237 เพื่อช่วยให้พรรคที่กำลังจะถูกยุบพ้นผิด และมาตรา 309 เพื่อช่วยให้กลุ่มอำนาจเก่าพ้นผิดจากคดีความต่างๆ ที่ คตส.ได้ดำเนินการฟ้องร้องไปแล้ว และกำลังดำเนินการอยู่

3. รัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลชุดนี้ตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาไม่แจ้งทรัพย์สิน และข้อหาหมิ่นเบื้องสูง

แต่นายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะผู้นำรัฐบาลไม่แสดงความเป็นผู้นำในการแก้ไขโดยการปรับออกจาก ครม.

ตรงกันข้ามได้ออกมาพูดในทำนองปกป้องด้วยซ้ำ

ในเหตุ 3 ประการดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าแต่ละประการก็มีความชัดเจนพอที่จะให้ประชาชนคนเสียภาษีออกมาต่อต้าน และขับไล่ได้อย่างมีเหตุมีผล ถ้ายิ่งได้นำไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานของนักการเมืองในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ญี่ปุ่นที่รัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่าทุจริต ก็หนีความผิดด้วยการแขวนคอตายหนีความอับอายด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่าแค่ออกมาขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่งยังน้อยไป ทางที่ควรจะทำก็คือจะต้องมีการผลักดันให้มีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้ จึงจะเหมาะสมและถือได้ว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงมิใช่แค่รูปแบบ

แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขียนบทความนี้ (วันศุกร์ที่ 30 พ.ค.) ได้มีข่าวออกมาว่า ได้มีการถอนชื่อผู้ที่ยื่นขอแก้รัฐธรรมนูญออกไปจนเหลืออยู่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดให้ยื่นได้คือ 128 คนแล้ว จึงถือได้ว่าการยื่นขอแก้รัฐธรรมนูญตกไป และในวันเดียวกันนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นเบื้องสูงได้แถลงขอลาออกจากตำแหน่งแล้ว จึงทำให้ดูเหมือนว่าเรื่องร้ายๆ ลดลงแล้ว และน่าจะทำให้การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหมดเงื่อนไขในการชุมนุมลงไป

แต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งหลงกลและคล้อยตามการแก้เกมของฝ่ายรัฐบาลที่มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอด และในขณะเดียวกันปกป้องนายจักรภพ เพ็ญแข มาตลอดเช่นกัน ว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ และเรื่องการลาออกของนายจักรภพ คือการยอมถอยอย่างแท้จริง ถ้าเชื่อเช่นนั้นก็เท่ากับตกกลลวงของฝ่ายรัฐที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ว่ารู้สึกสำนึกผิด และแก้ไขปัญหาทั้ง 2 ที่ว่านี้ด้วยความมีหิริและโอตตัปปะ แต่ที่ต้องทำเช่นนี้ด้วยจำนนต่อสถานการณ์ที่รุกคืบเข้ามาจนแก้ไขไม่ตก เหมือนผู้ร้ายที่ถูกจับได้และต้องสารภาพ เนื่องจากจำนนต่อหลักฐานก็มิได้หมายความว่าความเป็นผู้ร้ายได้หมดไป ตรงกันข้ามความเป็นผู้ร้ายยังคงอยู่ และการที่จะคืนสู่ความเป็นผู้ร้ายมีได้ทุกเมื่อที่โอกาสอำนวย ทั้งนี้อนุมานได้โดยอาศัยตรรกะดังนี้

การแก้รัฐธรรมนูญที่ทางฝ่ายรัฐบาลบอกตลอดเวลาว่าเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารไม่เกี่ยวกันนั้น ถ้ามองในแง่นิตินัยที่กฎหมายแยกฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกัน และแต่ละฝ่ายทำงานอย่างเป็นเอกเทศ เป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กันนั้น ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ก็จะพบว่าในทางพฤตินัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องในทางพฤตินัย เพราะ ส.ส.ที่เข้าชื่อยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่สังกัดพรรคพลังประชาชน และที่สำคัญประธานสภาฯ ก็เป็นลูกพรรคของพรรคพลังประชาชนที่นายสมัคร สุนทรเวช นั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรค แล้วจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร

