พม่าไฟเขียวทีมแพทย์ไทย เข้าช่วยเหลือเหยื่อนาร์กีสศุกร์นี้ ขณะที่ทีมแพทย์พระราชทานสมเด็จพระบรมฯ จะตามสมทบในวันเสาร์ ปลัดสธ.เผยได้วีซ่า 2 สัปดาห์ ส่วนเหยื่อแผ่นดินไหวจีนตายแล้วทะลุ 2 หมื่นคน ถูกฝังสูญหายไม่รู้ชะตากว่า 4 หมื่นคน ด้านนักธรณีวิทยา จุฬาฯ เผยความเอียงของแกนหมุนของโลกขยับตัวลดลง ทำให้เกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกบ่อยขึ้นในอนาคต
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สธ.ไทยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศว่าทางการของพม่า ยินดีเปิดรับทีมแพทย์จากไทย เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบภัยในประเทศพม่าได้แล้ว โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้มีรับสั่งให้สธ. เป็นแกนประสานจัดหน่วยแพทย์พระราชทานในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ชุดแรกจำนวน 30 คน ไปให้การรักษาพยาบาลชาวพม่าที่ประสบภัยพายุไซโคลนนาร์กีส ประกอบด้วยหน่วยแพทย์จากสธ. สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลรามาธิบดี ไปให้การรักษาพยาบาล การควบคุมโรคระบาด
รวมทั้งส่งทีมจิตแพทย์ไปเยียวยาด้านจิตใจแก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยครั้งนี้ด้วย โดยจะออกเดินทางในวันศุกร์นี้ และจะประจำการอยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หากมีความต้องการอีก ก็จัดส่งเพิ่มเติมได้
ทางด้านนพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดสธ. กล่าวว่า หน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่นี้ จะมีเครื่องมือที่จำเป็นในการใช้ปฏิบัติการไปด้วย สามารถทำงานได้ทันที ได้แก่ เครื่องมือผ่าตัดใช้ในภาคสนาม เครื่องมือตรวจโรคทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ในการปฐมพยาบาล และเครื่องต้ม นึ่งฆ่าเชื้อเครื่องมือแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการสำรองยาที่จำเป็น โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาการติดเชื้อต่างๆ
สำหรับการเดินทางไปยังพม่าในวันศุกร์ที่ 16 พ.ค.นี้นั้น ตนเองจะเดินทางพร้อมคณะแพทย์ชุดแรกในเวลา 7.50 น. ซึ่งประกอบด้วย นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผอ.สำนักงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต และทญ.โสภิดา ชวนิชกุล ผอ.กลุ่มการสาธารณสุขระหว่างประเทศ (สรป.) หลังจากนั้นในวันเสาร์ (17 พ.ค.) คณะแพทย์พระราชทานประกอบด้วยแพทย์รักษา และควบคุมโรค รวมถึงจิตแพทย์จะเดินทางด้วยเครื่อง ซี 130 ตามไปสมทบ
ทั้งนี้ แพทย์ชุดแรกที่ไปจะทำการหารือสอบถามข้อมูลยา และเวชภัณฑ์ ความต้องการ เครื่องมือการแพทย์ต่างๆ ตลอดจนวัคซีนเช่น วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค โรควัยรัสตับอักเสบเอ,บี ไข้กาฬหลังแอ่น และประสานเพื่อให้นำอุปกรณ์เหล่านี้มาพร้อมกันในเที่ยวที่สอง นอกจากนี้ได้เตรียมแพทย์ที่แสดงความจำนงจะเข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงอาสาสมัครกว่า 100 คน พร้อมที่จะพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปให้ความช่วยเหลือ โดยในคณะแพทย์ดังกล่าวจะมีแพทย์ชาวพม่า ที่เข้ามาศึกษาในไทย คอยเป็นล่ามแปลภาษาให้เมื่อลงพื้นที่อีกด้วย
กองทัพวางแผนขนของเข้าพม่า
