ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (14พ.ค.) โดยมีพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม และได้แจ้งต่อที่ประชุมสภาฯในเรื่องผลสอบของคณะกรรมการสอบสวนกรณีคดีวิวาทระหว่างนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคณะกรรมการฯได้พิจารณาเรื่องนี้ 7 ครั้งและได้สอบถามพยานบุคคล 9 ปาก กรอบการพิจารณาคือ มีการทำร้ายร่างกายจริงหรือไม่ มีการกล่าววาจาถ้อยคำที่ไม่สุภาพ จริงหรือไม่
สรุปผลการสืบสวน คือในเรื่องการทำร้ายจริงหรือไม่ คณะกรรมการฯเชื่อว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายการุณได้ทำร้ายนายสมเกียรติจริง ส่วนมีการกล่าววาจาที่ไม่สุภาพจริงหรือไม่ คณะกรรมการเห็นว่า นายการุณโต้เถียงด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพจริง และนายสมเกียรติ ก็ต่อว่าด้วยถ้อยคำเล็กน้อย เนื่องจากนายการุณ คิดว่านายสมเกียรติ ต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่เพียงสืบสวน ไม่มีอำนาจอื่นใดนอกจากนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตามข้อบังคับประมวลจริยธรรม ส.ส.ปี 40 การเกิดเหตุรุนแรงแบบนี้ จะมีการว่ากล่าวตักเตือนหรืออย่างไร ก็ต้องดูในประมวลจริยธรรม นอกจากนี้คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าเรื่องนี้ทำให้ภาพพจน์สภาฯเสียหายซึ่งจะ เป็นไปได้หรือไม่ ให้คู่กรณีปรับความเข้าใจกัน ตนจึงให้เชิญทั้ง 2 คน มาพูดคุยและถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คดีฟ้องร้องให้เลิกแล้วต่อกัน นายการุณ บอกแล้วแต่นายสมเกียรติ ซึ่งนายสมเกียรติ ก็กล่าวว่า ตนเป็นผู้ใหญ่พอ จึงไม่ติดใจในเรื่องนี้ และนายการุณได้บอกให้ตนไปพูดกับผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตนไม่ได้ไปพบ เพราะเกรงจะเป็นการโยนภาระไปให้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ขอยืนยันว่าผลสรุปถือเป็นเอกฉันท์ ส่วนการฟ้องร้องอย่างไร ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พล.อ.อภิวันท์ รายงานผลการสอบสวนปรากฎว่า มีสมาชิกจากพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ ต่างลุกขึ้นอภิปรายโต้เถียงกันอย่างมาก โดยส.ส.พรรคพลังประชาชน ไม่เห็นด้วยกับผลสรุปของคณะกรรมการฯ
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน อภิปรายว่า ตนมีความเห็นคัดค้านความเห็นประธานฯ บางประเด็น ที่บอกว่าเป็นมติสภาให้ตั้งกก.สอบสวนมันไม่ใช่ แต่เป็นความเห็นประธานที่ต้องการให้ตั้งกก.สอบสวน และตนเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องรายงานสภา เพราะเรื่องนี้มีการประชุมหลายครั้ง และมีการแถลงให้สื่อมวลชนรับทราบอยู่แล้ว
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวว่าในฐานะเป็นส.ส.ประธานฯน่าจะขอให้ทุกฝ่ายมาพูดกันในสภาฯ อย่าไปพูดกันข้างนอก และตนขอโอกาสให้นายการุณ เพราะตนรู้จักนายการุณดีมาตลอด 10 ปีว่าเป็นคนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รักศักดิ์ศรี เป็นลูกผู้ชาย
ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนพินอบพิเทา เป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว
ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในสภาฯ ต้องพูดความจริง เราอย่างไปกลัว เราเป็นผู้แทนของประชาชนทั้งประเทศ ประชาชนจับตาอยู่ว่าพฤติกรรมคนอย่างนี้เป็นอย่างไร และนายการุณ พูดความเท็จในที่ประชุมนี้ เพราะข้อสรุปของคณะกรรมการฯไม่ตรงกับที่นายการุณพูด และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และขอถามว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ที่พูดไม่สุภาพ เขาพูดว่าอย่างไร
