xs
xsm
sm
md
lg

เฉือนดินแดนไทยจ่ายเป็นค่าสัมปทาน!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

หลังจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำความเรื่องแผนอุบาทว์ที่จะยกอธิปไตยของชาติบริเวณเขาพระวิหารให้กับกัมพูชาเพื่อแลกกับการได้มาซึ่งสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจากกัมพูชาของกลุ่มทุนการเมืองแล้ว ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายกันเป็นการใหญ่

พวกที่รักชาติก็โหวกเหวกโวยวายประณามก่นด่าพวกชั่วครองเมืองว่าผลาญแผ่นดิน ผลาญชาติ ในขณะที่ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ซึ่งปัจจุบันนี้สื่อมวลชนขนานนามใหม่ว่าไอ้หัวถอก กับนายนพดล ปัทมะ ซึ่งสื่อมวลชนก็ได้ขนานนามว่าไอ้เหล่ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ ทั้งนั้น จะไม่ยอมเสียดินแดนให้กับใครเป็นอันขาด

ความสับสนก็เกิดขึ้น แต่ในที่สุดหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ประจำวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2551 ก็ได้ต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องนี้ โดยได้รายงานข่าวที่หนังสือพิมพ์เขมรไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีเขมร ความว่าฝ่ายไทยได้ผูกเรื่องแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเข้ากับเรื่องการแก้ไขปัญหาพิพาทดินแดนเขาพระวิหาร

เป็นการตอกย้ำในสิ่งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดไว้ ซึ่งความจริงในวงการเขาก็รู้กันอยู่ทั่วไปว่าเป็นเช่นนั้น เป็นแต่ว่าสื่อมวลชนของรัฐพยายามปัดและบิดเบือนข่าวสารเรื่องนี้

เพราะรู้ดีว่าคนไทยเรานั้นถึงจะชั่วจะดีอย่างไรก็ไม่มีใครยอมเสียดินแดนที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างสมมาให้กับชาติอื่น ยิ่งเป็นการเสียดินแดนให้เป็นค่าสัมปทานเพื่อผลประโยชน์ที่เอกชนบางรายจะได้รับสัมปทานจากเขมรแล้วไม่มีใครยอมได้เป็นอันขาด และเห็นจะเกิดเรื่องแน่

ดังนั้นการบิดเบือนบิดตะกูด รวมไปถึงการปิดปากคนสำคัญในกระทรวงการต่างประเทศ และความพยายามหาทางวางคนของตัวลงไปเพื่อไปทำงานเรื่องนี้ให้เป็นผลสำเร็จตามแบบประสาชั่วครองเมืองก็ยังคงดำเนินต่อไป

ก็ต้องบอกกันไว้ตรงนี้ว่าถ้ายังปล่อยให้พวกชั่วครองเมืองทำการเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดประเทศไทยก็จะเสียดินแดนครั้งใหม่ คือดินแดนพื้นที่เขาพระวิหารประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร เพื่อจ่ายเป็นค่าสัมปทานแก่เขมร ตอบแทนที่เขมรจะให้สัมปทานแก่เอกชนไทยบางรายในการหาผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย

มาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้ถ่องแท้ เพราะเมื่อรู้เท่าทันความจริงแล้ว ใครก็จะหลอกลวงไม่ได้ แล้วจะได้ทำหน้าที่ปกปักรักษาดินแดนของบรรพบุรุษไทยเอาไว้สืบไป

ซึ่งต้องทำความเข้าใจรวม 3 เรื่อง คือ เรื่องหลักกฎหมายปิดปากเรื่องหนึ่ง, เรื่องแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเรื่องหนึ่ง และเรื่องดินแดนเขาพระวิหารที่กำลังจะถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องขอจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของเขมรอีกเรื่องหนึ่ง

รับรองว่าถ้าเข้าใจ 3 เรื่องนี้ดีแล้วก็จะเข้าใจแผนอุบาทว์ชาติชั่วได้อย่างชัดเจน!

