ปัญหาวิกฤตชาติสี่ด้านคือวิกฤตเกี่ยวกับสถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และความทุกข์ยากขมขื่นของประชาชนทั่วประเทศ ไม่เคยได้รับการใส่ใจเหลียวแลใดๆ จากรัฐ เพราะมัวแต่สนใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียวเท่านั้น
ทำให้เกิดกระแสที่น่าวิตกกระแสหนึ่ง นั่นคือกระแสความคิดที่ว่าถ้าหากพวกโจรครองเมืองหรือพวกชั่วครองเมืองอยู่เช่นนี้ ก็ให้ทหารปกครองประเทศไปเลยจะดีกว่า!
แต่ละวันเห็นแต่ข่าวคราวการปล้นชิงวิ่งราวที่กระทำกันไม่เลือก แม้กระทั่งของศักดิ์สิทธิ์หรือของคู่บ้านคู่เมืองทั่วทุกภาคของประเทศไทย เห็นแต่ข่าวเกษตรกรคนยากคนจนประท้วงให้รัฐช่วยเหลือพยุงราคาสินค้า
บ้างถึงขนาดเผาเรือประมงกันแล้ว ดังเช่นการเผาเรือประมงของชาวเรือประมงนครศรีธรรมราช หรือการเผาเรือประมงของชาวเรือประมงสงขลา ที่เผากันในอ่าวไทย แสงเพลิงแดงฉาน ควันเพลิงคละคลุ้งทั่วทั้งอ่าว
การเผาเรือประมงนั้นเป็นความคับแค้นทางจิตใจสุดแสนสาหัสของชาวประมงภาคใต้ เพราะเรือประมงคือชีวิตของคนพื้นที่ภาคใต้ การเผาเรือประมงที่ผ่านมาและการเตรียมการที่จะเผาต่อไปอีกแสดงให้เห็นถึงความเหลืออดเหลือทนของประชาชนเต็มทีแล้ว
ปัญหาวิกฤตทั้งสี่ด้านขยายตัวลุกลามหนักหน่วงเร่งอุณหภูมิความรู้สึกของประชาชนขึ้นสู่กระแสสูงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ก่อความวิตกกังวลทั่วไป แม้ในบรรดาผู้นำเหล่าทัพก็มีการประชุมลับติดตามสถานการณ์แล้วหลายครั้ง
ก็ไม่รู้ว่าวันไหนที่อุณหภูมิถึงขีดสุดที่ทำให้ต้องหมดความอดทนกับกลุ่มคนชั่วครองเมือง แต่ก็คงอีกไม่นานเท่าใดนักดอก เพราะการสุมไฟเรื่องแก้รัฐธรรมนูญอาจเป็นฟืนดุ้นสุดท้ายก็ได้
การสุมไฟแก้รัฐธรรมนูญยังไม่พอ ปัญหาเรื่องการขายอธิปไตยของชาติโดยเล่ห์กลอุบายใช้ชั้นเชิงกฎหมายปิดปากประเทศไทยและคนไทยแบบที่เคยเสียปราสาทพระวิหารมาแล้ว ยังคงเดินหน้าต่อไป
ด้วยคำมั่นสัญญาแบบผายลมที่ว่าจะไม่มีการยกอธิปไตยให้กับเขมรเป็นอันขาด จะมีการเจรจากันต่อไปแบบ win-win
มันไม่มีไอ้บ้าที่ไหนกล้าทำสัญญายกดินแดนหรืออธิปไตยของชาติให้กับเขมรหรอก! แต่การไม่โต้แย้ง ไม่คัดค้านแผนที่ดินแดนบริเวณเขาพระวิหารที่เขมรยื่นขอเป็นมรดกโลกนั่นต่างหากที่เป็นประเด็นใหญ่
เพราะเขมรเขียนแผนที่เอาพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอื่นในบริเวณนั้นเป็นเนื้อที่ 2.5 ตารางกิโลเมตรแล้วยังไม่พอ ยังขยายพื้นที่รวมไปกินเอาอุทยานแห่งชาติพระวิหารเข้าไปอีก 8 ตารางกิโลเมตร รวมเป็น 10.5 ตารางกิโลเมตร
แล้วใช้แผนที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ตั้งมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งเขมรเขาได้ล็อบบี้กรรมการมรดกโลกไปแล้วกว่าครึ่ง และมีแนวโน้มว่าจะได้รับอนุมัติ
ดังนั้นถ้าหากไทยไม่คัดค้านหรือไม่ยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมไปด้วยก็เท่ากับเรายอมรับหรือไม่โต้แย้งอาณาเขตมรดกโลกปราสาทพระวิหารดังกล่าว ก็จะเสียดินแดนทำนองเดียวกับเสียปราสาทพระวิหาร แต่คราวนี้จะเสียดินแดนถึง 10.5 ตารางกิโลเมตร
การแหกตาคนไทยว่าจะเจรจาแบบ win-win ไม่มีคุณค่าใดๆ ในการปกปักรักษาอธิปไตยของชาติเลย