พล.ท. สุรัตน์ วรรักษ์ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร บก.ทหารสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือประเทศพม่าว่า ขณะนี้ทางกองทัพได้รับสิ่งของอุปโภคบริโภค ยารักษาโรคจำนวนมากที่จะนำไปช่วยเหลือประเทศพม่า มาไว้ที่กองบัญชาการทัพไทย ซึ่งได้ทำเรื่องผ่าน รมว.กลาโหมไปแล้ว และจะให้ที่ประชุมครม.อนุมัติงบประมาณเพื่อใช้ในการขนย้ายสิ่งของ ซึ่งทางกองทัพได้พิจารณาเสนอแนวทางในการเคลื่อนย้ายไว้ 3 แนวทาง คือ
1.ทางอากาศ โดยจะขนย้าย 1 เที่ยวต่อวัน และจะนำสิ่งของไปช่วยเหลือจนถึงสิ้นเดือน ซึ่งสิ่งของที่จะบรรทุกนั้นเป็นสิ่งของที่มีความเร่งด่วนและสำคัญ เช่น ยาเวชภัณฑ์ สิ่งของเครื่องใช้ โทรศัพท์มือถือ
2. คือ ทางบก โดยเราจะให้ทางกองบัญชาการเมียวดี แม่สอด จ.ตาก กระทรวงการต่างประเทศช่วยประสานให้ ซึ่งขณะนี้เรากำลังรอคำตอบ ถ้าหากประสานได้เราก็จะจัดเป็นขบวนคาราวานของ 3 เหล่าทัพ ซึ่งคิดว่ารถ 1 หนึ่งคันจะบรรทุกสิ่งได้ประมาณสักสิบตัน
และแนวทางที่ 3 คือ ทางเรือ โดยจะไปนำสิ่งของช่วยเหลือไปลงที่เกาะสอง จ.ระนอง ซึ้งหากเรานำของไปลงที่ จ.ระนองนั้น ทางรัฐบาลพม่าจะสามารถมารับได้ทันที โดยเราจะวิ่งอ้อมอ่าว จากท่าเรือกรุงเทพฯไป สิงคโปร์ โดยเข้าช่องแคบ ซึ่งจะใช้งบประมาณในการขนย้ายลำละ 35 ล้านบาท และใช้เวลาในการเดิน 6 วัน แต่การใช้เส้นทางเรือจะสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่าเส้นทางอื่นๆ ซึ่งทางรถยนต์ถือว่า เป็นแนวทางที่ประหยัดที่สุด ส่วนการเคลื่อนย้ายสิ่งของโดยใช้เครื่องบิน ซี 130 นั้น ขณะนี้กระแสการบริจาคค่อยๆ ลดลง คิดว่าประมาณไม่เกินสิ้นเดือนน่าจะสามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมด
พล.ท.สุรัตน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอยากให้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ดำเนินการการช่วยเหลือประเทศพม่าต่อไป ซึ่งขณะนี้เราได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคส่งเข้าไปก่อน ขอมา 8 ประการ ได้ให้ พล.ท. นิพัทธ์ ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นผู้ประสานงานกับ พล.อ.เต็ง เส่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งพล.อ.เต็ง เส่ง ได้ฝากข้อความถึงนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลพม่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชน ที่ได้จัดส่งถุงยังชีพมาช่วยเหลือ
เหยื่อแผ่นดินไหวจีนตายกว่า 2 หมื่น
สำนักข่าวซินหัวรายงานผู้เสียชีวิตในวันพุธ(14 พ.ค.) ว่า ธรณีพิโรธได้คร่าชีวิตคนในเมืองเล็กๆอิ้งซิ่ว เกือบเกลี้ยงเมือง นับจำนวนได้อย่างน้อย 7,700 คน และเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2,300 คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งมีประชากร 10,000 คน สำหรับผู้รอดชีวิตมากกว่า 1,000 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้ เมืองอิ้งซิ่วเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากสุด แรงถึง 7.9 ริกเตอร์
ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดที่ทางการรายงานล่าสุดในบ่ายวันพุธ โดยนายหลี่ เฉิงหยุนรองผู้ว่าการมณฑลเสฉวน ระบุจำนวนผู้เสียชีวิต ถึง 14,463 คน เกือบ 40,000 คน ถูกฝังในซากปรักหักพังหรือสูญหาย และอีก 64,746 บาดเจ็บ
สำหรับยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามเมืองต่างๆโดยประมาณเมื่อวันพุธ ได้แก่ เหมียนหยางมากกว่า 5,400 คน เป่ยชวนราว 5,000 คน, เหมียนจู๋ราว 3,000 คน, เต๋อหยาง 2,600 คน, เวิ่นชวน 500, นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตทบทวีขึ้นนับได้คราวละนับร้อยในเฉิงตู และเมืองน้อยใหญ่อื่นๆ
