สัปดาห์ที่แล้วหลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการปกครอง และสอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมก็มีโอกาสได้นั่งคุยกับท่านในเรื่องของทัศนคติของเด็กรุ่นใหม่ต่อการเมืองการปกครองของประเทศ รวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้เขาไปกินรังแตนมาจากไหน ไม่รู้ไปโกรธสถาบันฯ มาจากไหน มีความเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีสาเหตุ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เป็นเยอะ เด็กในมหาวิทยาลัยของผมก็มี ปี 1 ปี 2 ปี 3 กระแสแบบนี้มีเยอะมาก แล้วคนจุดกระแสก็มีอยู่ไม่กี่คน คนพวกนี้มันก็ฉลาด มาเล่นกับคนที่อยู่ในวัยไม่แก่นัก” อาจารย์เล่าถึงสถานการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยให้ผมฟัง
โดยส่วนตัวผมเป็นคนรุ่นหลังที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ 6 ตุลาคม 2519 อย่างไรก็ตาม ผมเป็นคนที่สนใจแนวคิดมาร์กซิสม์ เลนินนิสม์ เหมาอิสม์ มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยผมกับเพื่อนมักจะไปนั่งฟังอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ บรรยายที่ตึกคณะรัฐศาสตร์โดยสมัครใจหลายครั้ง และซื้อหนังสือที่กลุ่มของอาจารย์เผยแพร่กลับมาศึกษาอย่างจริงจัง
ผมเคยหลงใหลกับแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และพยายามที่จะอ่าน Das Kapital ของมาร์กซ์ที่มีผู้แปลเป็นภาษาไทยให้จบ กระนั้นด้วยหนังสือ การสั่งสอนและการชี้นำของอาจารย์หลายท่านเช่น อ.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ อ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา อ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อ.สมเกียรติ โอสถสภา อ.วรวิทย์ เจริญเลิศ ก็ฉุดให้ผมถอยกลับมามองภาพของประวัติศาสตร์ของแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกได้กว้างขวางขึ้นและไม่จมดิ่งอยู่กับแนวคิดแต่เพียงแนวเดียว
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมากที่ได้คำแนะนำอันมีคุณค่าจากอาจารย์หลากหลายท่านข้างต้น
ในเวลาต่อมาเมื่อผมมีโอกาสได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น มีโอกาสไปสัมผัสกับสภาพความเป็นจริงของประเทศจีนหนึ่งในต้นธารของแนวคิดมาร์กซิสม์ของไทย ผมก็พบว่า ปัจจุบันแม้ประเทศจีนโดยนิตินัยจะบอกว่าตัวเองเป็น “สังคมนิยม” ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่โดยพฤตินัยแล้วได้ “ทุนนิยม” กลับรุกคืบเข้ากินพื้นที่ของความเป็น “สังคมนิยม” จนเกือบหมดสิ้นแล้ว
สภาพการณ์เกี่ยวกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าว ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เพราะแม้แต่มิตรชาวจีนของผมที่เป็นชนชั้นปัญญาชนและเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังเอ่ยปากยอมรับด้วยตัวเอง
เมื่อหันกลับมามองถึงสถานการณ์รอบๆ ด้านในประเทศไทยจากข่าวสาร ข้อมูล รวมถึงล่าสุดจากความเห็นของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ ข้อเขียนของคุณคำนูณ สิทธิสมาน เรื่อง “ขบวนการสาธารณรัฐ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ในช่วงที่ผ่านมาก็ชี้ให้พวกเราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่าขบวนการโค่นล้มการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้นมีอยู่จริงและกำลังรุกคืบในหลากหลายช่องทาง ทั้งในรั้วของสถาบันวิชาการ ทั้งในรั้วรัฐสภา ทั้งในรั้วทำเนียบรัฐบาล ทั้งการเผยแพร่ทางความคิดไปยังภาคประชาชนผ่านสื่อ รวมถึงการดำเนินการทางการเมืองบนท้องถนน
แม้ผู้ที่ดำรงแนวคิดซ้ายบริสุทธิ์หลายคนจะระบุว่า แนวคิดดังกล่าวหลายประการเป็นแนวคิดประชาธิปไตยที่ปราศจากการเจือปนของผลประโยชน์ ปราศจากอิทธิพลการจัดตั้งและปราศจากการช่วยเหลือทางการเงินจากผู้มีอำนาจของระบอบทักษิณ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า หลายต่อหลายครั้งแนวคิดอันบริสุทธิ์เหล่านี้ได้ถูกหยิบยกและถูกนำไปดัดแปลงเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง และที่สำคัญถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปลูกฝังแนวคิดของคนรุ่นใหม่ซึ่งยังไร้เดียงสา!
