ผู้จัดการรายวัน – สินค้าภาคเกษตรอ่วม มรสุมรุมเร้าต้นทุนพุ่ง ขอปรับราคา ผู้บริโภคหันซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์แทน ล่าสุดตลาดน้ำมันพืชปาล์ม-ถั่วเหลืองป่วน มั่นใจปีนี้กลุ่มสินค้าเฮาส์แบรนด์โตพรวด ชี้พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มซื้อเฮาส์แบรนด์ข้าวและน้ำตาลแล้ว หวังประหยัดเงินในกระเป๋าในยุคข้าวยากหมากแพง
นายสาธิต จิตตนิคม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพอินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันพืชทิพ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ภายหลังจากที่ราคาน้ำมันพืชปรับเพิ่มขึ้น โดยยกตัวอย่าง การปรับขึ้นราคาของกลุ่มน้ำมันปาล์มปรับเพิ่ม 38 บาท เป็น 43.50 บาท และปรับรอบ 2 เพิ่มเป็น 47.50 บาท และยังไม่รวมถึงน้ำมันอื่นๆ ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยหันมาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น ซึ่งมีหลักการซื้อสินค้าพิจารณาจากดูว่าซับพลายเออร์รายใดเป็นผู้ผลิตและน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
ผลพวงจากราคาน้ำมันพืชที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้การตัดสินใจซื้อมาจากปัจจัยราคาเป็นหลัก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น โดยพบว่า ผู้บริโภคน้ำมันปาล์มและถั่วเหลืองหันมาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น จากเดิมการตัดสินใจซื้อจะเลือกแบรนด์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงขนาดนำน้ำมันเก่ามาใช้ใหม่ เนื่องจากกระแสสุขภาพที่มาแรง ทำให้ผู้บริโภคห่วงใยในเรื่องของสุขภาพ
นายสาธิต กล่าวว่า นอกจากสินค้าเฮาส์แบรนด์จะเป็นทางเลือกในช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้เท่าเดิม ขณะนี้ยังพบว่าผู้บริโภคหันไปซื้อน้ำมันพืชแบรนด์ท้องถิ่นใช้ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีโรงงานเล็กๆ เป็นจำนวนมากผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายในราคาที่ไม่แพงมาก อีกทั้งยังมีคณะกรรมการและยารับรอง โดยแบรนด์ท้องถิ่นเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น ผู้บริโภคมีรายได้ดีขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคจะกลับการใช้น้ำมันพืชที่มีแบรนด์ตามปกติเช่นเดิม
สำหรับตลาดน้ำมันพืชบรรจุขวดมูลค่า 7,500 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 7-8% แต่การเติบโตจะมาจากกลุ่มน้ำมันพืชเฮาส์แบรนด์เป็นหลัก ส่วนสินค้าจากซับพลายเออร์อัตราการเติบโตจะน้อย โดยน้ำมันพืชถั่วเหลืองมีมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท และน้ำมันปาล์มกว่า 4,800 ล้านบาท และน้ำมันรำข้าวมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท
รายงานข่าวพบว่า นอกจากน้ำมันพืชแล้ว ขณะนี้ผู้บริโภคก็หันไปซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์ในกลุ่มข้าวบรรจุถุงเช่นกัน หรือบางรายให้ไปซื้อข้าวผสมระหว่างข้าวหอมมะลิ ซึ่งยังไม่รวมไปถึงกลุ่มน้ำตาล ที่มีแนวโน้มว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะหันไปซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์เช่นกัน เนื่องจากเป็นสินค้ากลุ่มคอมมอดลิตี้ ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันมาก และสามารถใช้ทดแทนกันได้
**ชี้โอกาสสินค้าเฮาส์แบรนด์ขาขึ้น**
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย เทสโก้โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากครม.ให้ขึ้นราคาน้ำตาล 5 บาท ต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 23.50 บาท จากราคาขายปลีกที่เพิ่มขึ้นมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะหันมาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคที่มีปัจจัยการตัดสินใจซื้อจากราคาเป็นหลัก จากที่ผ่านมาสินค้าเฮาส์แบรนด์ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังยึดติดกับแบรนด์และประการสำคัญ คือ ด้านคุณภาพ