ก็เป็นอันว่าสถานการณ์ส่อเค้าว่าเราจะเสียดินแดน 10.5 ตารางกิโลเมตร ด้วยเล่ห์กลกฎหมายปิดปากเสียเป็นมั่นคง
และมันยังส่อว่าจะสูญเสียดินแดนในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยทั้งที่เป็นบริเวณแหล่งก๊าซธรรมชาติ และบริเวณใกล้เกาะกูดอีกด้วย แต่นั่นแหละมันจะเสียดินแดนโดยไม่ต้องทำสัญญายกดินแดนให้เขมร แต่เป็นการเสียดินแดนโดยวิธีการยอมรับแผนที่ที่เขมรทำขึ้น
มันก็คือการขายชาติชัดๆ !
เท่านี้ยังไม่พอ กำลังจะลามปามลงไปภาคใต้ ซึ่งต้องจับตาดูให้ดีเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย ซึ่งขณะนี้แม้ตกลงแบ่งปันผลประโยชน์กันได้แล้ว มาเลเซียเขาขุดก๊าซธรรมชาติไปใช้ตั้งหลายปีแล้ว แต่ของไทยยังหาที่วางท่อขึ้นฝั่งไม่ได้
ไอ้โม่งกำลังจับจ้องผลประโยชน์เรื่องนี้ตาเป็นมัน และมันจะเชื่อมโยงกับแหล่งก๊าซธรรมชาติในบริเวณทับซ้อนไทย-กัมพูชาด้วย
มันเกี่ยวโยงกับข่าวคราวการเช่าเกาะกงและเกาะอื่นรวม 3 เกาะเป็นเวลา 99 ปีจากกัมพูชา ในทำนองเดียวกับที่อังกฤษเคยบังคับเช่าเกาะฮ่องกงจากจีนในสมัยราชวงศ์ชิง
พื้นที่ตรงนี้ก็จะเป็นเสมือนรัฐใหม่ขึ้นมาอีกรัฐหนึ่ง เป็นศูนย์รวมผลประโยชน์แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยทั้งในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา และไทย-มาเลเซียก็ได้
จะเป็นแหล่งลำเลียงก๊าซไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนก็ได้ใครจะไปรู้
วันนี้ก็มีข่าวใหญ่ขึ้นอีกข่าวหนึ่งแล้ว แต่เห็นจะมีเครือผู้จัดการแห่งเดียวเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ในขณะที่สำนักพิมพ์อื่นไม่ยอมเสนอข่าวนี้
นั่นคือข่าวคราวเรื่องคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายการขนส่งและจราจรกระทรวงคมนาคมลงนามในข้อตกลงกับบริษัทดูไบเวิลด์จากสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตต์
ข้อตกลงนี้มีเนื้อหาว่าบริษัทดังกล่าวจะให้ทุนเพื่อศึกษาการก่อสร้างแลนด์บริดจ์หรือทางเชื่อมสองฟากฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทย คือทะเลอันดามันกับอ่าวไทยตรงบริเวณจังหวัดสตูล
อ้างว่าเป็นการให้เปล่า แต่หนอยแน่ะกลับซ่อนซ้อนเงื่อนเอาไว้บรรทัดหนึ่งว่า ถ้าผลการศึกษาปรากฏว่าสามารถก่อสร้างแลนด์บริดจ์ได้ รัฐบาลไทยจะต้องตกลงให้บริษัทดังกล่าว หรือบริษัทอื่นที่บริษัทนี้เป็นผู้เสนอได้งานก่อสร้างจากรัฐบาลไทย
อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นสัญญาแบบให้เปล่า เพราะเป็นสัญญาที่มีภาระผูกพันระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทต่างประเทศ เพราะแม้บริษัทดังกล่าวนี้จะมีราชนิกูลของเจ้าผู้ครองนครดูไบเป็นผู้บริหารก็ตาม ก็ยังเป็นบริษัทต่างชาติอยู่วันยังค่ำ ไม่ใช่ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มุบมิบมักง่ายทำกันแบบนี้ไม่ได้ เพราะเป็นการผิดกฎหมายว่าด้วยการฮั้วอย่างหนึ่ง เป็นการสร้างภาระผูกพันเหนืออธิปไตยและเหนือบูรณภาพดินแดนของประเทศไทยอย่างหนึ่ง เป็นการผิดกฎหมายร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนอีกอย่างหนึ่ง