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า คงพูดไม่ได้เพราะมันเป็นคำพูดที่ไม่สุภาพ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นประธานฯ พูดไม่สุภาพเสียเอง ส่วนที่มีส.ส.ถามเรื่องคณะกรรมการฯไม่ได้สอบสวนเรื่องสาเหตุในการเกิดเรื่องนั้น เรียนว่าคณะกรรมการฯได้สอบถามเรื่องนี้ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะนายการุณ เข้าใจว่านายสมเกียรติ พูดจาท้าทาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สอบถามประธานฯ เรื่องการเรียกนายการุณ และนายสมเกียติ เข้าหารือพร้อมกันนั้น เป็นความเห็นของ พ.อ.อภิวันท์เองเพื่อให้เกิดการยอมความกันหรือไม่ ซึ่งพ.อ.อภิวันท์ ชี้แจงว่า เป็นความเห็นส่วนใหญ่ของคณะกรรมการฯ ตนจึงได้เรียกทั้ง 2 คนมาพบ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี
ด้านนายสมเกียรติ ชี้แจงว่า ประธานฯเรียกตนไปพบจริง และตนไม่รู้ว่ามีนายการุณอยู่ ซึ่งส่วนตัวไม่ติดใจจริง แต่เรื่องสภาฯ และพรรคก็ต้องว่ากันไป รวมถึงกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องว่ากันไป แต่ส่วนตัวไม่ติดใจจริง ซึ่งวันนั้นตอนออกจากห้องประธานมา ก็มีผู้ใหญ่บอกว่าอย่าไปติดใจเอาความน้องเลย ตนก็บอกว่าไม่ติดใจแต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไป
**สภาปะทะคารมเดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงที่นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนั้นปรากฏว่า นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆ จนทำให้มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด จนทำให้ พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่าที่วันนี้พวกเรายังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพราะรับผลสรุปไม่ได้ ซึ่งตนเข้าใจ และจะยึดข้อบังคับการประชุมเป็นหลัก ซึ่งเราต้องฝึกภาวะความเป็นผู้ใหญ่ของพวกเราด้วย
จากนั้น นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่าวันนี้เหมือนเรากลัวความจริงแบบนี้ตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาทำไม อย่าให้กลายเป็นภาพว่า เรากำลังปกปิดเรื่องพวกเรากันเอง เรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีพยานหลักฐานยืนยัน และไม่เชื่อมีการใช้คำ อุบาทว์ชาติชั่วแบบนี้กันในสภาฯ โดยมีการใช้คำว่า ไอ้หน้า..(อวัยวะสืบพันธุ์หญิง) และใช้คำว่าไอ้หน้า..(อวัยวะสืบพันธุ์ชาย) ดังนั้นขอให้เก็บเทปเหล่านี้ไว้ให้ดี
ซึ่งทำให้ส.ส.จากพรรคพลังประชาชนต่างลุกขึ้นประท้วงอีก โดยระบุว่าเรื่องนี้ประธานฯได้สรุปเรื่องทุกอย่างแล้ว ดังนั้นไม่ควรมาพูดเรื่องนี้อีก เพราะยิ่งเหมือนเป็นการนำเรื่องในบ้านออกมาประจาน และพยายามเสนอขอให้มีการประชุมลับ ทำให้พ.อ.อภิวันท์ ต้องขอให้นายพิเชษฐ์ ถอนคำดังกล่าว จากนั้น ร.ต.ท.เชาวริน ได้ลุกขึ้นประท้วงประธานฯว่าเหตุใดจึงปล่อยให้มีการพูดแบบนี้ในสภาฯ และปล่อยให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายเสียดสีอยู่ตลอด แบบนี้เรียกได้ว่า มือใหม่หัดขับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากใช้เวลาในการอภิปรายกันอย่างดุเดือด พร้อมทั้งมีการประท้วงกันอยู่ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมง พ.อ.อภิวันท์ได้ปิดการอภิปราย และสรุปว่า เราได้ทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบและด้วยความเป็นธรรมแล้ว
**ดื้อด้านไม่สำนึกยากให้อภัย
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ตนนั่งฟังเรื่องนี้ด้วยความไม่สบายใจ ไม่อยากเห็นสภาฯเป็นแบบนี้ ตนพยายามฟังและเข้าใจความรู้สึกส.ส.ในซีกรัฐบาล ที่ยังมีข้อเสนอแตกต่างกันไปบางคนบอกอยากให้จบในสภา บางคนก็บอกว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประเด็นนี้มีทั้งกระบวนการทางการเมือง และทางกฎหมายซึ่งเราไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ แต่ขบวนการทางการเมืองเพื่อนสมาชิกบอกว่าน่า จบตรงนี้ ให้อภัยกัน แต่เมื่อประธานฯ ได้แจ้งผลสรุปออกมาปัญหาคือ ข้อสรุปขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายการุณ ที่พูดในสภาฯคนละอย่างกัน