เป็นที่คาดว่าตัวเลขจะสูงกว่านี้มาก เมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและเคลียร์ทุกอย่างได้เต็มที่ ซึ่งขณะนี้ปฏิบัติการช่วยเหลือและกู้ชีวิตยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากยังมีฝนตกหนักและลมแรง ถนนหนทางเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ถนนบางแห่งแตกแยกเป็นสองเสี่ยง ยิ่งในบริเวณเวิ่นชวนศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่แรงถึง 7.9 ริกเตอร์ เต็มไปด้วยภูเขา และมีดินถล่ม นอกจากนี้ ยังมีอาฟเตอร์ช็อคมาเป็นระยะๆ
กรมอุตุฯจีนยังพยากรณ์อากาศว่า จะมีฝนตกหนักมากขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ สร้างความเสี่ยงดินถล่มระลอกใหม่
นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่ายอมรับว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่ประเมินไว้ในตอนแรก “ตอนนี้ เราผจญอุปสรรค์สาหัสในปฏิบัติการกู้ภัย” เวินกล่าวในศูนย์ปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ในตูเจียงเยี่ยน
ขณะนี้ จีนได้ระดมกำลังติดอาวุธ 2.3 ล้านคน เป็นหัวหอกบุกทะลวงเข้าช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหว กองกำลังต้องปีนเทือกเขาในเวิ่นชวนจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวท่ามกลางอากาศย่ำแย่ และเส้นทางที่เสียหายหนัก จีนมีแผนนำหน่วยพลร่มทิ้งเสบียงอาหารและข้าวของแก่ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเสียหายในวันอังคาร(13 พ.ค.) แต่ก็ต้องระงับไปเพราะฝนตกหนักและพายุแรง
อย่างไรก็ตาม ในวันพุธ (14 พ.ค.) เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินก็เริ่มออกปฏิบัติการทิ้งเสบียงทางอากาศหลายตันในพื้นที่ได้รับความเสียหายหนัก และถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยดินถล่มปิดล้อมเมือง
ขณะนี้ บรรดาชาติอำนาจ ต่างก็เสนอความช่วยเหลือ ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ไปถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล(ไอโอซี) จีนเพียงแสดงความยินดีแต่ยังไม่อาจรับความช่วยเหลือในเวลานี้ โดยบอกว่า “เงื่อนไขต่างๆยังไม่สุกงอม” อนุญาตให้ทีมช่วยเหลือต่างชาติเข้ามาในประเทศ
แกนโลกขยับน้อยทำแผ่นดินไหวถี่
ช่วงบ่ายวานนี้ (14พ.ค.) ที่ห้องประชุมมหามกุฏจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดสัมมนาพิเศษเรื่อง "แกะรอยแผ่นดินไหว จากญี่ปุ่น...สู่จีน...จะไปไหนต่อ? " โดย ผศ.ดร.มนตรี ชูวงษ์ ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบและสำรวจ ค่อนข้างชัดเจนว่ามีรอยเลื่อนอยู่ใต้กทม.จริง โดยน่าจะเป็นรอยเลื่อนจากแขนงของรอยเลื่อนเจดีย์ 3 องค์ แต่จะเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังหรือไม่นั้น อยู่ในระหว่างการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล
ด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักธรณีวิทยา ศูนย์ศึกษาพิบัติภัย ระบุว่า โลกเรามีเปลือกโลกหลายแผ่นที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะนี้สังเกตได้ว่าการเกิดแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยกว่าเมื่อก่อน มีความเป็นไปได้สูงว่าปรากฏการณ์แผ่นดินไหวเป็นการปรับตัวของแผ่นเปลือกโลก เนื่องมาจากสาเหตุของมุมเอียงของแกนโลก มีการขยับตัวน้อยลงในอัตรา 0.475 ฟิลิปดาต่อปี ปกติขณะนี้โลกของเรามีแกนเอียงเท่ากับ 23.5 องศา