เป็นอันว่าผิดกฎหมายมากมายหลายฉบับนัก และที่สำคัญคือข้อตกลงผูกมัดแบบมีเงื่อนไขที่เกี่ยวกับดินแดนภาคใต้ตอนล่างแบบคลุมเครือเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ก็ในวันนี้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคุกรุ่นอยู่ไม่ใช่หรือ และจังหวัดสตูลก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีเชื้อไฟปะทุอยู่
แน่นอนว่าเคยมีผลการศึกษาเมื่อครั้งศึกษาโครงการคลองกระว่าจะไม่กระทบต่อปัญหาความมั่นคง แต่นั่นเป็นผลการศึกษาในช่วงที่ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ระเบิดเถิดเทิงดังเช่นปัจจุบันนี้
ดังนั้นเมื่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งคาบเกี่ยวต่อเนื่องกับพื้นที่จังหวัดสตูลระเบิดเถิดเทิงรุนแรงขนาดนี้ ย่อมกระทบต่อผลการศึกษาดังกล่าวนั้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จึงต้องถามใจรัฐบาล ชคม. ว่าการไปมุบมิบทำสัญญาผูกพันกับบริษัทต่างชาติจากดูไบในเรื่องนี้ได้มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือไม่?
มันจะกระทบต่อปัญหาความมั่นคงและทำให้การแก้ไขปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มขึ้นหรือไม่?
ที่สำคัญคือ จะทำให้อิทธิพลจากต่างประเทศเข้ามาปกแผ่เหนือดินแดนตอนใต้แลนด์บริดจ์ที่ว่านี้ และจักอำนวยประโยชน์ที่ทำให้ขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นหรือไม่?
พูดกันให้ชัดๆ ก็คือการมุบมิบทำข้อตกลงผูกพันเรื่องแลนด์บริดจ์คราวนี้ จะทำให้ประเทศไทยต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจขยายตัวลามขึ้นมาถึงตอนใต้ของพื้นที่แลนด์บริดจ์หรือไม่?
มีใครหน้าไหนที่จะเปิดเผยข้อมูลให้คนไทยทั้งประเทศซึ่งเป็นเจ้าของประเทศนี้ให้ได้รับรู้ความจริงกันบ้างเล่า?
การจงใจฝ่าฝืนกฎหมายหลายบท หลายกระทง หลายสถาน ในขณะที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาความมั่นคงของชาติและอาจกระทบต่อปัญหาเอกราชอธิปไตยเพิ่มขึ้นอีกจุดหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่จะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้
รัฐบาลจะต้องบอกกล่าวชี้แจงความจริงต่อประชาชน ทั้งในด้านความชอบของการดำเนินการว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการทำข้อตกลงแบบให้เปล่าหรือว่ามีพันธะผูกพันกันแน่ และเป็นการผูกมัดเอาประเทศไทยให้เป็นฝ่ายเสียเปรียบบริษัทจากดูไบหรือไม่
สภาความมั่นคงแห่งชาติหรือสภากลาโหม ตลอดจน กอ.รมน. จะต้องตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ว่ากระทบต่อปัญหาความมั่นคงของชาติและจะทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ใต้แลนด์บริดจ์ลงไปตลอดจนถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่
และมันจะเชื่อมโยงกับการขายชาติหรือปล้นทรัพยากรก๊าซธรรมชาติของประเทศชาติหรือไม่
ทั่วประเทศจะต้องจับตาและติดตามเรื่องนี้ และในขณะนี้ก็ต้องประกาศในฐานะประชาชนชาวไทยว่าข้อตกลงแบบให้เปล่าที่จะทำขึ้นระหว่างสำนักงานนโยบายการขนส่ง และจราจรของกระทรวงคมนาคมกับบริษัทจากดูไบเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประเทศไทยและประชาชนชาวไทยทุกเมื่อ.
