นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววระหว่างการแถลงข่าว “99วันเวลาที่เสียไปกับโอกาสที่รออยู่” ในโอกาสที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ทำงานครบ99วันว่า รัฐบาลได้อำนาจการบริหารประเทศมาจาก การเลือกตั้งแต่กลับทำให้ประเทศเสียโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์กับมุ่งเน้นแต่ประเด็นการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 จนกลายเป็นชนวนความขัดแย้งในสังคม ทั้งๆ ที่ประเทศชาติกำลังเผชิญกับวิกฤติหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“จากปัญหาที่เผชิญมา99วันรัฐบาลต้องเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาการเมือง ด้วยการถอนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเลิกล้มการทำประชามติ ซึ่งพรรคไม่ปฎิเสธการปรับปรุงรัฐธรรมนูญแต่ต้องตั้งคณะกรรมการร่วมกันศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้รัฐบาลต้องตั้งเวทีแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยดึงทุกฝ่ายเข้าไปร่วมแก้ปัญหาทำได้พรรคพร้อมนำบุคลากรสนับสนุน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หังหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียโอกาส ไปมาก คือ การไม่จัดทำงบประมาณกลางปีประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การจัดการเรียนฟรีจริง 1.75 หมื่นล้านบาท จัดเบี้ยเลี้ยงให้อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน 8 แสนคน 2.8 พันล้านบาท ตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงทุกตำบล 1.1หมื่นล้านบาทและจัดเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี 1.8 หมื่นล้านบาท
“ทั้งหมดนี้ได้เสนอต่อน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลังแต่กลับถูกปฎิเสธทั้งหมด จึงเสียโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการวางรากฐานที่ดี สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเสียโอกาสในการลดภาระและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เพราะในรายการต่างๆ ของงบกลางปีช่วยลดภาระของผู้ปกครอง ที่สำคัญสูญเสียในการเริ่มต้นพัฒนาคนอย่างจริงจัง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้เวลาแล้วที่รัฐบาลควรจะแปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส อย่างวิกฤตอาหารตอนนี้ จะเป็นโอกาสที่ให้รัฐบาลเข้ามาการจัดผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกร ผู้แปรรูป พ่อค้าคนกลาง และผู้ส่งออก เพื่อให้คนไทยจะได้ประโยชน์สูงสูดจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นสูงในตลาดโลก ซึ่งสามารถทำได้ในรูปแบบ สหกรณ์การเกษตร สภาเกษตร เป็นต้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนการแก้วิกฤติพลังงานในตอนนี้รัฐบาลต้องทบทวน บทบาทของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพราะในขณะที่คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนกับปัญหานี้แต่ไทยมีรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรปีละแสนล้านบาท ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องทาง เศรษฐกิจ และต้นตอของปัญหาสะท้อนมาจากนายสมัครเองว่าปตท.ไปยุ่งไม่ได้เพราะว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีผู้ถือหุ้นแล้ว
“เพราะฉะนั้น วันนี้รัฐบาลต้องเลือกว่าให้ปตท.เป็นอะไร ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ แบบนี้ คือ เมื่อปตท.บอกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ จะให้รัฐบาลเข้าใช้นโยบายในฐานะของการเป็นรัฐเพื่อให้ปตท.ทำอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันพอปตท.บอกว่าเป็นบริษัทเอกชนแต่เมื่อรัฐบาลจะใช้กฎหมายที่จัดการอำนาจผูกขาดก็บอกว่าใช้ไม่ได้ เพราะปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เช่นเดียวกับแก๊สที่มีผูกขาดทั้งต้นทางและปลายทาง ปตท.ขายแก๊สให้กับการไฟฟ้าซึ่งเป็นภาระของประชาชนในราคาที่แพงกว่าขายให้กับบริษัทในเครือของตัวเอง ทั้งหมดเป็นความผิดในเชิงโครงสร้างที่ต้องมีการแก้ เพราะปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างที่ผูกขาดไม่สมดุลนี้มันนำมาสู่ภาระของประชาชน
“99 วันของการบริหารงานภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นอกจากจะทำให้ประเทศเสียโอกาสแล้ว ยังกำลังพาประเทศตกเข้าสู่กับดักทางการเมือง ที่รัฐเป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อคนเพียงคนเดียว จนกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนอยู่ในเวลานี้ ผมเคยบอกตั้งแต่แรกว่า นายสมัคร จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ใช่ตัวแทนของใคร เพราะขณะนี้คนที่มีอำนาจ ทางกฎหมายคือนายสมัคร หากคิดจะทำคุณให้กับแผ่นดินก่อนวางมือทางการเมือง ก็ควรใช้อำนาจลดความขัดแย้งทางสังคม และเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการมองทิศทางของประเทศ แทนการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคพวก จึงยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนแนวทางการบริหาร และเดินหน้าสู่การ บริหารงานที่ถูกต้อง เพื่อพิสูจน์ว่าท่านคือนายกฯตัวจริง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่ หากรัฐบาลตัดสินใจหยุดชนวนความขัดแย้งต่างๆ ทางการเมืองและจัดให้มีเวทีการแลกเปลี่ยนการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ของประชาชน ตนก็พร้อมที่จะนำบุคลากรของพรรคสนับสนุนและเข้าร่วม
“จากปัญหาที่เผชิญมา99วันรัฐบาลต้องเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาการเมือง ด้วยการถอนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเลิกล้มการทำประชามติ ซึ่งพรรคไม่ปฎิเสธการปรับปรุงรัฐธรรมนูญแต่ต้องตั้งคณะกรรมการร่วมกันศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้รัฐบาลต้องตั้งเวทีแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยดึงทุกฝ่ายเข้าไปร่วมแก้ปัญหาทำได้พรรคพร้อมนำบุคลากรสนับสนุน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หังหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียโอกาส ไปมาก คือ การไม่จัดทำงบประมาณกลางปีประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การจัดการเรียนฟรีจริง 1.75 หมื่นล้านบาท จัดเบี้ยเลี้ยงให้อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน 8 แสนคน 2.8 พันล้านบาท ตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงทุกตำบล 1.1หมื่นล้านบาทและจัดเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี 1.8 หมื่นล้านบาท
“ทั้งหมดนี้ได้เสนอต่อน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลังแต่กลับถูกปฎิเสธทั้งหมด จึงเสียโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการวางรากฐานที่ดี สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเสียโอกาสในการลดภาระและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เพราะในรายการต่างๆ ของงบกลางปีช่วยลดภาระของผู้ปกครอง ที่สำคัญสูญเสียในการเริ่มต้นพัฒนาคนอย่างจริงจัง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้เวลาแล้วที่รัฐบาลควรจะแปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส อย่างวิกฤตอาหารตอนนี้ จะเป็นโอกาสที่ให้รัฐบาลเข้ามาการจัดผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกร ผู้แปรรูป พ่อค้าคนกลาง และผู้ส่งออก เพื่อให้คนไทยจะได้ประโยชน์สูงสูดจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นสูงในตลาดโลก ซึ่งสามารถทำได้ในรูปแบบ สหกรณ์การเกษตร สภาเกษตร เป็นต้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนการแก้วิกฤติพลังงานในตอนนี้รัฐบาลต้องทบทวน บทบาทของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพราะในขณะที่คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนกับปัญหานี้แต่ไทยมีรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรปีละแสนล้านบาท ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องทาง เศรษฐกิจ และต้นตอของปัญหาสะท้อนมาจากนายสมัครเองว่าปตท.ไปยุ่งไม่ได้เพราะว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีผู้ถือหุ้นแล้ว
“เพราะฉะนั้น วันนี้รัฐบาลต้องเลือกว่าให้ปตท.เป็นอะไร ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ แบบนี้ คือ เมื่อปตท.บอกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ จะให้รัฐบาลเข้าใช้นโยบายในฐานะของการเป็นรัฐเพื่อให้ปตท.ทำอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันพอปตท.บอกว่าเป็นบริษัทเอกชนแต่เมื่อรัฐบาลจะใช้กฎหมายที่จัดการอำนาจผูกขาดก็บอกว่าใช้ไม่ได้ เพราะปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เช่นเดียวกับแก๊สที่มีผูกขาดทั้งต้นทางและปลายทาง ปตท.ขายแก๊สให้กับการไฟฟ้าซึ่งเป็นภาระของประชาชนในราคาที่แพงกว่าขายให้กับบริษัทในเครือของตัวเอง ทั้งหมดเป็นความผิดในเชิงโครงสร้างที่ต้องมีการแก้ เพราะปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างที่ผูกขาดไม่สมดุลนี้มันนำมาสู่ภาระของประชาชน
“99 วันของการบริหารงานภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นอกจากจะทำให้ประเทศเสียโอกาสแล้ว ยังกำลังพาประเทศตกเข้าสู่กับดักทางการเมือง ที่รัฐเป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อคนเพียงคนเดียว จนกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนอยู่ในเวลานี้ ผมเคยบอกตั้งแต่แรกว่า นายสมัคร จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ใช่ตัวแทนของใคร เพราะขณะนี้คนที่มีอำนาจ ทางกฎหมายคือนายสมัคร หากคิดจะทำคุณให้กับแผ่นดินก่อนวางมือทางการเมือง ก็ควรใช้อำนาจลดความขัดแย้งทางสังคม และเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการมองทิศทางของประเทศ แทนการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคพวก จึงยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนแนวทางการบริหาร และเดินหน้าสู่การ บริหารงานที่ถูกต้อง เพื่อพิสูจน์ว่าท่านคือนายกฯตัวจริง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่ หากรัฐบาลตัดสินใจหยุดชนวนความขัดแย้งต่างๆ ทางการเมืองและจัดให้มีเวทีการแลกเปลี่ยนการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ของประชาชน ตนก็พร้อมที่จะนำบุคลากรของพรรคสนับสนุนและเข้าร่วม