ในช่วงปีสองปีมานี้ ถ้าใครติดตามข่าวเกี่ยวกับขโมยขโจรแล้ว จะพบข่าวเรื่องที่โจรกลุ่มหนึ่งเที่ยวได้ไปขโมยสายไฟฟ้า สายเคเบิ้ล หรือแม้แต่ต้องปีนไปขันนอตหรือสกรูที่ประกอบโครงเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฯ ฯลฯ เพื่อนำไปขายให้กับร้านขายของเก่า
การขโมยของโจรกลุ่มนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะประมาณค่าได้ ลำพังความเสียหายที่เกิดจากโครงเสาไฟฟ้าที่หักและล้มครืน (เพราะนอตและสกรูที่ยึดโครงถูกขโมยถอดไปขาย) ลงมาก็มีมูลค่านับล้านอยู่แล้ว จึงยิ่งมิต้องพูดถึงความเสียหายจากการไม่มีไฟฟ้าใช้อีกตั้งเท่าไหร่ โดยเฉพาะในภาคการผลิตขนาดต่างๆ
โจรกลุ่มนี้จึงถูกประณามจากสื่อมวลชนและชาวบ้านอย่างรุนแรง ว่าเป็นโจรกระจอกที่สิ้นปัญญาสิ้นคิด ด้วยไม่สนใจว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มันมากมายจนเทียบไม่ได้กับเงินเพียงไม่กี่พันบาทที่ตนได้จากการขายของที่ตนขโมยมา
และที่ทำให้ชาวบ้านแค้นใจอย่างมากก็คือ โจรบางคนทำไปเพียงเพื่อจะหาเงินมาเที่ยวเตร่กินเหล้าเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากความยากจนข้นแค้นแต่อย่างไร
แน่นอนว่า คนที่ถูกประณามอีกกลุ่มหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นพวกร้านค้าของเก่าที่รับซื้อของจากโจรพวกนี้ ทั้งที่น่าจะรู้ดีหรือเดาได้ว่า ของที่ขโมยมานั้นคงไม่ได้ไปควานหาจากกองขยะแน่ๆ แต่น่าจะขโมยของหลวงมาแบบง่ายๆ
โดยสรุปก็คือ พฤติกรรมของโจรกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมแบบมักง่าย เพราะการขโมยด้วยรูปแบบวิธีการที่ว่านี้ทั้งง่ายทั้งปลอดภัย พูดง่ายๆ คือ แทบจะไม่มีความเสี่ยงใด หรือถ้ามีก็น้อยมาก ไม่เหมือนกับปีนเข้าบ้านคนอื่น ซึ่งจะต้องงัดแงะให้เกิดเสียงที่อาจทำให้เจ้าของบ้านหรือใครมาพบเข้า
ง่ายไม่ง่ายก็ลองดูก็แล้วกันว่า ถ้าใครผ่านไปทางถนนรามอินทราตลอดแนว จะเห็นว่า ตรงบริเวณสะพานลอยข้ามถนนจะมีป้ายติดประกาศเอาไว้ว่า ขออภัยที่ไม่มีแสงไฟบนสะพาน เพราะขโมยได้ลักลอบตัดสายไฟบนนั้นไปหมดแล้ว
ที่ว่าง่ายก็เพราะขโมยไม่ต้องลงทุนปีนให้เสียแรง เพียงเดินขึ้นตามขั้นกระไดที่ทอดไปถึงบนสะพานเท่านั้น ก็สามารถตัดขโมยสายไฟหรือสายเคเบิ้ลได้แล้ว
ที่หัวเราะมิออกร่ำไห้มิได้ก็คือ ป้ายประกาศที่ว่านี้มีอยู่แทบทุกสะพานเลยก็ว่าได้ ซึ่งแสดงว่าเจ้าโจรกลุ่มนี้คงได้เดินสายขโมยให้เสร็จสรรพในคืนเดียว และคงมีมากกว่า 1 คน และดีไม่ดีอาจมีรถมาขนไปด้วยอีกต่างหาก ผมควรบอกด้วยว่า ป้ายที่ผมเห็นนี้เห็นเมื่อปีสองปีก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้การไฟฟ้าซ่อมเสร็จและปลดป้ายออกแล้วหรือยัง หรือมีความคืบหน้าในแง่คดีอย่างไร แต่ถ้าป้ายยังอยู่ (คือยังไม่ได้ซ่อมอะไร) ก็ต้องถามการไฟฟ้าฯ เองแล้วล่ะครับ (ไม่ฮา)
แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ความจริงมีอยู่ด้วยว่า ในบรรดาโจรเหล่านี้ยังมีที่ขโมยไปเพราะความยากจนจริงๆ ฉะนั้น สำหรับผมแล้ววิธีการขโมยอย่างง่ายๆ ที่ว่าจึงมีประเด็นให้คิดมากกว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นแฝงเอาไว้ด้วย
ประเด็นแรกสุด ผมเห็นว่ากฎของการขโมยที่โจรในอดีตเคยยึดถือได้เสื่อมถอยลงแล้ว กฎที่ว่านี้ไม่ใช่กฎที่ถูกประกาศอย่างตายตัวหรือเป็นทางการในหมู่โจร แต่เป็นกฎที่รู้กันดีในหมู่โจรว่า ถ้าจะขโมยแล้วพึงขโมยทรัพย์สินในลักษณะไหน และไม่พึงขโมยในลักษณะไหน
เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ผมยังทันได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับกฎที่ว่านี้ เรื่องมีอยู่ว่า มีโรงเรียนในจังหวัดภาคกลางแห่งหนึ่งที่ถูกจัดเป็นโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร (โรงเรียนไหนที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทนี้ ครูในโรงเรียนนั้นจะได้เบี้ยพิเศษเป็นการต่างหากที่ครูในโรงเรียนอื่นจะไม่ได้) ว่ากันว่า ในโรงเรียนนี้มีครูชายอยู่คนหนึ่งจะหารายได้พิเศษด้วยการเป็นอ้ายเสือในตอนปิดเทอมฤดูร้อน
กล่าวคือ พอปิดเทอม ครูคนนี้กับสมัครพรรคพวกของตนที่ไม่ได้เป็นครูจะเที่ยวได้เดินทางไปในจังหวัดใกล้เคียงเพื่อปล้นหรือขโมยทรัพย์สินมีค่าของชาวบ้าน โดยครูอ้ายเสือนี้มีกฎว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าของทรัพย์สิน และจะปล้นหรือขโมยเฉพาะแต่คนที่มีฐานะเท่านั้น พฤติกรรมของครูที่จำแลงตนเป็นอ้ายเสือซัมเมอร์นี้เป็นที่รู้กันในหมู่ครูด้วยกัน แต่คงด้วยเกรงกลัวอะไรอยู่ จึงไม่ได้ไปทำอะไรที่ขัดขวางครูคนนี้
จนมาวันหนึ่ง มีครูผู้หญิงในโรงเรียนเดียวกันคนหนึ่งได้มาบอกแก่ครูอ้ายเสือซัมเมอร์คนนี้ว่า ตนอยากจะฝากหลานชายคนหนึ่งให้ร่วมแก๊งของครูบ้าง เพราะเป็นหลานที่เกกมะเหรกเกเรไม่เอาถ่าน และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวอย่างมาก
พอได้ฟังคำร้องขอเชิงปรับทุกข์เช่นนั้น ครูอ้ายเสือซัมเมอร์จึงถามว่า หลานของเธอมีอะไรที่พอจะทำให้เชื่อได้ว่าจะเป็นขโมยได้บ้าง ครูสาวตอบว่า หลานคนนี้ชอบขโมยของในบ้านเอาไปขายเป็นประจำ พอฟังเช่นนั้น ครูอ้ายเสือซัมเมอร์จึงบอกปฏิเสธไปว่า ไม่รับเข้าแก๊ง
ครูอ้ายเสือซัมเมอร์ให้เหตุผลว่า ใครก็ตามที่ขโมยของในบ้านของตนนั้นถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะในเมื่อเป็นของในบ้านที่ตัวอาศัยอยู่ก็ย่อมขโมยได้ง่ายอยู่แล้ว และไม่นับว่าแน่จริง ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เจ้าหลานคนนี้ยังไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อน แล้วจะไปรู้คุณหมู่โจรด้วยกันได้อย่างไร ขืนรับไปบางทีอาจขโมยของพวกเดียวกันเองอีกต่างหาก
ครับ....ฟังดูแล้วเหมือนเป็นกฎในหมู่โจรเลยก็ว่าได้ และจริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น
เพราะตั้งแต่เด็กมาแล้วที่ผมมักจะได้ยินกฎทำนองนี้ของพวกอ้ายเสือหรือหมู่โจร ที่ไม่ว่าจะใจทมิฬหินชาติอย่างไร กฎบางข้อก็ยังรักษาเอาไว้ได้ อ้ายเสือหรือหมู่โจรเหล่านี้จึงถือเป็นนักเลงที่แท้จริง และกลายเป็นตำนานให้เล่าขานสืบต่อกันมา แต่เดี๋ยวนี้อ้ายเสือหรือหมู่โจรแบบนี้หาทำยาได้ยาก ที่เห็นก็มีแต่ลอบทำร้ายกันเองโดยไม่สู้กันซึ่งๆ หน้าบ้าง ทำร้ายคนที่เป็นเพื่อนของปฏิปักษ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่บ้าง เรียกได้ว่า จะทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร กฎที่ยึดถือกันมาแต่อดีตจึงเสื่อมลงไป และยิ่งเสื่อมมากเท่าไหร่ ชาวบ้านชาวช่องก็ยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้น สำหรับผมแล้วพฤติกรรมของกลุ่มโจรในปัจจุบันที่เล่นอะไรกันง่ายๆ เหมือนคนสิ้นคิดนั้น ในด้านหนึ่งจึงไม่ต่างกับชนชั้นนำหรือคนรุ่นใหม่เป็นกัน คือชอบเล่นอะไรง่ายๆ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเหมือนๆ กัน และหากใครประสบความสำเร็จผ่านแนวทางที่ว่าแล้ว แทนที่จะถูกประณามก็กลับได้รับคำชื่นชมว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนเฉียบแหลม เป็นคนคิดนอกกรอบ เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ฯลฯ
ถึงขนาดร้องอุทานว่า “โอ้โห...ทำได้ไงเนี่ย เจ๋งเจงๆ...”
ด้วยเหตุนี้ ถ้าโจรสิ้นคิดเหล่านี้จะขโมยไปเพราะต้องการเงินมากินเหล้าหรือเที่ยวซ่อง มันก็ไม่ต่างกับที่ชนชั้นนำและคนรุ่นใหม่ที่ได้เงินมาง่ายๆ ก็ทำกันเช่นนี้มิใช่หรือ และยิ่งถ้าหากเขาขโมยเพราะความยากจนด้วยแล้ว เหตุผลของเขาก็ยิ่งน่าฟังมากกว่าพวกชนชั้นนำหรือคนรุ่นใหม่ที่ “ขโมย” ด้วยการโกงทั้งที่ตัวเองก็รวยอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เพราะเขาขโมยด้วยแรงกดดันจากความยากจน ไม่ใช่ด้วยความโลภโมโทสัน
และถึงแม้เงินที่โจรสิ้นคิดเหล่านี้ได้มาจะเทียบไม่ได้กับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่เงินน้อยนิดเพียงนั้นสำหรับเขาก็มีค่าไม่ต่างกับเงินแสนเงินล้าน
เขียนมาอย่างนี้เหมือนกับผมจะปกป้องโจรสิ้นคิดเหล่านี้ แต่ไม่ใช่หรอกครับ ผมเพียงแต่ต้องการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของโจรเหล่านี้เท่านั้น เพื่อที่เราจะได้เห็นมุมที่เรายังไม่เห็น และที่ผมเห็น (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) ก็คือ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมของสังคมไทยจากหลายปีที่ผ่านมานี้ มันช่างกว้างไกลเสียนี้กระไร
กว้างไกลไม่เว้นแม้แต่หมู่โจรเองก็ยังได้รับผลสะเทือนจนสิ้นคิดไปด้วย.
การขโมยของโจรกลุ่มนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะประมาณค่าได้ ลำพังความเสียหายที่เกิดจากโครงเสาไฟฟ้าที่หักและล้มครืน (เพราะนอตและสกรูที่ยึดโครงถูกขโมยถอดไปขาย) ลงมาก็มีมูลค่านับล้านอยู่แล้ว จึงยิ่งมิต้องพูดถึงความเสียหายจากการไม่มีไฟฟ้าใช้อีกตั้งเท่าไหร่ โดยเฉพาะในภาคการผลิตขนาดต่างๆ
โจรกลุ่มนี้จึงถูกประณามจากสื่อมวลชนและชาวบ้านอย่างรุนแรง ว่าเป็นโจรกระจอกที่สิ้นปัญญาสิ้นคิด ด้วยไม่สนใจว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มันมากมายจนเทียบไม่ได้กับเงินเพียงไม่กี่พันบาทที่ตนได้จากการขายของที่ตนขโมยมา
และที่ทำให้ชาวบ้านแค้นใจอย่างมากก็คือ โจรบางคนทำไปเพียงเพื่อจะหาเงินมาเที่ยวเตร่กินเหล้าเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากความยากจนข้นแค้นแต่อย่างไร
แน่นอนว่า คนที่ถูกประณามอีกกลุ่มหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นพวกร้านค้าของเก่าที่รับซื้อของจากโจรพวกนี้ ทั้งที่น่าจะรู้ดีหรือเดาได้ว่า ของที่ขโมยมานั้นคงไม่ได้ไปควานหาจากกองขยะแน่ๆ แต่น่าจะขโมยของหลวงมาแบบง่ายๆ
โดยสรุปก็คือ พฤติกรรมของโจรกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมแบบมักง่าย เพราะการขโมยด้วยรูปแบบวิธีการที่ว่านี้ทั้งง่ายทั้งปลอดภัย พูดง่ายๆ คือ แทบจะไม่มีความเสี่ยงใด หรือถ้ามีก็น้อยมาก ไม่เหมือนกับปีนเข้าบ้านคนอื่น ซึ่งจะต้องงัดแงะให้เกิดเสียงที่อาจทำให้เจ้าของบ้านหรือใครมาพบเข้า
ง่ายไม่ง่ายก็ลองดูก็แล้วกันว่า ถ้าใครผ่านไปทางถนนรามอินทราตลอดแนว จะเห็นว่า ตรงบริเวณสะพานลอยข้ามถนนจะมีป้ายติดประกาศเอาไว้ว่า ขออภัยที่ไม่มีแสงไฟบนสะพาน เพราะขโมยได้ลักลอบตัดสายไฟบนนั้นไปหมดแล้ว
ที่ว่าง่ายก็เพราะขโมยไม่ต้องลงทุนปีนให้เสียแรง เพียงเดินขึ้นตามขั้นกระไดที่ทอดไปถึงบนสะพานเท่านั้น ก็สามารถตัดขโมยสายไฟหรือสายเคเบิ้ลได้แล้ว
ที่หัวเราะมิออกร่ำไห้มิได้ก็คือ ป้ายประกาศที่ว่านี้มีอยู่แทบทุกสะพานเลยก็ว่าได้ ซึ่งแสดงว่าเจ้าโจรกลุ่มนี้คงได้เดินสายขโมยให้เสร็จสรรพในคืนเดียว และคงมีมากกว่า 1 คน และดีไม่ดีอาจมีรถมาขนไปด้วยอีกต่างหาก ผมควรบอกด้วยว่า ป้ายที่ผมเห็นนี้เห็นเมื่อปีสองปีก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้การไฟฟ้าซ่อมเสร็จและปลดป้ายออกแล้วหรือยัง หรือมีความคืบหน้าในแง่คดีอย่างไร แต่ถ้าป้ายยังอยู่ (คือยังไม่ได้ซ่อมอะไร) ก็ต้องถามการไฟฟ้าฯ เองแล้วล่ะครับ (ไม่ฮา)
แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ความจริงมีอยู่ด้วยว่า ในบรรดาโจรเหล่านี้ยังมีที่ขโมยไปเพราะความยากจนจริงๆ ฉะนั้น สำหรับผมแล้ววิธีการขโมยอย่างง่ายๆ ที่ว่าจึงมีประเด็นให้คิดมากกว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นแฝงเอาไว้ด้วย
ประเด็นแรกสุด ผมเห็นว่ากฎของการขโมยที่โจรในอดีตเคยยึดถือได้เสื่อมถอยลงแล้ว กฎที่ว่านี้ไม่ใช่กฎที่ถูกประกาศอย่างตายตัวหรือเป็นทางการในหมู่โจร แต่เป็นกฎที่รู้กันดีในหมู่โจรว่า ถ้าจะขโมยแล้วพึงขโมยทรัพย์สินในลักษณะไหน และไม่พึงขโมยในลักษณะไหน
เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ผมยังทันได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับกฎที่ว่านี้ เรื่องมีอยู่ว่า มีโรงเรียนในจังหวัดภาคกลางแห่งหนึ่งที่ถูกจัดเป็นโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร (โรงเรียนไหนที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทนี้ ครูในโรงเรียนนั้นจะได้เบี้ยพิเศษเป็นการต่างหากที่ครูในโรงเรียนอื่นจะไม่ได้) ว่ากันว่า ในโรงเรียนนี้มีครูชายอยู่คนหนึ่งจะหารายได้พิเศษด้วยการเป็นอ้ายเสือในตอนปิดเทอมฤดูร้อน
กล่าวคือ พอปิดเทอม ครูคนนี้กับสมัครพรรคพวกของตนที่ไม่ได้เป็นครูจะเที่ยวได้เดินทางไปในจังหวัดใกล้เคียงเพื่อปล้นหรือขโมยทรัพย์สินมีค่าของชาวบ้าน โดยครูอ้ายเสือนี้มีกฎว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าของทรัพย์สิน และจะปล้นหรือขโมยเฉพาะแต่คนที่มีฐานะเท่านั้น พฤติกรรมของครูที่จำแลงตนเป็นอ้ายเสือซัมเมอร์นี้เป็นที่รู้กันในหมู่ครูด้วยกัน แต่คงด้วยเกรงกลัวอะไรอยู่ จึงไม่ได้ไปทำอะไรที่ขัดขวางครูคนนี้
จนมาวันหนึ่ง มีครูผู้หญิงในโรงเรียนเดียวกันคนหนึ่งได้มาบอกแก่ครูอ้ายเสือซัมเมอร์คนนี้ว่า ตนอยากจะฝากหลานชายคนหนึ่งให้ร่วมแก๊งของครูบ้าง เพราะเป็นหลานที่เกกมะเหรกเกเรไม่เอาถ่าน และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวอย่างมาก
พอได้ฟังคำร้องขอเชิงปรับทุกข์เช่นนั้น ครูอ้ายเสือซัมเมอร์จึงถามว่า หลานของเธอมีอะไรที่พอจะทำให้เชื่อได้ว่าจะเป็นขโมยได้บ้าง ครูสาวตอบว่า หลานคนนี้ชอบขโมยของในบ้านเอาไปขายเป็นประจำ พอฟังเช่นนั้น ครูอ้ายเสือซัมเมอร์จึงบอกปฏิเสธไปว่า ไม่รับเข้าแก๊ง
ครูอ้ายเสือซัมเมอร์ให้เหตุผลว่า ใครก็ตามที่ขโมยของในบ้านของตนนั้นถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะในเมื่อเป็นของในบ้านที่ตัวอาศัยอยู่ก็ย่อมขโมยได้ง่ายอยู่แล้ว และไม่นับว่าแน่จริง ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เจ้าหลานคนนี้ยังไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อน แล้วจะไปรู้คุณหมู่โจรด้วยกันได้อย่างไร ขืนรับไปบางทีอาจขโมยของพวกเดียวกันเองอีกต่างหาก
ครับ....ฟังดูแล้วเหมือนเป็นกฎในหมู่โจรเลยก็ว่าได้ และจริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น
เพราะตั้งแต่เด็กมาแล้วที่ผมมักจะได้ยินกฎทำนองนี้ของพวกอ้ายเสือหรือหมู่โจร ที่ไม่ว่าจะใจทมิฬหินชาติอย่างไร กฎบางข้อก็ยังรักษาเอาไว้ได้ อ้ายเสือหรือหมู่โจรเหล่านี้จึงถือเป็นนักเลงที่แท้จริง และกลายเป็นตำนานให้เล่าขานสืบต่อกันมา แต่เดี๋ยวนี้อ้ายเสือหรือหมู่โจรแบบนี้หาทำยาได้ยาก ที่เห็นก็มีแต่ลอบทำร้ายกันเองโดยไม่สู้กันซึ่งๆ หน้าบ้าง ทำร้ายคนที่เป็นเพื่อนของปฏิปักษ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่บ้าง เรียกได้ว่า จะทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร กฎที่ยึดถือกันมาแต่อดีตจึงเสื่อมลงไป และยิ่งเสื่อมมากเท่าไหร่ ชาวบ้านชาวช่องก็ยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้น สำหรับผมแล้วพฤติกรรมของกลุ่มโจรในปัจจุบันที่เล่นอะไรกันง่ายๆ เหมือนคนสิ้นคิดนั้น ในด้านหนึ่งจึงไม่ต่างกับชนชั้นนำหรือคนรุ่นใหม่เป็นกัน คือชอบเล่นอะไรง่ายๆ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเหมือนๆ กัน และหากใครประสบความสำเร็จผ่านแนวทางที่ว่าแล้ว แทนที่จะถูกประณามก็กลับได้รับคำชื่นชมว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนเฉียบแหลม เป็นคนคิดนอกกรอบ เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ฯลฯ
ถึงขนาดร้องอุทานว่า “โอ้โห...ทำได้ไงเนี่ย เจ๋งเจงๆ...”
ด้วยเหตุนี้ ถ้าโจรสิ้นคิดเหล่านี้จะขโมยไปเพราะต้องการเงินมากินเหล้าหรือเที่ยวซ่อง มันก็ไม่ต่างกับที่ชนชั้นนำและคนรุ่นใหม่ที่ได้เงินมาง่ายๆ ก็ทำกันเช่นนี้มิใช่หรือ และยิ่งถ้าหากเขาขโมยเพราะความยากจนด้วยแล้ว เหตุผลของเขาก็ยิ่งน่าฟังมากกว่าพวกชนชั้นนำหรือคนรุ่นใหม่ที่ “ขโมย” ด้วยการโกงทั้งที่ตัวเองก็รวยอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เพราะเขาขโมยด้วยแรงกดดันจากความยากจน ไม่ใช่ด้วยความโลภโมโทสัน
และถึงแม้เงินที่โจรสิ้นคิดเหล่านี้ได้มาจะเทียบไม่ได้กับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่เงินน้อยนิดเพียงนั้นสำหรับเขาก็มีค่าไม่ต่างกับเงินแสนเงินล้าน
เขียนมาอย่างนี้เหมือนกับผมจะปกป้องโจรสิ้นคิดเหล่านี้ แต่ไม่ใช่หรอกครับ ผมเพียงแต่ต้องการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของโจรเหล่านี้เท่านั้น เพื่อที่เราจะได้เห็นมุมที่เรายังไม่เห็น และที่ผมเห็น (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) ก็คือ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมของสังคมไทยจากหลายปีที่ผ่านมานี้ มันช่างกว้างไกลเสียนี้กระไร
กว้างไกลไม่เว้นแม้แต่หมู่โจรเองก็ยังได้รับผลสะเทือนจนสิ้นคิดไปด้วย.