ทำให้เกิดกระแสที่น่าวิตกกระแสหนึ่ง นั่นคือกระแสความคิดที่ว่าถ้าหากพวกโจรครองเมืองหรือพวกชั่วครองเมืองอยู่เช่นนี้ ก็ให้ทหารปกครองประเทศไปเลยจะดีกว่า!
แต่ละวันเห็นแต่ข่าวคราวการปล้นชิงวิ่งราวที่กระทำกันไม่เลือก แม้กระทั่งของศักดิ์สิทธิ์หรือของคู่บ้านคู่เมืองทั่วทุกภาคของประเทศไทย เห็นแต่ข่าวเกษตรกรคนยากคนจนประท้วงให้รัฐช่วยเหลือพยุงราคาสินค้า
บ้างถึงขนาดเผาเรือประมงกันแล้ว ดังเช่นการเผาเรือประมงของชาวเรือประมงนครศรีธรรมราช หรือการเผาเรือประมงของชาวเรือประมงสงขลา ที่เผากันในอ่าวไทย แสงเพลิงแดงฉาน ควันเพลิงคละคลุ้งทั่วทั้งอ่าว
การเผาเรือประมงนั้นเป็นความคับแค้นทางจิตใจสุดแสนสาหัสของชาวประมงภาคใต้ เพราะเรือประมงคือชีวิตของคนพื้นที่ภาคใต้ การเผาเรือประมงที่ผ่านมาและการเตรียมการที่จะเผาต่อไปอีกแสดงให้เห็นถึงความเหลืออดเหลือทนของประชาชนเต็มทีแล้ว
ปัญหาวิกฤตทั้งสี่ด้านขยายตัวลุกลามหนักหน่วงเร่งอุณหภูมิความรู้สึกของประชาชนขึ้นสู่กระแสสูงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ก่อความวิตกกังวลทั่วไป แม้ในบรรดาผู้นำเหล่าทัพก็มีการประชุมลับติดตามสถานการณ์แล้วหลายครั้ง
ก็ไม่รู้ว่าวันไหนที่อุณหภูมิถึงขีดสุดที่ทำให้ต้องหมดความอดทนกับกลุ่มคนชั่วครองเมือง แต่ก็คงอีกไม่นานเท่าใดนักดอก เพราะการสุมไฟเรื่องแก้รัฐธรรมนูญอาจเป็นฟืนดุ้นสุดท้ายก็ได้
การสุมไฟแก้รัฐธรรมนูญยังไม่พอ ปัญหาเรื่องการขายอธิปไตยของชาติโดยเล่ห์กลอุบายใช้ชั้นเชิงกฎหมายปิดปากประเทศไทยและคนไทยแบบที่เคยเสียปราสาทพระวิหารมาแล้ว ยังคงเดินหน้าต่อไป
ด้วยคำมั่นสัญญาแบบผายลมที่ว่าจะไม่มีการยกอธิปไตยให้กับเขมรเป็นอันขาด จะมีการเจรจากันต่อไปแบบ win-win
มันไม่มีไอ้บ้าที่ไหนกล้าทำสัญญายกดินแดนหรืออธิปไตยของชาติให้กับเขมรหรอก! แต่การไม่โต้แย้ง ไม่คัดค้านแผนที่ดินแดนบริเวณเขาพระวิหารที่เขมรยื่นขอเป็นมรดกโลกนั่นต่างหากที่เป็นประเด็นใหญ่
เพราะเขมรเขียนแผนที่เอาพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอื่นในบริเวณนั้นเป็นเนื้อที่ 2.5 ตารางกิโลเมตรแล้วยังไม่พอ ยังขยายพื้นที่รวมไปกินเอาอุทยานแห่งชาติพระวิหารเข้าไปอีก 8 ตารางกิโลเมตร รวมเป็น 10.5 ตารางกิโลเมตร
แล้วใช้แผนที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ตั้งมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งเขมรเขาได้ล็อบบี้กรรมการมรดกโลกไปแล้วกว่าครึ่ง และมีแนวโน้มว่าจะได้รับอนุมัติ
ดังนั้นถ้าหากไทยไม่คัดค้านหรือไม่ยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมไปด้วยก็เท่ากับเรายอมรับหรือไม่โต้แย้งอาณาเขตมรดกโลกปราสาทพระวิหารดังกล่าว ก็จะเสียดินแดนทำนองเดียวกับเสียปราสาทพระวิหาร แต่คราวนี้จะเสียดินแดนถึง 10.5 ตารางกิโลเมตร
การแหกตาคนไทยว่าจะเจรจาแบบ win-win ไม่มีคุณค่าใดๆ ในการปกปักรักษาอธิปไตยของชาติเลย
ก็เป็นอันว่าสถานการณ์ส่อเค้าว่าเราจะเสียดินแดน 10.5 ตารางกิโลเมตร ด้วยเล่ห์กลกฎหมายปิดปากเสียเป็นมั่นคง
และมันยังส่อว่าจะสูญเสียดินแดนในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยทั้งที่เป็นบริเวณแหล่งก๊าซธรรมชาติ และบริเวณใกล้เกาะกูดอีกด้วย แต่นั่นแหละมันจะเสียดินแดนโดยไม่ต้องทำสัญญายกดินแดนให้เขมร แต่เป็นการเสียดินแดนโดยวิธีการยอมรับแผนที่ที่เขมรทำขึ้น
มันก็คือการขายชาติชัดๆ !