ทั้งนี้ การที่แกนของโลกเอียงน้อยลงทำให้เขตร้อนของโลกเคลื่อนที่เข้าหาเส้นศูนย์สูตรโลกเร็วมาก เร็วจนน่าตกใจ โดยการขยับของมุมเอียงแกนโลกนี้นอกจากจะทำให้เขตร้อนลดลงปีละประมาณ 1,080 ตร.กม. แล้วยังพบว่าจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของโลกมีการขยับตัวตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยขึ้นตามที่ต่างๆ ทั่วโลก
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สธ.ไทยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศว่าทางการของพม่า ยินดีเปิดรับทีมแพทย์จากไทย เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบภัยในประเทศพม่าได้แล้ว โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้มีรับสั่งให้สธ. เป็นแกนประสานจัดหน่วยแพทย์พระราชทานในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ชุดแรกจำนวน 30 คน ไปให้การรักษาพยาบาลชาวพม่าที่ประสบภัยพายุไซโคลนนาร์กีส ประกอบด้วยหน่วยแพทย์จากสธ. สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลรามาธิบดี ไปให้การรักษาพยาบาล การควบคุมโรคระบาด
รวมทั้งส่งทีมจิตแพทย์ไปเยียวยาด้านจิตใจแก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยครั้งนี้ด้วย โดยจะออกเดินทางในวันศุกร์นี้ และจะประจำการอยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หากมีความต้องการอีก ก็จัดส่งเพิ่มเติมได้
ทางด้านนพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดสธ. กล่าวว่า หน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่นี้ จะมีเครื่องมือที่จำเป็นในการใช้ปฏิบัติการไปด้วย สามารถทำงานได้ทันที ได้แก่ เครื่องมือผ่าตัดใช้ในภาคสนาม เครื่องมือตรวจโรคทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ในการปฐมพยาบาล และเครื่องต้ม นึ่งฆ่าเชื้อเครื่องมือแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการสำรองยาที่จำเป็น โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาการติดเชื้อต่างๆ
สำหรับการเดินทางไปยังพม่าในวันศุกร์ที่ 16 พ.ค.นี้นั้น ตนเองจะเดินทางพร้อมคณะแพทย์ชุดแรกในเวลา 7.50 น. ซึ่งประกอบด้วย นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผอ.สำนักงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต และทญ.โสภิดา ชวนิชกุล ผอ.กลุ่มการสาธารณสุขระหว่างประเทศ (สรป.) หลังจากนั้นในวันเสาร์ (17 พ.ค.) คณะแพทย์พระราชทานประกอบด้วยแพทย์รักษา และควบคุมโรค รวมถึงจิตแพทย์จะเดินทางด้วยเครื่อง ซี 130 ตามไปสมทบ
ทั้งนี้ แพทย์ชุดแรกที่ไปจะทำการหารือสอบถามข้อมูลยา และเวชภัณฑ์ ความต้องการ เครื่องมือการแพทย์ต่างๆ ตลอดจนวัคซีนเช่น วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค โรควัยรัสตับอักเสบเอ,บี ไข้กาฬหลังแอ่น และประสานเพื่อให้นำอุปกรณ์เหล่านี้มาพร้อมกันในเที่ยวที่สอง นอกจากนี้ได้เตรียมแพทย์ที่แสดงความจำนงจะเข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงอาสาสมัครกว่า 100 คน พร้อมที่จะพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปให้ความช่วยเหลือ โดยในคณะแพทย์ดังกล่าวจะมีแพทย์ชาวพม่า ที่เข้ามาศึกษาในไทย คอยเป็นล่ามแปลภาษาให้เมื่อลงพื้นที่อีกด้วย
กองทัพวางแผนขนของเข้าพม่า
พล.ท. สุรัตน์ วรรักษ์ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร บก.ทหารสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือประเทศพม่าว่า ขณะนี้ทางกองทัพได้รับสิ่งของอุปโภคบริโภค ยารักษาโรคจำนวนมากที่จะนำไปช่วยเหลือประเทศพม่า มาไว้ที่กองบัญชาการทัพไทย ซึ่งได้ทำเรื่องผ่าน รมว.กลาโหมไปแล้ว และจะให้ที่ประชุมครม.อนุมัติงบประมาณเพื่อใช้ในการขนย้ายสิ่งของ ซึ่งทางกองทัพได้พิจารณาเสนอแนวทางในการเคลื่อนย้ายไว้ 3 แนวทาง คือ
