xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งล่อแหลม ยิ่งต้องเดินหน้าเต็มตัว !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากพิจารณาจากสถานการณ์ในขณะนี้ยังถือว่าไม่มีเรื่องใดที่ร้อนแรงและอาจขยายวงนำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดหมายได้ทุกเมื่อ เพราะถือว่าเวลานี้ถ้านับนิ้วดูตารางเวลาประกอบแล้วถือว่ามันงวดเข้ามาทุกที หากไม่รีบลงมือดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้ทุกอย่างอาจสายเกินแก้
การประกาศลาออก ลุกจากเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาของ “ยุทธ ตู้เย็น” แม้จะแอบอ้างสปิริต และปกป้องศักดิ์ศรีเกียรติภูมิในตำแหน่งแห่งที่ หากต้องขึ้นศาลในคดีทุจริตการเลือกตั้งฟังดูน่าชื่นชม ชวนเคลิบเคลิ้ม แต่คนอีกไม่น้อยไม่ยอมเชื่อน้ำลาย
รู้ทันว่านี่คือเกมเปลี่ยนตัวบุคคลที่จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานรัฐสภาคนใหม่ เพื่อคุมเกมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชาชนกำลังเริ่มเดินหน้าเต็มกำลังมากกว่า
ที่ผ่านมาหากใครติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างรู้ทันย่อมมองออกทันทีว่าการหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของยุทธ หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งรับฟ้องในคดีทุจริตเลือกตั้ง ส่งผลให้พรรคพลังประชาชนต้องเสียโอกาส อย่างใหญ่หลวง
ที่เห็นชัดๆมาหมาดๆก็คือกรณีการสรรหาตุลาการรัฐธรรมนูญในสัดส่วนของสายนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์จำนวน 4 คน ซึ่งถ้าพิจารณาส่องกระจกดูหน้าตาแล้วรับรองว่า “นายใหญ่” ไม่ปลื้มแน่นอน
เพราะอีกไม่นานตุลาการรัฐธรรมนูญชุดใหม่อาจต้องมานั่งพิจารณาคดียุบพรรคที่เกี่ยวพันโยงใยมาถึง “พลังแม้ว” ในวันข้างหน้าก็เป็นไปได้สูง
แม้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะให้โควตาเพียงแค่ประธานสภาผู้แทนราษฎร กับผู้นำฝ่ายค้าน เท่านั้นที่มาจากฝ่ายการเมือง โดยตัดทิ้งโควตาในส่วนของพรรคการเมืองเพื่อป้องกันการฮั้ว บล็อกโหวตไปแล้วก็ตาม
แต่ที่ผ่านมาในเมื่อการสรรหาตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นช่วงที่ ยุทธ ต้องหยุดพักการทำหน้าที่พอดี ทำให้เหลือผู้นำฝ่ายค้านและกรรมการสรรหาที่มาจากตัวแทนองค์อิสระเข้ามาทำหน้าที่คัดเลือกกันไปเพียวๆ
ส่วนพรรคพลังประชาชนได้แต่มองตาปริบๆ แม้ว่าถ้าพิจารณาตามเหตุผลและตัวเลขทางคณิตศาสตร์แล้ว เพียงแค่ประธานสภาฯเพียงแค่ 1 เสียงคงไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือชี้นำมติอะไรได้มากนักก็ตาม แต่อย่างน้อยหากเข้าไปอยู่ในกลางวงแล้วก็ย่อมมีปากมีเสียงไม่มากก็น้อย
เอาเถอะในเมื่อมันผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป จะร้องแรกแหกกระเฌออย่างไร ก็เสียเวลาเปล่า
แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องเข้าสู่วาระสำคัญยิ่งยวดอย่างเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เดิมพันอนาคตของ “นายใหญ่- อำนาจและเกี่ยวพันกับพรรคพลังประชาชนโดยตรง รับรองว่ามันก็ยอมไม่ได้อยู่แล้ว
สัญญาณแรกที่เห็นได้ชัดเจนและจับต้องได้ก็คือการ “สะกิด” ให้ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ยอมลาออกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่ที่ต้องพักการทำหน้าที่ เลิกนั่งคาอยู่บนตำแหน่ง แต่ทำอะไรไม่ได้ ปลดล็อกออกไปก่อน
อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนแรกแล้วตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯมันสำคัญยิ่งยวดขนาดไหน เพราะตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้เป็นประธานรัฐสภาอีกตำแหน่ง เป็นเบอร์หนึ่งฝ่ายนิติบัญญัตินั่นเอง
ที่น่าสนใจก็คือการเปลี่ยนตัวในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี เพราะเป็นช่วงที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ”พลังแม้ว” กำลังถูกเข็ญเข้าสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า มันก็ย่อมมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว
ที่ผ่านมาการหยุดพักการทำหน้าที่ของ ยุทธ ทำให้ทุกอย่างคาราคาซัง ขยับอะไรเขยื้อนไม่ได้ “เป็นเหมือนไม่ได้เป็น” ปล่อยให้ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานรัฐสภาทำหน้าที่เป็นประธานรัฐสภามานานสองนานแล้ว จะปล่อยเอาไว้อย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้
ขณะที่จะรอให้คดีชี้ขาดออกมาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะรู้ผล อาจจะลากยาวเป็นปี
ดังนั้นเมื่อยอมฝืนใจไขก๊อก เปิดทางให้มีการเลือกเฟ้นประธานสภาคนใหม่ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นคนในพรรคพลังประชาชน สายตรง “นายใหญ่-นายหญิง” อยู่แล้ว
ทุกอย่างมันก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ที่สำคัญเริ่มเข้ามาอยู่ในเกมที่ตัวเองสามารถกำหนดได้โดยสมบูรณ์เบ็ดเสร็จได้อีกครั้ง
อย่างน้อยเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำหนดเป็นวาระเร่งด่วนที่กำลังตั้งธงรอชงเข้าสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตัวประธานรัฐสภาที่เป็นคนของตัวเองก็จะมาคุมเกมให้เดินหน้าแบบรวบรัดตามความมุ่งหมายได้ทันท่วงที
เป้าหมายที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าเป้าหมายในการแก้ไขต้องการให้สำเร็จภายในไม่กี่ เดือนข้างหน้านี้ มันก็น่าลุ้น เนื่องจากเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่ง สถานการณ์ในวันนี้มันเริ่มแตกต่างจากเมื่อ 5-6 ปีก่อนเกือบจะสิ้นเชิง
ที่สำคัญคนในสังคมเริ่มรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน รู้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้มันมีวาระซ่อนเร้น มีเจตนามุ่งหมายแก้ไขให้ตัวเองและพวกพ้องได้พ้นผิด
จนถูกค่อนแคะและรู้ว่ามันคือ “รัฐธรรมนูญฉบับฟอกมาร” สังคมเริ่มรับไม่ได้ และนับวันยิ่งขยายวงออกไป เหมือนไฟลามทุ่ง
นอกเหนือจากนี้ยังมีปัจจัยแทรกซ้อนแบบปัจจุบันทันด่วนเข้ามาผสมปนเปทั้งในเรื่องของ “ธงไตรรงค์ THAKSIN” จากแมนซิตี้ฯ เข้ามาให้ตั้งข้อสงสัยเรื่องความไม่บังควรเข้ามาผสมโรงอีก
หรือก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องเว็บไซต์จาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานน์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ
หรือพฤติกรรมจวบจ้วงทำนองดูหมิ่นเบื้องสูงกรณีไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนต์ หรือกรณีปิดตัวเองของเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ ที่มักโจมตี พล.อ.เปรม อยู่ตลอดเวลา
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตจากการปิดปะต่อเหตุการณ์มาเชื่อมโยงกัน สงสัยว่ามีที่มาจากแหล่งเดียวกัน
จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่างานนี้ส่งผลสะเทือนต่อ “เฮียแม้ว” ใหญ่หลวง และที่สำคัญทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีโอกาสล้มคว่ำ พังครืน หรือก่อวิกฤตครั้งสำคัญอีกรอบก็เป็นไปได้สูงเช่นเดียวกัน
หากมองในมุมนี้ก็เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มเข้าสู่เกมเสี่ยงมากขึ้นเป็นลำดับ อุปสรรคขวางหนามรออยู่ข้างหน้าเต็มพรึดไปหมด
แต่อย่างไรก็ดีแม้ว่ารู้ทั้งรู้ว่ามันเสี่ยง แต่ถ้าอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรมันก็ยิ่งเสี่ยงกว่า
ดังนั้น นาทีนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ต้องเดินหน้าผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จโดยเร็วให้จงได้
แม้ว่าก่อนหน้านี้มีการนับนิ้วบวกลบตารางเวลาแล้ว เชื่อว่าจะใช้เวลาเบ็ดเสร็จน่าจะประมาณ 5-8 เดือน แต่จากสถานการณ์เปรียบเหมือนเลือดเริ่มเข้าตาเริ่มมีเสียงฟันธงล่าสุดเล็ดลอดให้ได้ยินเข้าหูบ้างแล้วว่ามีความเป็นได้ว่าการผลักดันการแก้ไขให้สำเร็จภายในเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น
เพราะอย่างที่บอกก็คือ เมื่อทุกอย่างเริ่มล่อแหลมก็ต้องยิ่งต้องเดินหน้าเต็มตัว !!
กำลังโหลดความคิดเห็น