นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ สคบ.ได้เชิญผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน สมาคมผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือเกี่ยวกับการรับจ้างก่อสร้างบ้าน ที่พบว่าในรายละเอียดของสัญญารับเหมาก่อสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้ว่าจ้าง หรือผู้บริโภค โดยเฉพาะกรณีการแบ่งงวดงานกับการรับเงินค่าจ้างที่ไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งพบว่ามีผู้บริโภคเป็นจำนวนมากได้ร้องเรียนมาที่ สคบ. ว่าถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยขอค่างวดมาถึง 30%-50% ของมูลค่าก่อสร้าง เมื่อได้รับแล้วก็ทิ้งงาน โดยไม่ได้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จตามสัญญา หรือบางรายถึงขนาดทิ้งงานแล้วหนีหายไป ส่งผลให้ผู้บริโภคเสียเงินไปโดยไม่สามารถเรียกกลับคืนได้
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างบางรายได้ใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดการชำรุดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้บ้านเสียหาย หรือบางราย ใช้แรงงานฝีมือต่ำที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาก่อสร้าง ทำให้การสร้างบ้านเสร็จไม่ทัน หรือชำรุดเสียหายอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังมีปัญหาอื่นอีกมากที่ผู้บริโภคร้องเรียนมาที่ สคบ. เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างไร เช่น การกำหนดรูปแบบสัญญารับเหมาก่อสร้างที่เป็นมาตรฐาน เป็นต้น แม้ว่าเป็นสัญญาที่ไม่มีผลทางกฎหมายก็ตาม แต่ถือเป็นสัญญาที่ถือเป็นข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบการ และผู้สร้างบ้านได้
"ต้องยอมรับว่า การก่อสร้างที่อยู่อาศัย อาคารต่างๆ มีกฎหมายควบคุมการก่อสร้างของกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของการว่าจ้างผู้รับเหมายังไม่มีสัญญาที่เป็นมาตรฐานเข้ามาดูแล และผู้บริโภคก็ถูกเอารัดเอาเปรียบในเรื่องนี้มาก สคบ.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองผู้บริโภคอยู่แล้ว จึงต้องหาแนวทางที่สามารถดำเนินการได้มาสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อย ที่บางรายอาจไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯจึงต้องการหาแนวทางร่วมกันว่าจะดำเนินการอย่างไรที่ให้ครอบคลุมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อยด้วย"
นายพิฆเนศ กล่าวว่านอกจากจะขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการแล้ว ผู้บริโภคเองต้องพิจารณาเลือกผู้รับเหมาที่ได้คุณภาพหรือเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ เพื่อให้การก่อสร้างบ้านของตนเอง ไม่มีปัญหาถูกทิ้งงาน แม้ว่าบางครั้งการใช้บริการของผู้ประกอบการชั้นดีอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มีปัญหาหรือความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างที่ใช้ น่าจะคุ้มค่ากว่าการใช้ผู้รับเหมาที่ไม่มีคุณภาพและเสี่ยงต่อการทิ้งงาน
ก่อนหน้านี้ นายนิโรธ เจริญประกอบ รองเลขาธิการสคบ. กล่าวว่า ได้ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เกี่ยวกับการโฆษณาขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ห้ามกระทำการโฆษณาเกินจริง เพราะมีข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากเช่นกันว่า สาเหตุใหญ่ของการตัดสินใจซื้อบ้าน เนื่องจากการโฆษณา เช่นการโฆษณา ว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านหน้าหมู่บ้าน หรือแค่ 5-10 นาที ก็ถึงรถไฟฟ้าแล้ว แม้ว่าราคาของบ้านหรืออาคารชุดจะสูงกว่าปกติก็ตาม ซึ่งบางโครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว ผู้บริโภคเสียเงินซื้อไปแล้ว แต่รถไฟฟ้าก็ยังไม่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าถือเป็นการปั่นราคาที่ดิน หรือบางกรณีได้โฆษณาว่าจะมีศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างอยู่ใกล้แหล่งชุมชน แต่ความจริงอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร ซึ่งถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ห้ามไม่ให้โฆษณา