เท่านี้ยังไม่พอ กำลังจะลามปามลงไปภาคใต้ ซึ่งต้องจับตาดูให้ดีเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย ซึ่งขณะนี้แม้ตกลงแบ่งปันผลประโยชน์กันได้แล้ว มาเลเซียเขาขุดก๊าซธรรมชาติไปใช้ตั้งหลายปีแล้ว แต่ของไทยยังหาที่วางท่อขึ้นฝั่งไม่ได้
ไอ้โม่งกำลังจับจ้องผลประโยชน์เรื่องนี้ตาเป็นมัน และมันจะเชื่อมโยงกับแหล่งก๊าซธรรมชาติในบริเวณทับซ้อนไทย-กัมพูชาด้วย
มันเกี่ยวโยงกับข่าวคราวการเช่าเกาะกงและเกาะอื่นรวม 3 เกาะเป็นเวลา 99 ปีจากกัมพูชา ในทำนองเดียวกับที่อังกฤษเคยบังคับเช่าเกาะฮ่องกงจากจีนในสมัยราชวงศ์ชิง
พื้นที่ตรงนี้ก็จะเป็นเสมือนรัฐใหม่ขึ้นมาอีกรัฐหนึ่ง เป็นศูนย์รวมผลประโยชน์แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยทั้งในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา และไทย-มาเลเซียก็ได้
จะเป็นแหล่งลำเลียงก๊าซไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนก็ได้ใครจะไปรู้
วันนี้ก็มีข่าวใหญ่ขึ้นอีกข่าวหนึ่งแล้ว แต่เห็นจะมีเครือผู้จัดการแห่งเดียวเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ในขณะที่สำนักพิมพ์อื่นไม่ยอมเสนอข่าวนี้
นั่นคือข่าวคราวเรื่องคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายการขนส่งและจราจรกระทรวงคมนาคมลงนามในข้อตกลงกับบริษัทดูไบเวิลด์จากสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตต์
ข้อตกลงนี้มีเนื้อหาว่าบริษัทดังกล่าวจะให้ทุนเพื่อศึกษาการก่อสร้างแลนด์บริดจ์หรือทางเชื่อมสองฟากฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทย คือทะเลอันดามันกับอ่าวไทยตรงบริเวณจังหวัดสตูล
อ้างว่าเป็นการให้เปล่า แต่หนอยแน่ะกลับซ่อนซ้อนเงื่อนเอาไว้บรรทัดหนึ่งว่า ถ้าผลการศึกษาปรากฏว่าสามารถก่อสร้างแลนด์บริดจ์ได้ รัฐบาลไทยจะต้องตกลงให้บริษัทดังกล่าว หรือบริษัทอื่นที่บริษัทนี้เป็นผู้เสนอได้งานก่อสร้างจากรัฐบาลไทย
อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นสัญญาแบบให้เปล่า เพราะเป็นสัญญาที่มีภาระผูกพันระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทต่างประเทศ เพราะแม้บริษัทดังกล่าวนี้จะมีราชนิกูลของเจ้าผู้ครองนครดูไบเป็นผู้บริหารก็ตาม ก็ยังเป็นบริษัทต่างชาติอยู่วันยังค่ำ ไม่ใช่ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มุบมิบมักง่ายทำกันแบบนี้ไม่ได้ เพราะเป็นการผิดกฎหมายว่าด้วยการฮั้วอย่างหนึ่ง เป็นการสร้างภาระผูกพันเหนืออธิปไตยและเหนือบูรณภาพดินแดนของประเทศไทยอย่างหนึ่ง เป็นการผิดกฎหมายร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนอีกอย่างหนึ่ง
เป็นอันว่าผิดกฎหมายมากมายหลายฉบับนัก และที่สำคัญคือข้อตกลงผูกมัดแบบมีเงื่อนไขที่เกี่ยวกับดินแดนภาคใต้ตอนล่างแบบคลุมเครือเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ก็ในวันนี้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคุกรุ่นอยู่ไม่ใช่หรือ และจังหวัดสตูลก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีเชื้อไฟปะทุอยู่