1.ทางอากาศ โดยจะขนย้าย 1 เที่ยวต่อวัน และจะนำสิ่งของไปช่วยเหลือจนถึงสิ้นเดือน ซึ่งสิ่งของที่จะบรรทุกนั้นเป็นสิ่งของที่มีความเร่งด่วนและสำคัญ เช่น ยาเวชภัณฑ์ สิ่งของเครื่องใช้ โทรศัพท์มือถือ
2. คือ ทางบก โดยเราจะให้ทางกองบัญชาการเมียวดี แม่สอด จ.ตาก กระทรวงการต่างประเทศช่วยประสานให้ ซึ่งขณะนี้เรากำลังรอคำตอบ ถ้าหากประสานได้เราก็จะจัดเป็นขบวนคาราวานของ 3 เหล่าทัพ ซึ่งคิดว่ารถ 1 หนึ่งคันจะบรรทุกสิ่งได้ประมาณสักสิบตัน
และแนวทางที่ 3 คือ ทางเรือ โดยจะไปนำสิ่งของช่วยเหลือไปลงที่เกาะสอง จ.ระนอง ซึ้งหากเรานำของไปลงที่ จ.ระนองนั้น ทางรัฐบาลพม่าจะสามารถมารับได้ทันที โดยเราจะวิ่งอ้อมอ่าว จากท่าเรือกรุงเทพฯไป สิงคโปร์ โดยเข้าช่องแคบ ซึ่งจะใช้งบประมาณในการขนย้ายลำละ 35 ล้านบาท และใช้เวลาในการเดิน 6 วัน แต่การใช้เส้นทางเรือจะสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่าเส้นทางอื่นๆ ซึ่งทางรถยนต์ถือว่า เป็นแนวทางที่ประหยัดที่สุด ส่วนการเคลื่อนย้ายสิ่งของโดยใช้เครื่องบิน ซี 130 นั้น ขณะนี้กระแสการบริจาคค่อยๆ ลดลง คิดว่าประมาณไม่เกินสิ้นเดือนน่าจะสามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมด
พล.ท.สุรัตน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอยากให้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ดำเนินการการช่วยเหลือประเทศพม่าต่อไป ซึ่งขณะนี้เราได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคส่งเข้าไปก่อน ขอมา 8 ประการ ได้ให้ พล.ท. นิพัทธ์ ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นผู้ประสานงานกับ พล.อ.เต็ง เส่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งพล.อ.เต็ง เส่ง ได้ฝากข้อความถึงนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลพม่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชน ที่ได้จัดส่งถุงยังชีพมาช่วยเหลือ
เหยื่อแผ่นดินไหวจีนตายกว่า 2 หมื่น
สำนักข่าวซินหัวรายงานผู้เสียชีวิตในวันพุธ(14 พ.ค.) ว่า ธรณีพิโรธได้คร่าชีวิตคนในเมืองเล็กๆอิ้งซิ่ว เกือบเกลี้ยงเมือง นับจำนวนได้อย่างน้อย 7,700 คน และเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2,300 คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งมีประชากร 10,000 คน สำหรับผู้รอดชีวิตมากกว่า 1,000 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้ เมืองอิ้งซิ่วเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากสุด แรงถึง 7.9 ริกเตอร์
ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดที่ทางการรายงานล่าสุดในบ่ายวันพุธ โดยนายหลี่ เฉิงหยุนรองผู้ว่าการมณฑลเสฉวน ระบุจำนวนผู้เสียชีวิต ถึง 14,463 คน เกือบ 40,000 คน ถูกฝังในซากปรักหักพังหรือสูญหาย และอีก 64,746 บาดเจ็บ
สำหรับยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามเมืองต่างๆโดยประมาณเมื่อวันพุธ ได้แก่ เหมียนหยางมากกว่า 5,400 คน เป่ยชวนราว 5,000 คน, เหมียนจู๋ราว 3,000 คน, เต๋อหยาง 2,600 คน, เวิ่นชวน 500, นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตทบทวีขึ้นนับได้คราวละนับร้อยในเฉิงตู และเมืองน้อยใหญ่อื่นๆ
เป็นที่คาดว่าตัวเลขจะสูงกว่านี้มาก เมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและเคลียร์ทุกอย่างได้เต็มที่ ซึ่งขณะนี้ปฏิบัติการช่วยเหลือและกู้ชีวิตยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากยังมีฝนตกหนักและลมแรง ถนนหนทางเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ถนนบางแห่งแตกแยกเป็นสองเสี่ยง ยิ่งในบริเวณเวิ่นชวนศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่แรงถึง 7.9 ริกเตอร์ เต็มไปด้วยภูเขา และมีดินถล่ม นอกจากนี้ ยังมีอาฟเตอร์ช็อคมาเป็นระยะๆ
