"มิ่งขวัญ"ยันงัดข้าวสต๊อกรัฐทำข้าวถุงธงฟ้า ไม่ใช่ต้นเหตุฉุดราคาข้าวเกษตรกรร่วง เพราะเอาข้าวไปทำข้าวถุงเท่าไร ก็ซื้อกลับเท่านั้น แถมรับประกันราคาไม่ต่ำกว่า 1.2-1.4 หมื่นบาทต่อตัน อัดพวกปล่อยข่าวหวังทุบราคาข้าวก่อนนาปรังออกสู่ตลาด พร้อมเตือนชาวสวนลำไย อย่าเพิ่งขายผลผลิต จะพาต่างประเทศมาซื้อ
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การขายข้าวถุงธงฟ้ามหาชน ของกระทรวงพาณิชย์ที่มีหลายฝ่ายออกมาระบุว่า จะกระทบต่อราคาข้าวเปลือกของชาวนานั้น ขอยืนยันว่า นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ คือ ทยอยขาย และทยอยซื้อ หากขายข้าวถุงออกไปเท่าไร ก็จะซื้อข้าวกลับเข้าในสต๊อกเท่านั้น โดยราคาที่จะซื้อข้าวจากชาวนา จะอยู่ที่ตันละ 12,000-14,000 บาท เพื่อไม่ให้ชาวนาถูกกดราคาขายข้าวอย่างไม่เป็นธรรม
"การทำข้าวถุงธงฟ้ามหาชน เป็นการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถซื้อข้าวกินในประเทศได้ในราคาถูก เพราะนอกจากไม่ขึ้นราคาข้าวแล้ว จะลดราคาลงไปอีกประมาณ 20% โดยเงินที่ได้จากการขายข้าวถุง ก็จะนำไปซื้อข้าวเปลือกจากชาวนากลับมา เราเอาข้าวจากสต๊อก 2.1 ล้านตัน ออกมาขายเท่าไร ก็จะซื้อกลับคืนไปเท่านั้น จึงขอย้ำกับชาวนาทั่วประเทศว่า อย่ากังวลว่าราคาจะตก" นายมิ่งขวัญกล่าว
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การขายข้าวถุงธงฟ้ามหาชน เป็นการช่วยเหลือให้คนไทยบริโภคข้าวในราคาที่ไม่แพง ในยุคที่ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะข้าวที่นำมาทำข้าวถุงเป็นข้าวที่รัฐซื้อมาในราคาต้นทุนต่ำมาก เมื่อเทียบกับราคาในขณะนี้ จึงขายได้ถูกกว่าท้องตลาด แต่คงไม่ใช่การดัมป์ราคา เพราะจะกระทบต่อผู้ผลิตข้าวถุงรายอื่นๆ
ส่วนที่มีผู้ออกมาโจมตีว่า กระทรวงพาณิชย์นำข้าวในสต๊อกออกมาขายและทำให้ราคาข้าวในตลาดลดลงนั้น เป็นการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลที่จะทุบราคาข้าว ก่อนที่ข้าวนาปรังจะออกมา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันว่า ราคาข้าวจะไม่ตกต่ำ เพราะหลักการ คือ นำข้าวในสต๊อกออกมาทำข้าวถุงเท่าใด ก็จะซื้อกลับคืนเท่านั้น และซื้อในราคาตลาด 12,000-14,000 บาท ซึ่งเป็นการประกันราคาว่าข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ จะไม่ต่ำกว่านี้
ส่วนความคืบหน้าการจัดทำข้าวถุงธงฟ้ามหาชน คาดว่า วานนี้ (2 พ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารข้าวสารบรรจุถุง โดยมีนายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ส่วนคณะอนุกรรมการ 11 คน ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) กรมการค้าภายใน และหน่วยงานอื่นโดยจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 3 พ.ค.นี้ เวลา 14.00 น. ที่โกดังกลาง อคส. ราษฎร์บูรณะ จ.สมุทรปราการ
ทั้งนี้ หัวข้อหลักจะพิจารณาสัดส่วนการจัดทำข้าวถุงล๊อตแรก จากสต๊อกรัฐ 2.1 ล้านตัน รวมถึงพิจารณากำหนดกรอบการจัดสรรข้าวถุงที่จะกระจายไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง และกำหนดราคาข้าวถุงขนาด 5 กก. ว่าควรจะเป็นอัตราใด โดยราคาที่ออกมาจะถูกกว่าท้องตลาด เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนซื้อข้าวถุงราคาถูก
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายมิ่งขวัญ ได้ให้สัมภาษณ์จากประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้เข้าร่วมประชุมรมต.เศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ว่าขอส่งข่าวไปยังเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และชาวสวนลำไย ว่าอย่าเพิ่งขายผลผลิตทั้งข้าว และลำไย ให้กับพ่อค้าที่เข้าไปกว้านซื้อในช่วงนี้ และให้ราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดโดยทั่วไป เพราะกระทรวงพาณิชย์ จะเข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกเป็นทวีคูณเพื่อนำมาเก็บไว้เป็นสต็อกของรัฐบาล
นอกจากนี้ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์ จะหารือร่วมกับ ส.ส. เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อปท. อบต. อบจ.ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ที่เป็นแหล่งผลิตลำไย เพื่อเตรียมการนำผู้สั่งซื้อลำไยรายใหญ่จากฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ยุโรป เข้าไปซื้อผลผลิตลำไยจากเกษตรกรโดยตรงถึงแหล่งผลิต จึงขอย้ำว่าอย่าเพิ่งขายลำไยให้แก่ใคร