เรื่องแรก คือเรื่องหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งมีหลักการใหญ่อันใช้บังคับในทางกฎหมายระหว่างประเทศว่า ถ้าประเทศใดอยู่ในวิสัยที่จะโต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงใดแล้วเพิกเฉยไม่โต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงนั้น ให้ถือว่าประเทศนั้นยอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว

คำพิพากษาศาลโลกที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั่นแหละ ในเรื่องนี้ศาลโลกตัดสินว่าเมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสยึดครองกัมพูชา และได้ทำแผนที่เขตแดนไทย-กัมพูชานั้น ได้ระบุว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนเขมร ซึ่งประเทศไทยไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้ง ดังนั้นจึงอาศัยหลักกฎหมายปิดปากนี้ตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร

เดชะบุญที่การทำแผนที่เขตแดนคราวนั้น ฝรั่งเศสไม่ได้ระบุปราสาทอีกหลายหลัง รวมทั้งทางขึ้น ตลอดจนดินแดนอันเป็นเขตเขาพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชาด้วย ดังนั้นปราสาทเหล่านี้รวมทั้งทางขึ้นและดินแดนเขตเขาพระวิหารจึงยังคงเป็นของประเทศไทย

ดินแดนอันเป็นบริเวณรวมของปราสาทเขาพระวิหารมีขนาดประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร และยังมีพื้นที่รอบนอกอีกประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งขณะนี้เป็นอุทยานแห่งชาติพระวิหาร จึงรวมเป็นพื้นที่ประมาณ 10.5 ตารางกิโลเมตร ยังคงเป็นดินแดนและอธิปไตยของประเทศไทย

แต่ดินแดนส่วน 2.5 ตารางกิโลเมตรนั้นเขมรได้เข้ามาล้อมรั้ว ปลูกเพิงขายของ ตลอดจนปักธงเขมรเป็นบางส่วน และขณะนี้ก็ได้ว่าจ้างบริษัทญี่ปุ่นให้ทำแผนที่ภูมิประเทศที่ชัดเจน รวมพื้นที่ทั้ง 10.5 ตารางกิโลเมตรว่าเป็นดินแดนของเขมร

ซึ่งขณะนี้แนวแผนที่ใหม่นี้ก็มีการแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนไทยบางราย และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2551 สื่อมวลชนดังกล่าวก็ได้ตีพิมพ์แผนที่นั้นว่าอาณาเขต 10.5 ตารางกิโลเมตรนั้นเป็นดินแดนเขมรไปแล้ว

สื่อมวลชนดังกล่าวอยู่ในเครือข่ายของกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ ไปดูกันเองก็แล้วกัน!

ดังนั้นกองทัพไทยจึงร้อนใจในปัญหาการรุกล้ำอธิปไตยและเคยออกแถลงการณ์เรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ปัจจุบันนี้กลับถูกไอ้โม่งสั่งการให้สงบปากสงบคำนิ่งเฉยเสีย

แต่นายทหารระดับสูงในกองบัญชาการทหารสูงสุดทนรับสภาพดังกล่าวไม่ไหว จึงได้ให้สัมภาษณ์คัดค้านและเร่งรัดให้รัฐบาลไทยจัดการปัญหาดินแดนส่วนนี้ เพราะหากเพิกเฉยต่อไปก็จะถูกกฎหมายระหว่างประเทศปิดปากและจะทำให้เสียดินแดน 10.5 ตารางกิโลเมตรนี้

เรื่องที่สอง
เป็นเรื่องแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าในน่านน้ำหรือทะเลหลวงห่างจากเขตแดนประเทศใดไม่เกิน 200 กิโลเมตรเป็นดินแดนของประเทศนั้น

ปรากฏว่าในอ่าวไทยตรงจุดหนึ่งมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉพาะมูลค่าที่นายนพดล ปัทมะ ยอมรับและแถลงแล้วคือ 5 ล้านล้านบาท ในขณะที่แหล่งข่าวบางแหล่งระบุว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 20 ล้านล้านบาท เป็นอย่างต่ำ

แหล่งก๊าซธรรมชาติตรงจุดนี้อยู่ในระยะ 200 เมตรจากชายฝั่งของประเทศไทย และเขมรด้วย จึงเป็นพื้นที่ทับซ้อนและมีปัญหาพิพาทกันมานานแล้ว

ในที่สุดทั้งสองประเทศก็ได้ใช้ต้นแบบการหาประโยชน์ร่วมกันแบบเดียวกับที่ไทยและมาเลเซียทำความตกลงแบ่งผลประโยชน์แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยตรงจุดพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย โดยแบ่งพื้นที่และให้แต่ละฝ่ายขุดเจาะก๊าซธรรมชาติไปใช้ได้ฝ่ายละครึ่ง คงเหลือแต่ว่าการแบ่งพื้นที่นั้นยังไม่แล้วเสร็จเรียบร้อย แต่หลักการใหญ่คือขุดเจาะไปใช้ฝ่ายละครึ่งนั้นตกลงกันเรียบร้อยแล้ว

