เมื่อเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสำเนียง สุภัณภพ สมัชชาประชาชนภาคอีสานจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมนายกฤช อุปจันแพงวงศ์ ประธานเครือข่ายการเมืองของพลเมืองบุรีรัมย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อขอใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 (4) และมาตรา 235 วรรคสอง เนื่องจากมีคำสั่งแต่งตั้งนายเกษม วัฒนธรรม รองผวจ.บุรีรัมย์ ไปเป็นรองผวจ.นครนายก เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 51 ซึ่งคำสั่งดังกล่าวถือเป็นการกลั่นแกล้ง เพื่อให้นายเกษม ซึ่งมีตำแหน่งประธานกกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ให้พ้นเส้นทางของนักการเมืองในจังหวัดบุรีรัมย์ และคำสั่งย้ายดังกล่าว จะมีผลต่อการทำงานควบคุมการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรมของกกต. ดังนั้นจึงขอให้กกต.ใช้อำนาจระงับยับยั้งคำสั่งโยกย้ายนายเกษมให้อยู่ในตำแหน่งเดิม
ด้านนายกฤช กล่าวว่า ที่ต้องมายื่นหนังสือเนื่องจากในการเลือกตั้งส.ส.ที่ผ่านมา นายเกษม ได้มีการสรุปสำนวนการทุจริตเลือกตั้ง โดยเสนอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนหลายราย และมีการเสนอเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายก และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ก่อนประกาศรับรองผลกกต.จังหวัดบุรีรัมย์ได้มีมติเสนอ กกต.กลางว่าไม่ควรรับรองผลการเลือกตั้งที่นางกรุณา ชิดชอบ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกอบจ. ด้วยคะแนนเสียง 3 ต่อ 2 โดยในจำนวนเสียงข้างน้อย ที่เห็นควรไม่รับรองนางกรุณา คือ นายเกษม และพ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิต รองผบก.ภ.จังหวัดบุรีรัมย์ และเมื่อกกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้ว ขณะนี้ก็ยังมีสำนวนร้องคัดค้านการทุจริต ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการเพิกถอนสิทธิ์ นางกรุณา และสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.)ในทีมอีกหลายเขต
ดังนั้นทางเครือข่ายฯ จึงเห็นว่า กกต.ควรใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 236 (4) เพื่อให้นายเกษมปฏิบัติหน้าที่กกต.จนครบวาระ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อแสดงให้เห็นว่า คนที่มาช่วยงานกกต.แม้จะหมดการเลือกตั้งไปแล้ว ก็ยังได้รับการดูแลจาก กกต.
นายกฤช กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางสมัชชาประชาชนหลายแห่งทั่วประเทศก็เตรียมที่จะมายื่นหนังสือในลักษณะนี้ต่อ กกต.อีกเช่นกัน เพราะการประชุมสมัชชาประชาชนทั่วประเทศ ที่จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้ามาหารือในที่ประชุม และเห็นว่าเป็นการกระทำของนักการเมือง ถือว่าไม่เป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการย้ายนายเกษม ก็มีการสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ ที่ทำคดีเลือกตั้งเช่นกัน ไปอยู่จ.ศรีสะเกษ และวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการสั่งย้าย พ.ต.ต.สมหมาย กองใสสุก ผู้บังคับการจังหวัดบุรีรัมย์ ไปประจำ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบุคคลทั้งสอง เป็นผู้ที่พยายามควบคุมให้การเลือกตั้งใน จ.บุรีรัมย์ เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ดังนั้นทางสมัชชาจึงเตรียมขับเคลื่อนและจะไปยื่นหนังสือต่อรมว.มหาดไทยด้วย
ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสอบสวนสวน กล่าวว่า เรื่องการโยกย้ายข้าราชการที่เข้ามาช่วยงาน กกต.และถูกโยกย้ายภายหลังนั้น กกต.ต้องขอเวลาศึกษา และหารือกันภายในก่อน เพราะคนที่มาทำงานให้ กกต.ด้วยความสุจริต แต่ถูกย้าย กกต.ก็จะต้องช่วยกันดูแล แต่ตอนนี้ กกต.ก็ยังดูแลตัวเองไม่ไหว ซึ่งตนเห็นว่า จ.นครนายก ก็เป็นจังหวัดใหญ่ไม่แพ้บุรีรัมย์ ทั้งยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่นั้น กกต.ไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์ เพราะเรามีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมเท่านั้น ไม่ควรวิจารณ์การเมือง
อย่างไรก็ตาม สำหรับสำนวนคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณานั้น เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อให้ กกต.กลางลงมติก็จะไม่เกี่ยวกับกกต.จังหวัดแล้ว ซึ่งจะไม่มีผลกระทบทางคดี แต่หากเรื่องไปสู่กระบวนการของศาล เราก็อาจเชิญผู้ที่รับผิดชอบในสำนวนนั้นๆ มาเป็นพยานได้ ดังนั้นยืนยันว่าสำนวนต่างๆ ของกกต.จะไม่มีปัญหา
ด้านนายกฤช กล่าวว่า ที่ต้องมายื่นหนังสือเนื่องจากในการเลือกตั้งส.ส.ที่ผ่านมา นายเกษม ได้มีการสรุปสำนวนการทุจริตเลือกตั้ง โดยเสนอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนหลายราย และมีการเสนอเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายก และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ก่อนประกาศรับรองผลกกต.จังหวัดบุรีรัมย์ได้มีมติเสนอ กกต.กลางว่าไม่ควรรับรองผลการเลือกตั้งที่นางกรุณา ชิดชอบ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกอบจ. ด้วยคะแนนเสียง 3 ต่อ 2 โดยในจำนวนเสียงข้างน้อย ที่เห็นควรไม่รับรองนางกรุณา คือ นายเกษม และพ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิต รองผบก.ภ.จังหวัดบุรีรัมย์ และเมื่อกกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้ว ขณะนี้ก็ยังมีสำนวนร้องคัดค้านการทุจริต ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการเพิกถอนสิทธิ์ นางกรุณา และสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.)ในทีมอีกหลายเขต
ดังนั้นทางเครือข่ายฯ จึงเห็นว่า กกต.ควรใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 236 (4) เพื่อให้นายเกษมปฏิบัติหน้าที่กกต.จนครบวาระ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อแสดงให้เห็นว่า คนที่มาช่วยงานกกต.แม้จะหมดการเลือกตั้งไปแล้ว ก็ยังได้รับการดูแลจาก กกต.
นายกฤช กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางสมัชชาประชาชนหลายแห่งทั่วประเทศก็เตรียมที่จะมายื่นหนังสือในลักษณะนี้ต่อ กกต.อีกเช่นกัน เพราะการประชุมสมัชชาประชาชนทั่วประเทศ ที่จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้ามาหารือในที่ประชุม และเห็นว่าเป็นการกระทำของนักการเมือง ถือว่าไม่เป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการย้ายนายเกษม ก็มีการสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ ที่ทำคดีเลือกตั้งเช่นกัน ไปอยู่จ.ศรีสะเกษ และวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการสั่งย้าย พ.ต.ต.สมหมาย กองใสสุก ผู้บังคับการจังหวัดบุรีรัมย์ ไปประจำ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบุคคลทั้งสอง เป็นผู้ที่พยายามควบคุมให้การเลือกตั้งใน จ.บุรีรัมย์ เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ดังนั้นทางสมัชชาจึงเตรียมขับเคลื่อนและจะไปยื่นหนังสือต่อรมว.มหาดไทยด้วย
ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสอบสวนสวน กล่าวว่า เรื่องการโยกย้ายข้าราชการที่เข้ามาช่วยงาน กกต.และถูกโยกย้ายภายหลังนั้น กกต.ต้องขอเวลาศึกษา และหารือกันภายในก่อน เพราะคนที่มาทำงานให้ กกต.ด้วยความสุจริต แต่ถูกย้าย กกต.ก็จะต้องช่วยกันดูแล แต่ตอนนี้ กกต.ก็ยังดูแลตัวเองไม่ไหว ซึ่งตนเห็นว่า จ.นครนายก ก็เป็นจังหวัดใหญ่ไม่แพ้บุรีรัมย์ ทั้งยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่นั้น กกต.ไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์ เพราะเรามีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมเท่านั้น ไม่ควรวิจารณ์การเมือง
อย่างไรก็ตาม สำหรับสำนวนคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณานั้น เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อให้ กกต.กลางลงมติก็จะไม่เกี่ยวกับกกต.จังหวัดแล้ว ซึ่งจะไม่มีผลกระทบทางคดี แต่หากเรื่องไปสู่กระบวนการของศาล เราก็อาจเชิญผู้ที่รับผิดชอบในสำนวนนั้นๆ มาเป็นพยานได้ ดังนั้นยืนยันว่าสำนวนต่างๆ ของกกต.จะไม่มีปัญหา