ความพยายามในการขยายแนวคิดของ “สำนักคิดไทยใหม่ (Neo Thai Thought Institute)” ที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าใช้วิธีการหาสมาชิกแบบแชร์ลูกโซ่ การเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ในเวลาต่อมากลายเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ของ “สหายผัวเมีย” อันประกอบไปด้วย “สหายเข้ม” กับ “สหายปูน” รวมถึงความเคลื่อนไหวอื่นๆ อีกหลายระลอก หากพิจารณาไปแล้วช่างมีความสอดคล้องกับ แนวคิดของ ซ้ายเก่าและซ้ายใหม่ ที่ยืนอยู่ฝั่งอดีตพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนในปัจจุบันเสียเหลือเกิน
อย่างน้อยๆ การออกมาพูดถึงเรื่องฟ้าสีทองผ่องอำไพ เรื่องสงครามประชาชน ความคิดเรื่องการโค่นล้มศักดินา การกำจัดระบอบอำมาตยาธิปไตย การแสดงท่าทางที่รังเกียจระบบอุปถัมภ์ ของบุคคลผู้หนึ่งที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนาม “จักรภพ เพ็ญแข” ก็สร้างความตระหนกตกใจให้กับคนหลายคน รวมไปถึง ญาติ มิตร และครูบาอาจารย์ของคุณจักรภพเองอย่างมาก
ตัวผมเองมิหาญกล้าเรียก คุณจักรภพ หรือที่หลายๆ คน เรียกว่า “สหายจักรภพ” นั้นว่าเป็น “ซ้ายเดียงสา” ด้วยคุณวุฒิระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทและการเรียนรายวิชา (Coursework) ในระดับปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รวมถึงประสบการณ์ในอดีตที่เป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ โฆษกรัฐบาล และล่าสุดคือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
การประพฤติตัวเป็น “สหาย” และ “ซ้ายใหม่” ของคุณจักรภพนั้นว่ากันว่า กล้าหาญชาญชัย ตรงไปตรงมา และมีความเกรี้ยวกราดต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยสูงถึงขนาดที่บรรดา “สหาย” ที่เป็นซ้ายเก่าทั้งหลายเมื่อได้รับทราบแล้วถึงกับขนลุกขนพอง โดยบางคนถึงกับขนานนามคุณจักรภพว่าเป็น “ขุนพลจักรภพ” กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ผมในฐานะที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์ด้อยกว่าคุณจักรภพมาก ก็ยังอยากจะฝากข้อความเล็กๆ น้อยๆ ไปถึงคุณจักรภพ ในประเด็นที่เกี่ยวพันกับภาษาศาสตร์ เรื่องคำศัพท์ของฝ่ายซ้ายที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย
ในฐานะของนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา คุณจักรภพเองคงทราบดีว่า คำว่า “สหาย” นั้นภาษาอังกฤษคือคำว่า Comrade อย่างไรก็ตาม คุณจักรภพทราบไหมครับว่าคำว่า “สหาย” ในภาษาจีนกลางเขาเรียกว่าอะไร?
ถ้าคุณจักรภพไม่ทราบ ผมจะตอบแทนให้ก็ได้ว่า ภาษาจีนเขาเรียก “สหาย” ว่า “ถงจื้อ (同志)” ครับ!
ในอดีตสมัยพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังมีอิทธิพลทางความคิดต่อประชาชนสูง คำว่า “สหาย” หรือ “ถงจื้อ” ในภาษาจีนนั้นเอาใช้ไว้เรียกผู้ที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน อย่างเช่น เติ้งเสี่ยวผิงถงจื้อ (สหายเติ้ง เสี่ยวผิง) โจวเอินไหลถงจื้อ (สหายโจว เอินไหล) หรือ ประโยคที่ว่า “ถงจื้อเหมินห่าว (สวัสดีสหายทั้งหลาย)” ส่วนกรณีคุณจักรภพ ถ้าหากมีใครเรียกว่า “สหายจักรภพ” ในภาษาจีนก็อาจจะแปลอย่างตรงตัวได้ว่า “จักรภพถงจื้อ”
กระนั้น ในยุคปัจจุบันที่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในประเทศจีนเจือจางลงไปมากแล้ว และระบบทุนนิยมได้เข้ามากลืนกินสังคมจีนจนเกือบจะถึงรากเหง้า ศัพท์ภาษาจีน “ถงจื้อ” เองก็มีพลวัตและประสบกับความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กล่าวคือ ในปัจจุบันคำว่า “ถงจื้อ” ในสังคมจีนนั้นน้อยครั้งนักที่จะถูกหยิบยกมาใช้ในความหมายที่ว่า “สหาย” แต่ “ถงจื้อ” ในปัจจุบันได้กลายเป็นคำแสลงที่ใช้เรียก “พวกรักร่วมเพศ” ไปเสียแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงในความหมายของศัพท์คำว่า “ถงจื้อ” จาก สหาย กลายเป็น รักร่วมเพศ ในประเทศจีน หากจะกล่าวไป ไม่ได้สะท้อนถึงวิวัฒนาการของภาษาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของแนวคิดและอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ มาร์กซิสม์ในประเทศจีนด้วย
การรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ผู้ที่จะไปรณรงค์-เรียกร้อง การก่อสงครามประชาชนหรือถึงขั้นจะคิดล้มระบอบอะไรสักระบอบจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบและพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน.
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้เขาไปกินรังแตนมาจากไหน ไม่รู้ไปโกรธสถาบันฯ มาจากไหน มีความเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีสาเหตุ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เป็นเยอะ เด็กในมหาวิทยาลัยของผมก็มี ปี 1 ปี 2 ปี 3 กระแสแบบนี้มีเยอะมาก แล้วคนจุดกระแสก็มีอยู่ไม่กี่คน คนพวกนี้มันก็ฉลาด มาเล่นกับคนที่อยู่ในวัยไม่แก่นัก” อาจารย์เล่าถึงสถานการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยให้ผมฟัง
โดยส่วนตัวผมเป็นคนรุ่นหลังที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ 6 ตุลาคม 2519 อย่างไรก็ตาม ผมเป็นคนที่สนใจแนวคิดมาร์กซิสม์ เลนินนิสม์ เหมาอิสม์ มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยผมกับเพื่อนมักจะไปนั่งฟังอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ บรรยายที่ตึกคณะรัฐศาสตร์โดยสมัครใจหลายครั้ง และซื้อหนังสือที่กลุ่มของอาจารย์เผยแพร่กลับมาศึกษาอย่างจริงจัง
ผมเคยหลงใหลกับแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และพยายามที่จะอ่าน Das Kapital ของมาร์กซ์ที่มีผู้แปลเป็นภาษาไทยให้จบ กระนั้นด้วยหนังสือ การสั่งสอนและการชี้นำของอาจารย์หลายท่านเช่น อ.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ อ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา อ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อ.สมเกียรติ โอสถสภา อ.วรวิทย์ เจริญเลิศ ก็ฉุดให้ผมถอยกลับมามองภาพของประวัติศาสตร์ของแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกได้กว้างขวางขึ้นและไม่จมดิ่งอยู่กับแนวคิดแต่เพียงแนวเดียว