"ดังนั้นแม้ว่าฝ่ายค้านจะคิดไม่แตกต่าง แต่ผู้กระทำผิดต้องแสดงออกถึงการยอมรับความผิดก่อน จึงจะอภัยได้ แต่ถ้าทำแล้วบอกว่าไม่ได้ทำ แต่กรรมการฯมาบอกว่าทำ แล้วมาบอกให้อภัย จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าอยากให้จบคนกระทำก็ต้องแสดงท่าทีบางอย่าง ว่ายอมรับผลการสอบสวน ซึ่งหากไม่มีกรณีอย่างนี้ ก็ไม่มีทางเลือกว่าต้องดูมีช่องทางทางการเมืองทำอะไรหรือไม่ เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย แต่ไม่อยากยอมรับก็ไม่เป็นไร เราก็จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป"
**การุณไม่สนผลสอบ อ้างไม่ใช่ศาล
อย่างไรก็ตาม นายการุณ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำ ถ้าทำจริงก็ประกาศตั้งแต่แรกแล้วว่าจะลาออก ตนพร้อมรับผิดและรับชอบในสิ่งที่ทำ แต่สิ่งใดที่ไม่ได้ทำ แต่โดนกล่าวหา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทำตาม ใครจะมาจูงจมูกไม่ได้
"อยากเรียนว่า คณะกรรมการนั้นตั้งขึ้นมาหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ศาล ดังนั้นหลังจากนี้กระบวนการยังมีอีกยาว ไม่ใช่จบแค่กรรมการนี้"
สำหรับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าชื่อถอดถอนนั้น นายการุณ กล่าวว่า อยากทำอะไรก็ทำ แต่อยากฝากว่า บ้านเมืองยังมีสิ่งที่จะต้องทำอีกเยอะ
"ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลย เพราะผมถือว่าผมทำหน้าที่ของส.ส. คนที่เลือกผมมาเขาต้องการให้ผมทำอะไรผมจะทำอย่างนั้น ถ้าคนของผมอยากให้ผมลาออก ผมลาออกทันที ไม่ต้องมาบอก" นายการุณ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยการสาบานอีกหรือไม่ ปรากฏว่า นายการุณไม่ตอบ แต่หันมามองหน้าผู้สื่อข่าว ด้วยสีหน้าเหมือนตัวโกงลิเก
สรุปผลการสืบสวน คือในเรื่องการทำร้ายจริงหรือไม่ คณะกรรมการฯเชื่อว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายการุณได้ทำร้ายนายสมเกียรติจริง ส่วนมีการกล่าววาจาที่ไม่สุภาพจริงหรือไม่ คณะกรรมการเห็นว่า นายการุณโต้เถียงด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพจริง และนายสมเกียรติ ก็ต่อว่าด้วยถ้อยคำเล็กน้อย เนื่องจากนายการุณ คิดว่านายสมเกียรติ ต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่เพียงสืบสวน ไม่มีอำนาจอื่นใดนอกจากนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตามข้อบังคับประมวลจริยธรรม ส.ส.ปี 40 การเกิดเหตุรุนแรงแบบนี้ จะมีการว่ากล่าวตักเตือนหรืออย่างไร ก็ต้องดูในประมวลจริยธรรม นอกจากนี้คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าเรื่องนี้ทำให้ภาพพจน์สภาฯเสียหายซึ่งจะ เป็นไปได้หรือไม่ ให้คู่กรณีปรับความเข้าใจกัน ตนจึงให้เชิญทั้ง 2 คน มาพูดคุยและถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คดีฟ้องร้องให้เลิกแล้วต่อกัน นายการุณ บอกแล้วแต่นายสมเกียรติ ซึ่งนายสมเกียรติ ก็กล่าวว่า ตนเป็นผู้ใหญ่พอ จึงไม่ติดใจในเรื่องนี้ และนายการุณได้บอกให้ตนไปพูดกับผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตนไม่ได้ไปพบ เพราะเกรงจะเป็นการโยนภาระไปให้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ขอยืนยันว่าผลสรุปถือเป็นเอกฉันท์ ส่วนการฟ้องร้องอย่างไร ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พล.อ.อภิวันท์ รายงานผลการสอบสวนปรากฎว่า มีสมาชิกจากพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ ต่างลุกขึ้นอภิปรายโต้เถียงกันอย่างมาก โดยส.ส.พรรคพลังประชาชน ไม่เห็นด้วยกับผลสรุปของคณะกรรมการฯ
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน อภิปรายว่า ตนมีความเห็นคัดค้านความเห็นประธานฯ บางประเด็น ที่บอกว่าเป็นมติสภาให้ตั้งกก.สอบสวนมันไม่ใช่ แต่เป็นความเห็นประธานที่ต้องการให้ตั้งกก.สอบสวน และตนเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องรายงานสภา เพราะเรื่องนี้มีการประชุมหลายครั้ง และมีการแถลงให้สื่อมวลชนรับทราบอยู่แล้ว
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวว่าในฐานะเป็นส.ส.ประธานฯน่าจะขอให้ทุกฝ่ายมาพูดกันในสภาฯ อย่าไปพูดกันข้างนอก และตนขอโอกาสให้นายการุณ เพราะตนรู้จักนายการุณดีมาตลอด 10 ปีว่าเป็นคนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รักศักดิ์ศรี เป็นลูกผู้ชาย
ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนพินอบพิเทา เป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว
ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในสภาฯ ต้องพูดความจริง เราอย่างไปกลัว เราเป็นผู้แทนของประชาชนทั้งประเทศ ประชาชนจับตาอยู่ว่าพฤติกรรมคนอย่างนี้เป็นอย่างไร และนายการุณ พูดความเท็จในที่ประชุมนี้ เพราะข้อสรุปของคณะกรรมการฯไม่ตรงกับที่นายการุณพูด และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และขอถามว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ที่พูดไม่สุภาพ เขาพูดว่าอย่างไร
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า คงพูดไม่ได้เพราะมันเป็นคำพูดที่ไม่สุภาพ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นประธานฯ พูดไม่สุภาพเสียเอง ส่วนที่มีส.ส.ถามเรื่องคณะกรรมการฯไม่ได้สอบสวนเรื่องสาเหตุในการเกิดเรื่องนั้น เรียนว่าคณะกรรมการฯได้สอบถามเรื่องนี้ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะนายการุณ เข้าใจว่านายสมเกียรติ พูดจาท้าทาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สอบถามประธานฯ เรื่องการเรียกนายการุณ และนายสมเกียติ เข้าหารือพร้อมกันนั้น เป็นความเห็นของ พ.อ.อภิวันท์เองเพื่อให้เกิดการยอมความกันหรือไม่ ซึ่งพ.อ.อภิวันท์ ชี้แจงว่า เป็นความเห็นส่วนใหญ่ของคณะกรรมการฯ ตนจึงได้เรียกทั้ง 2 คนมาพบ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี
ด้านนายสมเกียรติ ชี้แจงว่า ประธานฯเรียกตนไปพบจริง และตนไม่รู้ว่ามีนายการุณอยู่ ซึ่งส่วนตัวไม่ติดใจจริง แต่เรื่องสภาฯ และพรรคก็ต้องว่ากันไป รวมถึงกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องว่ากันไป แต่ส่วนตัวไม่ติดใจจริง ซึ่งวันนั้นตอนออกจากห้องประธานมา ก็มีผู้ใหญ่บอกว่าอย่าไปติดใจเอาความน้องเลย ตนก็บอกว่าไม่ติดใจแต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไป
**สภาปะทะคารมเดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงที่นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนั้นปรากฏว่า นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆ จนทำให้มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด จนทำให้ พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่าที่วันนี้พวกเรายังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพราะรับผลสรุปไม่ได้ ซึ่งตนเข้าใจ และจะยึดข้อบังคับการประชุมเป็นหลัก ซึ่งเราต้องฝึกภาวะความเป็นผู้ใหญ่ของพวกเราด้วย
จากนั้น นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่าวันนี้เหมือนเรากลัวความจริงแบบนี้ตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาทำไม อย่าให้กลายเป็นภาพว่า เรากำลังปกปิดเรื่องพวกเรากันเอง เรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีพยานหลักฐานยืนยัน และไม่เชื่อมีการใช้คำ อุบาทว์ชาติชั่วแบบนี้กันในสภาฯ โดยมีการใช้คำว่า ไอ้หน้า..(อวัยวะสืบพันธุ์หญิง) และใช้คำว่าไอ้หน้า..(อวัยวะสืบพันธุ์ชาย) ดังนั้นขอให้เก็บเทปเหล่านี้ไว้ให้ดี
ซึ่งทำให้ส.ส.จากพรรคพลังประชาชนต่างลุกขึ้นประท้วงอีก โดยระบุว่าเรื่องนี้ประธานฯได้สรุปเรื่องทุกอย่างแล้ว ดังนั้นไม่ควรมาพูดเรื่องนี้อีก เพราะยิ่งเหมือนเป็นการนำเรื่องในบ้านออกมาประจาน และพยายามเสนอขอให้มีการประชุมลับ ทำให้พ.อ.อภิวันท์ ต้องขอให้นายพิเชษฐ์ ถอนคำดังกล่าว จากนั้น ร.ต.ท.เชาวริน ได้ลุกขึ้นประท้วงประธานฯว่าเหตุใดจึงปล่อยให้มีการพูดแบบนี้ในสภาฯ และปล่อยให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายเสียดสีอยู่ตลอด แบบนี้เรียกได้ว่า มือใหม่หัดขับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากใช้เวลาในการอภิปรายกันอย่างดุเดือด พร้อมทั้งมีการประท้วงกันอยู่ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมง พ.อ.อภิวันท์ได้ปิดการอภิปราย และสรุปว่า เราได้ทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบและด้วยความเป็นธรรมแล้ว
**ดื้อด้านไม่สำนึกยากให้อภัย
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ตนนั่งฟังเรื่องนี้ด้วยความไม่สบายใจ ไม่อยากเห็นสภาฯเป็นแบบนี้ ตนพยายามฟังและเข้าใจความรู้สึกส.ส.ในซีกรัฐบาล ที่ยังมีข้อเสนอแตกต่างกันไปบางคนบอกอยากให้จบในสภา บางคนก็บอกว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประเด็นนี้มีทั้งกระบวนการทางการเมือง และทางกฎหมายซึ่งเราไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ แต่ขบวนการทางการเมืองเพื่อนสมาชิกบอกว่าน่า จบตรงนี้ ให้อภัยกัน แต่เมื่อประธานฯ ได้แจ้งผลสรุปออกมาปัญหาคือ ข้อสรุปขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายการุณ ที่พูดในสภาฯคนละอย่างกัน
"ดังนั้นแม้ว่าฝ่ายค้านจะคิดไม่แตกต่าง แต่ผู้กระทำผิดต้องแสดงออกถึงการยอมรับความผิดก่อน จึงจะอภัยได้ แต่ถ้าทำแล้วบอกว่าไม่ได้ทำ แต่กรรมการฯมาบอกว่าทำ แล้วมาบอกให้อภัย จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าอยากให้จบคนกระทำก็ต้องแสดงท่าทีบางอย่าง ว่ายอมรับผลการสอบสวน ซึ่งหากไม่มีกรณีอย่างนี้ ก็ไม่มีทางเลือกว่าต้องดูมีช่องทางทางการเมืองทำอะไรหรือไม่ เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย แต่ไม่อยากยอมรับก็ไม่เป็นไร เราก็จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป"
**การุณไม่สนผลสอบ อ้างไม่ใช่ศาล
อย่างไรก็ตาม นายการุณ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำ ถ้าทำจริงก็ประกาศตั้งแต่แรกแล้วว่าจะลาออก ตนพร้อมรับผิดและรับชอบในสิ่งที่ทำ แต่สิ่งใดที่ไม่ได้ทำ แต่โดนกล่าวหา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทำตาม ใครจะมาจูงจมูกไม่ได้
"อยากเรียนว่า คณะกรรมการนั้นตั้งขึ้นมาหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ศาล ดังนั้นหลังจากนี้กระบวนการยังมีอีกยาว ไม่ใช่จบแค่กรรมการนี้"
สำหรับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าชื่อถอดถอนนั้น นายการุณ กล่าวว่า อยากทำอะไรก็ทำ แต่อยากฝากว่า บ้านเมืองยังมีสิ่งที่จะต้องทำอีกเยอะ
"ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลย เพราะผมถือว่าผมทำหน้าที่ของส.ส. คนที่เลือกผมมาเขาต้องการให้ผมทำอะไรผมจะทำอย่างนั้น ถ้าคนของผมอยากให้ผมลาออก ผมลาออกทันที ไม่ต้องมาบอก" นายการุณ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยการสาบานอีกหรือไม่ ปรากฏว่า นายการุณไม่ตอบ แต่หันมามองหน้าผู้สื่อข่าว ด้วยสีหน้าเหมือนตัวโกงลิเก