กรมอุตุฯจีนยังพยากรณ์อากาศว่า จะมีฝนตกหนักมากขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ สร้างความเสี่ยงดินถล่มระลอกใหม่
นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่ายอมรับว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่ประเมินไว้ในตอนแรก “ตอนนี้ เราผจญอุปสรรค์สาหัสในปฏิบัติการกู้ภัย” เวินกล่าวในศูนย์ปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ในตูเจียงเยี่ยน
ขณะนี้ จีนได้ระดมกำลังติดอาวุธ 2.3 ล้านคน เป็นหัวหอกบุกทะลวงเข้าช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหว กองกำลังต้องปีนเทือกเขาในเวิ่นชวนจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวท่ามกลางอากาศย่ำแย่ และเส้นทางที่เสียหายหนัก จีนมีแผนนำหน่วยพลร่มทิ้งเสบียงอาหารและข้าวของแก่ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเสียหายในวันอังคาร(13 พ.ค.) แต่ก็ต้องระงับไปเพราะฝนตกหนักและพายุแรง
อย่างไรก็ตาม ในวันพุธ (14 พ.ค.) เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินก็เริ่มออกปฏิบัติการทิ้งเสบียงทางอากาศหลายตันในพื้นที่ได้รับความเสียหายหนัก และถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยดินถล่มปิดล้อมเมือง
ขณะนี้ บรรดาชาติอำนาจ ต่างก็เสนอความช่วยเหลือ ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ไปถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล(ไอโอซี) จีนเพียงแสดงความยินดีแต่ยังไม่อาจรับความช่วยเหลือในเวลานี้ โดยบอกว่า “เงื่อนไขต่างๆยังไม่สุกงอม” อนุญาตให้ทีมช่วยเหลือต่างชาติเข้ามาในประเทศ
แกนโลกขยับน้อยทำแผ่นดินไหวถี่
ช่วงบ่ายวานนี้ (14พ.ค.) ที่ห้องประชุมมหามกุฏจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดสัมมนาพิเศษเรื่อง "แกะรอยแผ่นดินไหว จากญี่ปุ่น...สู่จีน...จะไปไหนต่อ? " โดย ผศ.ดร.มนตรี ชูวงษ์ ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบและสำรวจ ค่อนข้างชัดเจนว่ามีรอยเลื่อนอยู่ใต้กทม.จริง โดยน่าจะเป็นรอยเลื่อนจากแขนงของรอยเลื่อนเจดีย์ 3 องค์ แต่จะเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังหรือไม่นั้น อยู่ในระหว่างการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล
ด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักธรณีวิทยา ศูนย์ศึกษาพิบัติภัย ระบุว่า โลกเรามีเปลือกโลกหลายแผ่นที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะนี้สังเกตได้ว่าการเกิดแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยกว่าเมื่อก่อน มีความเป็นไปได้สูงว่าปรากฏการณ์แผ่นดินไหวเป็นการปรับตัวของแผ่นเปลือกโลก เนื่องมาจากสาเหตุของมุมเอียงของแกนโลก มีการขยับตัวน้อยลงในอัตรา 0.475 ฟิลิปดาต่อปี ปกติขณะนี้โลกของเรามีแกนเอียงเท่ากับ 23.5 องศา
ทั้งนี้ การที่แกนของโลกเอียงน้อยลงทำให้เขตร้อนของโลกเคลื่อนที่เข้าหาเส้นศูนย์สูตรโลกเร็วมาก เร็วจนน่าตกใจ โดยการขยับของมุมเอียงแกนโลกนี้นอกจากจะทำให้เขตร้อนลดลงปีละประมาณ 1,080 ตร.กม. แล้วยังพบว่าจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของโลกมีการขยับตัวตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยขึ้นตามที่ต่างๆ ทั่วโลก