แต่ถ้าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะโฆษณาว่าอยู่ใกล้โครงการรถไฟฟ้าที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ก็ต้องชี้แจงรายละเอียดด้วยว่าใกล้แค่ไหน ขณะที่ผู้บริโภคก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย หากพบว่าโฆษณาเกินจริงก็ร้องเรียนมาที่ สคบ. ได้ หากพิจารณาตามหลักกฎหมาย สคบ. ถ้าพบว่ามีการโฆษณาเกินจริงอาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างบางรายได้ใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดการชำรุดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้บ้านเสียหาย หรือบางราย ใช้แรงงานฝีมือต่ำที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาก่อสร้าง ทำให้การสร้างบ้านเสร็จไม่ทัน หรือชำรุดเสียหายอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังมีปัญหาอื่นอีกมากที่ผู้บริโภคร้องเรียนมาที่ สคบ. เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างไร เช่น การกำหนดรูปแบบสัญญารับเหมาก่อสร้างที่เป็นมาตรฐาน เป็นต้น แม้ว่าเป็นสัญญาที่ไม่มีผลทางกฎหมายก็ตาม แต่ถือเป็นสัญญาที่ถือเป็นข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบการ และผู้สร้างบ้านได้
"ต้องยอมรับว่า การก่อสร้างที่อยู่อาศัย อาคารต่างๆ มีกฎหมายควบคุมการก่อสร้างของกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของการว่าจ้างผู้รับเหมายังไม่มีสัญญาที่เป็นมาตรฐานเข้ามาดูแล และผู้บริโภคก็ถูกเอารัดเอาเปรียบในเรื่องนี้มาก สคบ.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองผู้บริโภคอยู่แล้ว จึงต้องหาแนวทางที่สามารถดำเนินการได้มาสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อย ที่บางรายอาจไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯจึงต้องการหาแนวทางร่วมกันว่าจะดำเนินการอย่างไรที่ให้ครอบคลุมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อยด้วย"
นายพิฆเนศ กล่าวว่านอกจากจะขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการแล้ว ผู้บริโภคเองต้องพิจารณาเลือกผู้รับเหมาที่ได้คุณภาพหรือเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ เพื่อให้การก่อสร้างบ้านของตนเอง ไม่มีปัญหาถูกทิ้งงาน แม้ว่าบางครั้งการใช้บริการของผู้ประกอบการชั้นดีอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มีปัญหาหรือความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างที่ใช้ น่าจะคุ้มค่ากว่าการใช้ผู้รับเหมาที่ไม่มีคุณภาพและเสี่ยงต่อการทิ้งงาน
ก่อนหน้านี้ นายนิโรธ เจริญประกอบ รองเลขาธิการสคบ. กล่าวว่า ได้ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เกี่ยวกับการโฆษณาขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ห้ามกระทำการโฆษณาเกินจริง เพราะมีข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากเช่นกันว่า สาเหตุใหญ่ของการตัดสินใจซื้อบ้าน เนื่องจากการโฆษณา เช่นการโฆษณา ว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านหน้าหมู่บ้าน หรือแค่ 5-10 นาที ก็ถึงรถไฟฟ้าแล้ว แม้ว่าราคาของบ้านหรืออาคารชุดจะสูงกว่าปกติก็ตาม ซึ่งบางโครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว ผู้บริโภคเสียเงินซื้อไปแล้ว แต่รถไฟฟ้าก็ยังไม่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าถือเป็นการปั่นราคาที่ดิน หรือบางกรณีได้โฆษณาว่าจะมีศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างอยู่ใกล้แหล่งชุมชน แต่ความจริงอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร ซึ่งถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ห้ามไม่ให้โฆษณา แต่ถ้าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะโฆษณาว่าอยู่ใกล้โครงการรถไฟฟ้าที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ก็ต้องชี้แจงรายละเอียดด้วยว่าใกล้แค่ไหน ขณะที่ผู้บริโภคก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย หากพบว่าโฆษณาเกินจริงก็ร้องเรียนมาที่ สคบ. ได้ หากพิจารณาตามหลักกฎหมาย สคบ. ถ้าพบว่ามีการโฆษณาเกินจริงอาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