สมมติว่าการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ส.ส. และ ส.ว. คิดเองทำเองอย่างอิสระโดยที่พรรคไม่เกี่ยวข้อง แต่นายสมัครไม่เห็นด้วยกับขั้นตอนการยื่น เช่น ควรทำประชามติก่อน ทำไมไม่ท้วงติงและชี้นำให้ดำเนินการก่อนจะเกิดการยื่นญัตตินี้

แต่นี่ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปถึงขั้นยื่นต่อประธานสภาฯ และมีการยืนยันว่าไม่ต้องทำประชามติจนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม และพันธมิตรฯ ได้ออกมาคัดค้านเต็มถนนจึงได้ออกมาถอนชื่อกัน เหตุการณ์ที่ว่านี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากว่าเป็นการถอยเพราะถึงทางตัน แต่ถ้าพันธมิตรฯ ถอนตัวก็ไม่มีใครประกันได้ว่าฝ่ายแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่ยื่นเรื่องนี้เข้าไปใหม่ และถ้ามีการยื่นเข้าไปอีกครั้งฝ่ายต่อต้านคงต้องออกแรงอีกครั้งแน่นอนว่าครั้งต่อไปไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะมีคนออกมาร่วมเท่าเดิม และที่สำคัญไม่มีใครเชื่อว่าฝ่ายแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่ใช้ยุทธวิธีปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของแกนนำพันธมิตรฯ ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นต้นว่า ได้รับผลประโยชน์จึงถอนตัว และถ้าเกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นจริงใครคือผู้เสียหาย แน่นอนว่าแกนนำพันธมิตรฯ เสียหาย แต่ผู้ที่จะได้รับความเสียหายมากกว่าคือประเทศชาติโดยรวม ถ้าวิธีการแก้รัฐธรรมนูญจบลงด้วยเจตนาที่ซ่อนเร้น และสังคมไทยได้รับความเป็นธรรมจากการแก้รัฐธรรมนูญในทำนองที่เป็นอยู่ขณะนี้

นอกจากแกนนำพันธมิตรฯ และสังคมโดยรวมได้รับความเสียหายแล้ว ประชาธิปไตยที่ใครต่อใครเรียกหาก็จะถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยมสามานย์ และนี่เองคือจุดจบของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะประเทศคงเป็นประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบ แต่เนื้อหาคือเผด็จการภายใต้กรงเล็บของนายทุนสามานย์ที่ใครบางคนกำกับอยู่เบื้องหลัง โดยอาศัยกำลังเงินที่ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่เว้นแม้แต่ปืนที่ซื้อมาด้วยเงินภาษีของประชาชนก็จะถูกซื้อเพื่อให้ระบบทุนนิยมสามานย์ดำเนินการได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังเชื่อว่าประเทศจากอดีตจนถึงปัจจุบันเคยผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง และทุกครั้งก็ผ่านมาได้ด้วยอำนาจแห่งพระสยามเทวาธิราชคอยคุ้มครองปกป้องให้พ้นจากภัยในครั้งนี้ก็น่าจะทำนองเดียวกัน คือ คนที่คิดไม่ดีและทำไม่ดีก็คงจะพ่ายแพ้ต่อบุญบารมีของพระสยามเทวาธิราชเช่นเคย เพียงแต่จะนานเท่าไหร่และจะใช้วิธีใดให้คนพาลพ่ายแพ้เท่านั้นเอง

สุดท้ายนี้ ขอจบด้วยคำกลอนสอนดีที่ทำดีเพื่อส่วนรวม

วันนี้คนดีอยู่ไหนทำอะไรอยู่
ออกมาสู้กับคนชั่วอย่ามัวหลง
ลาภยศสินทรัพย์ที่ได้ไม่มั่นคง
ถ้าพะวงจะเสียโอกาสเป็นคนดี

กำลังโหลดความคิดเห็น