ฝ่ายไทยที่จะได้สัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในส่วนของประเทศไทยก็คงเป็นบริษัทค้าน้ำมันใหญ่ที่ถูกแปรรูปจากรัฐวิสาหกิจไปให้ทุนการเมืองใหญ่ถือหุ้นนั่นแหละ ซึ่งต้องจับตาดูว่าผลประโยชน์มหาศาลนี้ประเทศไทยจะได้ค่าสัมปทานเท่าใดกันแน่

แต่ในส่วนของเขมรนั้นมีหลายชาติขอสัมปทานขุดเจาะ แต่เขมรไม่สนใจรายอื่นเพราะมีนักลงทุนไทยบางรายเสนอให้ผลประโยชน์ดีกว่า คือนอกจากค่าสัมปทานเป็นตัวเงินเท่า ๆ กับที่ชาติอื่นให้แล้ว ยังแถมดินแดนอันเป็นอธิปไตยของประเทศไทยบริเวณเขาพระวิหารประมาณ 10.5 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นค่าสัมปทานอีกโสตหนึ่งด้วย

การเจรจาค้างอยู่เพราะมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ในพลันที่พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ก็นายกรัฐมนตรีเขมรนั่นแหละที่กระตือรือร้นส่งสาส์นแสดงความยินดีก่อนใคร ก็หวานหมูเขานี่! คือได้ทั้งค่าสัมปทาน ได้ทั้งดินแดนของประเทศไทย และได้ค่านิยมทางการเมืองภายในเขมรอีกส่วนหนึ่งด้วย

นี่ไงที่ฝ่ายเขมรเขาระบุว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่โยงสองเรื่อง คือเรื่องแหล่งก๊าซกับเรื่องเขาพระวิหารเข้าด้วยกัน

เรื่องที่สาม คือเรื่องขอจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เรื่องนี้เดิมรัฐบาลของทั้งสองประเทศตกลงกันว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร แต่ดินแดนเป็นของไทย ดังนั้นจะต้องยื่นขอจดมรดกโลกร่วมกันและได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน

นั่นคือการใช้หลักการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเดียวกับการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในทะเลนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายก็เป็นเจ้าของเรื่องร่วมกัน ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

ในการนี้ ประเทศไทยจะต้องยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 แต่เมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเรื่องนี้ก็ถูกเหยียบจมธรณีไว้ จนกระทั่งใครบางคนออกมาแถลงข่าวว่าการจดทะเบียนมรดกโลกไทยไม่เกี่ยว ให้เขมรจดไปฝ่ายเดียว

โดยผลทางกฎหมายคือไทยสละสิทธิ์และอธิปไตยเหนือดินแดน 10.5 ตารางกิโลเมตร โดยหลักกฎหมายปิดปาก ให้เขมรเป็นเจ้าของทั้งปราสาทพระวิหาร รวมทั้งปราสาทอื่นและทางขึ้น และรวมทั้งดินแดน 10.5 ตารางกิโลเมตรไปแต่ฝ่ายเดียว

เขมรย่อมยินดีแน่ เพราะได้ดินแดนและได้ครอบครองดินแดนอันเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหาร รวมทั้งพื้นที่ข้างเคียงเป็นส่วนแถมค่าสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติโดยอัตโนมัติ

ในกรณีอย่างนี้ ประเทศไทยมีทางแก้ไขปัญหาโดยสันติ 2 ทางเท่านั้น คือ คัดค้านการที่เขมรยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวอย่างหนึ่ง กับยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง จึงจะรักษาดินแดนอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติเอาไว้ได้

หาไม่แล้ว ก็จะเกิดสงครามไทย-กัมพูชา ขึ้นในสักวันหนึ่ง นี่คือผลจากการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เพื่อประโยชน์ส่วนตนที่จะได้สัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทยจากฝ่ายเขมร และจะมีผลให้แหล่งก๊าซธรรมชาติทั้งหมดอยู่ในอำนาจอิทธิพลของคนเพียงคนเดียวหรือคณะเดียวในที่สุด

ท่านนายกฯ หัวถอก และท่านรัฐมนตรีตาเหล่ กรุณาพูดเรื่องนี้ให้ชัดหน่อยได้ไหมว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างที่ว่ามานี้หรือว่าเป็นอย่างไรกันแน่? ทำไมกระทรวงการต่างประเทศจึงไม่คัดค้านหรือไม่ยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมกับเขมร? และพวกท่านจะรักษาอธิปไตยและดินแดน 10.5 ตารางกิโลเมตรนี้ต่อไปอย่างไร?

ถ้าไม่ทำอะไร เอาแต่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียวแล้ว ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าแผ่นดินประเทศไทยไม่อาจรองรับพวกขายชาติให้มีอำนาจในบ้านเมืองได้อีกต่อไป!
กำลังโหลดความคิดเห็น