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมากที่ได้คำแนะนำอันมีคุณค่าจากอาจารย์หลากหลายท่านข้างต้น
ในเวลาต่อมาเมื่อผมมีโอกาสได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น มีโอกาสไปสัมผัสกับสภาพความเป็นจริงของประเทศจีนหนึ่งในต้นธารของแนวคิดมาร์กซิสม์ของไทย ผมก็พบว่า ปัจจุบันแม้ประเทศจีนโดยนิตินัยจะบอกว่าตัวเองเป็น “สังคมนิยม” ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่โดยพฤตินัยแล้วได้ “ทุนนิยม” กลับรุกคืบเข้ากินพื้นที่ของความเป็น “สังคมนิยม” จนเกือบหมดสิ้นแล้ว
สภาพการณ์เกี่ยวกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าว ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เพราะแม้แต่มิตรชาวจีนของผมที่เป็นชนชั้นปัญญาชนและเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังเอ่ยปากยอมรับด้วยตัวเอง
เมื่อหันกลับมามองถึงสถานการณ์รอบๆ ด้านในประเทศไทยจากข่าวสาร ข้อมูล รวมถึงล่าสุดจากความเห็นของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ ข้อเขียนของคุณคำนูณ สิทธิสมาน เรื่อง “ขบวนการสาธารณรัฐ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ในช่วงที่ผ่านมาก็ชี้ให้พวกเราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่าขบวนการโค่นล้มการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้นมีอยู่จริงและกำลังรุกคืบในหลากหลายช่องทาง ทั้งในรั้วของสถาบันวิชาการ ทั้งในรั้วรัฐสภา ทั้งในรั้วทำเนียบรัฐบาล ทั้งการเผยแพร่ทางความคิดไปยังภาคประชาชนผ่านสื่อ รวมถึงการดำเนินการทางการเมืองบนท้องถนน
แม้ผู้ที่ดำรงแนวคิดซ้ายบริสุทธิ์หลายคนจะระบุว่า แนวคิดดังกล่าวหลายประการเป็นแนวคิดประชาธิปไตยที่ปราศจากการเจือปนของผลประโยชน์ ปราศจากอิทธิพลการจัดตั้งและปราศจากการช่วยเหลือทางการเงินจากผู้มีอำนาจของระบอบทักษิณ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า หลายต่อหลายครั้งแนวคิดอันบริสุทธิ์เหล่านี้ได้ถูกหยิบยกและถูกนำไปดัดแปลงเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง และที่สำคัญถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปลูกฝังแนวคิดของคนรุ่นใหม่ซึ่งยังไร้เดียงสา!
ความพยายามในการขยายแนวคิดของ “สำนักคิดไทยใหม่ (Neo Thai Thought Institute)” ที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าใช้วิธีการหาสมาชิกแบบแชร์ลูกโซ่ การเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ในเวลาต่อมากลายเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ของ “สหายผัวเมีย” อันประกอบไปด้วย “สหายเข้ม” กับ “สหายปูน” รวมถึงความเคลื่อนไหวอื่นๆ อีกหลายระลอก หากพิจารณาไปแล้วช่างมีความสอดคล้องกับ แนวคิดของ ซ้ายเก่าและซ้ายใหม่ ที่ยืนอยู่ฝั่งอดีตพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนในปัจจุบันเสียเหลือเกิน
อย่างน้อยๆ การออกมาพูดถึงเรื่องฟ้าสีทองผ่องอำไพ เรื่องสงครามประชาชน ความคิดเรื่องการโค่นล้มศักดินา การกำจัดระบอบอำมาตยาธิปไตย การแสดงท่าทางที่รังเกียจระบบอุปถัมภ์ ของบุคคลผู้หนึ่งที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนาม “จักรภพ เพ็ญแข” ก็สร้างความตระหนกตกใจให้กับคนหลายคน รวมไปถึง ญาติ มิตร และครูบาอาจารย์ของคุณจักรภพเองอย่างมาก