นายสาธิต จิตตนิคม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพอินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันพืชทิพ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ภายหลังจากที่ราคาน้ำมันพืชปรับเพิ่มขึ้น โดยยกตัวอย่าง การปรับขึ้นราคาของกลุ่มน้ำมันปาล์มปรับเพิ่ม 38 บาท เป็น 43.50 บาท และปรับรอบ 2 เพิ่มเป็น 47.50 บาท และยังไม่รวมถึงน้ำมันอื่นๆ ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยหันมาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น ซึ่งมีหลักการซื้อสินค้าพิจารณาจากดูว่าซับพลายเออร์รายใดเป็นผู้ผลิตและน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
ผลพวงจากราคาน้ำมันพืชที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้การตัดสินใจซื้อมาจากปัจจัยราคาเป็นหลัก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น โดยพบว่า ผู้บริโภคน้ำมันปาล์มและถั่วเหลืองหันมาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น จากเดิมการตัดสินใจซื้อจะเลือกแบรนด์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงขนาดนำน้ำมันเก่ามาใช้ใหม่ เนื่องจากกระแสสุขภาพที่มาแรง ทำให้ผู้บริโภคห่วงใยในเรื่องของสุขภาพ
นายสาธิต กล่าวว่า นอกจากสินค้าเฮาส์แบรนด์จะเป็นทางเลือกในช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้เท่าเดิม ขณะนี้ยังพบว่าผู้บริโภคหันไปซื้อน้ำมันพืชแบรนด์ท้องถิ่นใช้ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีโรงงานเล็กๆ เป็นจำนวนมากผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายในราคาที่ไม่แพงมาก อีกทั้งยังมีคณะกรรมการและยารับรอง โดยแบรนด์ท้องถิ่นเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น ผู้บริโภคมีรายได้ดีขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคจะกลับการใช้น้ำมันพืชที่มีแบรนด์ตามปกติเช่นเดิม
สำหรับตลาดน้ำมันพืชบรรจุขวดมูลค่า 7,500 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 7-8% แต่การเติบโตจะมาจากกลุ่มน้ำมันพืชเฮาส์แบรนด์เป็นหลัก ส่วนสินค้าจากซับพลายเออร์อัตราการเติบโตจะน้อย โดยน้ำมันพืชถั่วเหลืองมีมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท และน้ำมันปาล์มกว่า 4,800 ล้านบาท และน้ำมันรำข้าวมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท
รายงานข่าวพบว่า นอกจากน้ำมันพืชแล้ว ขณะนี้ผู้บริโภคก็หันไปซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์ในกลุ่มข้าวบรรจุถุงเช่นกัน หรือบางรายให้ไปซื้อข้าวผสมระหว่างข้าวหอมมะลิ ซึ่งยังไม่รวมไปถึงกลุ่มน้ำตาล ที่มีแนวโน้มว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะหันไปซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์เช่นกัน เนื่องจากเป็นสินค้ากลุ่มคอมมอดลิตี้ ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันมาก และสามารถใช้ทดแทนกันได้
**ชี้โอกาสสินค้าเฮาส์แบรนด์ขาขึ้น**
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย เทสโก้โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากครม.ให้ขึ้นราคาน้ำตาล 5 บาท ต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 23.50 บาท จากราคาขายปลีกที่เพิ่มขึ้นมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะหันมาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคที่มีปัจจัยการตัดสินใจซื้อจากราคาเป็นหลัก จากที่ผ่านมาสินค้าเฮาส์แบรนด์ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังยึดติดกับแบรนด์และประการสำคัญ คือ ด้านคุณภาพ