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การขายข้าวถุงธงฟ้ามหาชน ของกระทรวงพาณิชย์ที่มีหลายฝ่ายออกมาระบุว่า จะกระทบต่อราคาข้าวเปลือกของชาวนานั้น ขอยืนยันว่า นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ คือ ทยอยขาย และทยอยซื้อ หากขายข้าวถุงออกไปเท่าไร ก็จะซื้อข้าวกลับเข้าในสต๊อกเท่านั้น โดยราคาที่จะซื้อข้าวจากชาวนา จะอยู่ที่ตันละ 12,000-14,000 บาท เพื่อไม่ให้ชาวนาถูกกดราคาขายข้าวอย่างไม่เป็นธรรม
"การทำข้าวถุงธงฟ้ามหาชน เป็นการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถซื้อข้าวกินในประเทศได้ในราคาถูก เพราะนอกจากไม่ขึ้นราคาข้าวแล้ว จะลดราคาลงไปอีกประมาณ 20% โดยเงินที่ได้จากการขายข้าวถุง ก็จะนำไปซื้อข้าวเปลือกจากชาวนากลับมา เราเอาข้าวจากสต๊อก 2.1 ล้านตัน ออกมาขายเท่าไร ก็จะซื้อกลับคืนไปเท่านั้น จึงขอย้ำกับชาวนาทั่วประเทศว่า อย่ากังวลว่าราคาจะตก" นายมิ่งขวัญกล่าว
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การขายข้าวถุงธงฟ้ามหาชน เป็นการช่วยเหลือให้คนไทยบริโภคข้าวในราคาที่ไม่แพง ในยุคที่ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะข้าวที่นำมาทำข้าวถุงเป็นข้าวที่รัฐซื้อมาในราคาต้นทุนต่ำมาก เมื่อเทียบกับราคาในขณะนี้ จึงขายได้ถูกกว่าท้องตลาด แต่คงไม่ใช่การดัมป์ราคา เพราะจะกระทบต่อผู้ผลิตข้าวถุงรายอื่นๆ
ส่วนที่มีผู้ออกมาโจมตีว่า กระทรวงพาณิชย์นำข้าวในสต๊อกออกมาขายและทำให้ราคาข้าวในตลาดลดลงนั้น เป็นการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลที่จะทุบราคาข้าว ก่อนที่ข้าวนาปรังจะออกมา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันว่า ราคาข้าวจะไม่ตกต่ำ เพราะหลักการ คือ นำข้าวในสต๊อกออกมาทำข้าวถุงเท่าใด ก็จะซื้อกลับคืนเท่านั้น และซื้อในราคาตลาด 12,000-14,000 บาท ซึ่งเป็นการประกันราคาว่าข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ จะไม่ต่ำกว่านี้
ส่วนความคืบหน้าการจัดทำข้าวถุงธงฟ้ามหาชน คาดว่า วานนี้ (2 พ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารข้าวสารบรรจุถุง โดยมีนายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ส่วนคณะอนุกรรมการ 11 คน ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) กรมการค้าภายใน และหน่วยงานอื่นโดยจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 3 พ.ค.นี้ เวลา 14.00 น. ที่โกดังกลาง อคส. ราษฎร์บูรณะ จ.สมุทรปราการ
ทั้งนี้ หัวข้อหลักจะพิจารณาสัดส่วนการจัดทำข้าวถุงล๊อตแรก จากสต๊อกรัฐ 2.1 ล้านตัน รวมถึงพิจารณากำหนดกรอบการจัดสรรข้าวถุงที่จะกระจายไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง และกำหนดราคาข้าวถุงขนาด 5 กก. ว่าควรจะเป็นอัตราใด โดยราคาที่ออกมาจะถูกกว่าท้องตลาด เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนซื้อข้าวถุงราคาถูก
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายมิ่งขวัญ ได้ให้สัมภาษณ์จากประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้เข้าร่วมประชุมรมต.เศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ว่าขอส่งข่าวไปยังเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และชาวสวนลำไย ว่าอย่าเพิ่งขายผลผลิตทั้งข้าว และลำไย ให้กับพ่อค้าที่เข้าไปกว้านซื้อในช่วงนี้ และให้ราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดโดยทั่วไป เพราะกระทรวงพาณิชย์ จะเข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกเป็นทวีคูณเพื่อนำมาเก็บไว้เป็นสต็อกของรัฐบาล
นอกจากนี้ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์ จะหารือร่วมกับ ส.ส. เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อปท. อบต. อบจ.ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ที่เป็นแหล่งผลิตลำไย เพื่อเตรียมการนำผู้สั่งซื้อลำไยรายใหญ่จากฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ยุโรป เข้าไปซื้อผลผลิตลำไยจากเกษตรกรโดยตรงถึงแหล่งผลิต จึงขอย้ำว่าอย่าเพิ่งขายลำไยให้แก่ใคร