ตัวผมเองมิหาญกล้าเรียก คุณจักรภพ หรือที่หลายๆ คน เรียกว่า “สหายจักรภพ” นั้นว่าเป็น “ซ้ายเดียงสา” ด้วยคุณวุฒิระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทและการเรียนรายวิชา (Coursework) ในระดับปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รวมถึงประสบการณ์ในอดีตที่เป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ โฆษกรัฐบาล และล่าสุดคือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
การประพฤติตัวเป็น “สหาย” และ “ซ้ายใหม่” ของคุณจักรภพนั้นว่ากันว่า กล้าหาญชาญชัย ตรงไปตรงมา และมีความเกรี้ยวกราดต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยสูงถึงขนาดที่บรรดา “สหาย” ที่เป็นซ้ายเก่าทั้งหลายเมื่อได้รับทราบแล้วถึงกับขนลุกขนพอง โดยบางคนถึงกับขนานนามคุณจักรภพว่าเป็น “ขุนพลจักรภพ” กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ผมในฐานะที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์ด้อยกว่าคุณจักรภพมาก ก็ยังอยากจะฝากข้อความเล็กๆ น้อยๆ ไปถึงคุณจักรภพ ในประเด็นที่เกี่ยวพันกับภาษาศาสตร์ เรื่องคำศัพท์ของฝ่ายซ้ายที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย
ในฐานะของนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา คุณจักรภพเองคงทราบดีว่า คำว่า “สหาย” นั้นภาษาอังกฤษคือคำว่า Comrade อย่างไรก็ตาม คุณจักรภพทราบไหมครับว่าคำว่า “สหาย” ในภาษาจีนกลางเขาเรียกว่าอะไร?
ถ้าคุณจักรภพไม่ทราบ ผมจะตอบแทนให้ก็ได้ว่า ภาษาจีนเขาเรียก “สหาย” ว่า “ถงจื้อ (同志)” ครับ!
ในอดีตสมัยพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังมีอิทธิพลทางความคิดต่อประชาชนสูง คำว่า “สหาย” หรือ “ถงจื้อ” ในภาษาจีนนั้นเอาใช้ไว้เรียกผู้ที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน อย่างเช่น เติ้งเสี่ยวผิงถงจื้อ (สหายเติ้ง เสี่ยวผิง) โจวเอินไหลถงจื้อ (สหายโจว เอินไหล) หรือ ประโยคที่ว่า “ถงจื้อเหมินห่าว (สวัสดีสหายทั้งหลาย)” ส่วนกรณีคุณจักรภพ ถ้าหากมีใครเรียกว่า “สหายจักรภพ” ในภาษาจีนก็อาจจะแปลอย่างตรงตัวได้ว่า “จักรภพถงจื้อ”
กระนั้น ในยุคปัจจุบันที่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในประเทศจีนเจือจางลงไปมากแล้ว และระบบทุนนิยมได้เข้ามากลืนกินสังคมจีนจนเกือบจะถึงรากเหง้า ศัพท์ภาษาจีน “ถงจื้อ” เองก็มีพลวัตและประสบกับความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กล่าวคือ ในปัจจุบันคำว่า “ถงจื้อ” ในสังคมจีนนั้นน้อยครั้งนักที่จะถูกหยิบยกมาใช้ในความหมายที่ว่า “สหาย” แต่ “ถงจื้อ” ในปัจจุบันได้กลายเป็นคำแสลงที่ใช้เรียก “พวกรักร่วมเพศ” ไปเสียแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงในความหมายของศัพท์คำว่า “ถงจื้อ” จาก สหาย กลายเป็น รักร่วมเพศ ในประเทศจีน หากจะกล่าวไป ไม่ได้สะท้อนถึงวิวัฒนาการของภาษาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของแนวคิดและอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ มาร์กซิสม์ในประเทศจีนด้วย
การรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ผู้ที่จะไปรณรงค์-เรียกร้อง การก่อสงครามประชาชนหรือถึงขั้นจะคิดล้มระบอบอะไรสักระบอบจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบและพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน.