เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ศาลโลกตัดสินวานนี้(23)ให้ สิงคโปร์เป็นฝ่ายชนะมาเลเซีย ในกรณีพิพาทอันยืดเยื้อมา 28 ปี ในเรื่องประเทศใดเป็นเจ้าของเกาะเล็กๆ และไม่มีคนอยู่อาศัย ทว่าทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชาติเพื่อนบ้าน 2 รายนี้
เกาะเล็กจิ๋วที่ทางสิงคโปร์เรียกว่าเกาะเปดรา บรังกา ขณะที่มาเลเซียใช้ชื่อว่า เกาะปูเลา บาตู ปูเต๊ะ แห่งนี้ มีพื้นที่แค่ครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล ทว่าตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าช่องแคบสิงคโปร์ อันประชิดกับช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าประมาณ 40% ของการค้าโลก
คณะผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก (ศาลโลก) ตัดสินด้วยคะแนน 12 ต่อ 4 ว่า “อำนาจอธิปไตย ... เป็นของสาธารณรัฐสิงคโปร์” ออว์น ชอว์กัต อัล กาซอเนห์ หนึ่งในคณะผู้พิพากษาอ่านคำตัดสิน
ศาลโลกแจกแจงในคำตัดสินว่า เกาะแห่งนี้แต่เดิมเป็นของรัฐสุลต่านแห่งยะโฮร์ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย ตามที่แดนเสือเหลืองกล่าวอ้างจริง ทว่าเนื่องจากสิงคโปร์ได้เป็นผู้ดูแลประภาคารฮอร์สเบิร์กซึ่งตั้งอยู่บนเกาะนี้มาเป็นเวลากว่า 130 ปีแล้ว โดยที่ฝ่ายมาเลเซียไม่เคยทักท้วงอะไร ดังนั้นอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะหินแกรนิตแห่งนี้ จึงถือว่าถูกส่งผ่านมาให้แก่สิงคโปร์แล้ว เมื่อตอนที่ 2 ประเทศเกิดกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือเกาะนี้ในปี 1980
อย่างไรก็ตาม ศาลโลกได้ตัดสินในคราวนี้ด้วยว่า มาเลเซียเป็นผู้มีอำนาจเหนืออธิปไตยเหนือเกาะเล็กจิ๋วอีกเกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งมีชื่อว่า เกาะมิดเดิลร็อกส์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มาเลเซียเป็นผู้สืบทอดอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่เคยเป็นของรัฐสุลต่านยะโฮร์
แต่สำหรับเกาะเล็กจิ๋วแห่งที่สามซึ่งอยู่บริเวณนั้นเช่นกัน โดยเรียกกันในนาม เกาะ “เซาท์เลดจ์” ศาลโลกบอกว่ายังไม่สามารถตัดสินได้ เพราะตั้งอยู่ในอาณาเขตน่านน้ำที่ทับซ้อนกันอยู่ของประเทศทั้งสอง
หลังทราบคำตัดสินแล้ว รัฐบาลของทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ต่างออกมาแถลงแสดงความพอใจ
“มันเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ชนะ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีความพึงพอใจ” รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ราอิส ยาติม แถลงของผู้สื่อข่าวที่ศาลโลก ณ กรุงเฮก
“เราบอกแล้วว่า เราจะจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก และบางทีคณะกรรมการชุดนี้อาจจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับสถานภาพของเกาะเซาท์เลดจ์ด้วย ผมต้องการย้ำว่า สถานการณ์ของเกาะหินแกรนิตทั้ง 3 แห่งนี้จะยังคงเหมือนที่เป็นอยู่ในเวลานี้”
ทางด้านรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส. ชยะกุมาร บอกว่าประเทศของเขา “ดีใจมาก” กับคำพิพากษา และกล่าวด้วยว่า ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไรระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย
“เรื่องนี้จะไม่มีผลกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย มาเลเซียและสิงคโปร์ได้แสดงให้เห็นตลอดกระบวนการนี้ ชนิดที่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีของทั่วทั้งภูมิภาคนี้ได้ว่า กรณีพิพาททำนองนี้สามารถที่จะแก้ไขกันได้ด้วยวิธีที่สันติและเป็นมิตรกันได้อย่างไร” รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คุย
เกาะเล็กจิ๋วที่ทางสิงคโปร์เรียกว่าเกาะเปดรา บรังกา ขณะที่มาเลเซียใช้ชื่อว่า เกาะปูเลา บาตู ปูเต๊ะ แห่งนี้ มีพื้นที่แค่ครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล ทว่าตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าช่องแคบสิงคโปร์ อันประชิดกับช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าประมาณ 40% ของการค้าโลก
คณะผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก (ศาลโลก) ตัดสินด้วยคะแนน 12 ต่อ 4 ว่า “อำนาจอธิปไตย ... เป็นของสาธารณรัฐสิงคโปร์” ออว์น ชอว์กัต อัล กาซอเนห์ หนึ่งในคณะผู้พิพากษาอ่านคำตัดสิน
ศาลโลกแจกแจงในคำตัดสินว่า เกาะแห่งนี้แต่เดิมเป็นของรัฐสุลต่านแห่งยะโฮร์ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย ตามที่แดนเสือเหลืองกล่าวอ้างจริง ทว่าเนื่องจากสิงคโปร์ได้เป็นผู้ดูแลประภาคารฮอร์สเบิร์กซึ่งตั้งอยู่บนเกาะนี้มาเป็นเวลากว่า 130 ปีแล้ว โดยที่ฝ่ายมาเลเซียไม่เคยทักท้วงอะไร ดังนั้นอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะหินแกรนิตแห่งนี้ จึงถือว่าถูกส่งผ่านมาให้แก่สิงคโปร์แล้ว เมื่อตอนที่ 2 ประเทศเกิดกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือเกาะนี้ในปี 1980
อย่างไรก็ตาม ศาลโลกได้ตัดสินในคราวนี้ด้วยว่า มาเลเซียเป็นผู้มีอำนาจเหนืออธิปไตยเหนือเกาะเล็กจิ๋วอีกเกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งมีชื่อว่า เกาะมิดเดิลร็อกส์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มาเลเซียเป็นผู้สืบทอดอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่เคยเป็นของรัฐสุลต่านยะโฮร์
แต่สำหรับเกาะเล็กจิ๋วแห่งที่สามซึ่งอยู่บริเวณนั้นเช่นกัน โดยเรียกกันในนาม เกาะ “เซาท์เลดจ์” ศาลโลกบอกว่ายังไม่สามารถตัดสินได้ เพราะตั้งอยู่ในอาณาเขตน่านน้ำที่ทับซ้อนกันอยู่ของประเทศทั้งสอง
หลังทราบคำตัดสินแล้ว รัฐบาลของทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ต่างออกมาแถลงแสดงความพอใจ
“มันเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ชนะ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีความพึงพอใจ” รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ราอิส ยาติม แถลงของผู้สื่อข่าวที่ศาลโลก ณ กรุงเฮก
“เราบอกแล้วว่า เราจะจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก และบางทีคณะกรรมการชุดนี้อาจจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับสถานภาพของเกาะเซาท์เลดจ์ด้วย ผมต้องการย้ำว่า สถานการณ์ของเกาะหินแกรนิตทั้ง 3 แห่งนี้จะยังคงเหมือนที่เป็นอยู่ในเวลานี้”
ทางด้านรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส. ชยะกุมาร บอกว่าประเทศของเขา “ดีใจมาก” กับคำพิพากษา และกล่าวด้วยว่า ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไรระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย
“เรื่องนี้จะไม่มีผลกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย มาเลเซียและสิงคโปร์ได้แสดงให้เห็นตลอดกระบวนการนี้ ชนิดที่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีของทั่วทั้งภูมิภาคนี้ได้ว่า กรณีพิพาททำนองนี้สามารถที่จะแก้ไขกันได้ด้วยวิธีที่สันติและเป็นมิตรกันได้อย่างไร” รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คุย