แน่นอนว่าเคยมีผลการศึกษาเมื่อครั้งศึกษาโครงการคลองกระว่าจะไม่กระทบต่อปัญหาความมั่นคง แต่นั่นเป็นผลการศึกษาในช่วงที่ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ระเบิดเถิดเทิงดังเช่นปัจจุบันนี้
ดังนั้นเมื่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งคาบเกี่ยวต่อเนื่องกับพื้นที่จังหวัดสตูลระเบิดเถิดเทิงรุนแรงขนาดนี้ ย่อมกระทบต่อผลการศึกษาดังกล่าวนั้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จึงต้องถามใจรัฐบาล ชคม. ว่าการไปมุบมิบทำสัญญาผูกพันกับบริษัทต่างชาติจากดูไบในเรื่องนี้ได้มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือไม่?
มันจะกระทบต่อปัญหาความมั่นคงและทำให้การแก้ไขปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มขึ้นหรือไม่?
ที่สำคัญคือ จะทำให้อิทธิพลจากต่างประเทศเข้ามาปกแผ่เหนือดินแดนตอนใต้แลนด์บริดจ์ที่ว่านี้ และจักอำนวยประโยชน์ที่ทำให้ขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นหรือไม่?
พูดกันให้ชัดๆ ก็คือการมุบมิบทำข้อตกลงผูกพันเรื่องแลนด์บริดจ์คราวนี้ จะทำให้ประเทศไทยต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจขยายตัวลามขึ้นมาถึงตอนใต้ของพื้นที่แลนด์บริดจ์หรือไม่?
มีใครหน้าไหนที่จะเปิดเผยข้อมูลให้คนไทยทั้งประเทศซึ่งเป็นเจ้าของประเทศนี้ให้ได้รับรู้ความจริงกันบ้างเล่า?
การจงใจฝ่าฝืนกฎหมายหลายบท หลายกระทง หลายสถาน ในขณะที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาความมั่นคงของชาติและอาจกระทบต่อปัญหาเอกราชอธิปไตยเพิ่มขึ้นอีกจุดหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่จะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้
รัฐบาลจะต้องบอกกล่าวชี้แจงความจริงต่อประชาชน ทั้งในด้านความชอบของการดำเนินการว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการทำข้อตกลงแบบให้เปล่าหรือว่ามีพันธะผูกพันกันแน่ และเป็นการผูกมัดเอาประเทศไทยให้เป็นฝ่ายเสียเปรียบบริษัทจากดูไบหรือไม่
สภาความมั่นคงแห่งชาติหรือสภากลาโหม ตลอดจน กอ.รมน. จะต้องตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ว่ากระทบต่อปัญหาความมั่นคงของชาติและจะทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ใต้แลนด์บริดจ์ลงไปตลอดจนถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่
และมันจะเชื่อมโยงกับการขายชาติหรือปล้นทรัพยากรก๊าซธรรมชาติของประเทศชาติหรือไม่
ทั่วประเทศจะต้องจับตาและติดตามเรื่องนี้ และในขณะนี้ก็ต้องประกาศในฐานะประชาชนชาวไทยว่าข้อตกลงแบบให้เปล่าที่จะทำขึ้นระหว่างสำนักงานนโยบายการขนส่ง และจราจรของกระทรวงคมนาคมกับบริษัทจากดูไบเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประเทศไทยและประชาชนชาวไทยทุกเมื่อ.