วานนี้(2 พ.ค.)ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง เวลา 09.00 น. นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 3 คน ออกนั่งบัลลังก์ตรวจสอบพยานหลักฐาน คดีหมายเลขดำที่ ลต.38 /2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว นายยงยุทธ ส.ส.ระบบแบ่งเขต เขต3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของนายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน โดย กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จ.เชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
โดยฝ่าย กกต.มี พ.ต.อ.นัฐศักดิ์ นานาวัน ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัยของ กกต.และคณะ ได้นำแผ่นวีซีดี จำนวน 8 แผ่น และคำวินิจฉัยส่วนตนของ กกต.ทั้ง 5 คน มาส่งมอบให้กับศาลตามที่ทนายความฝ่ายผู้คัดค้านของนายงยุทธ และ น.ส.ละอองร้องขอไว้ อย่างไรก็ตามนายยงยุทธ และน.ส.ละอองไม่ได้เดินทาง มาที่ศาลด้วยตนเอง แต่ได้มอบอำนาจให้ นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความและคณะมาดำเนินการแทน
ทั้งนี้ ศาลได้ส่งวีซีดีจำนวน 8 แผ่น และคำวินิจฉัยส่วนตนของ กกต.ทั้ง 5 คน ให้ทนายความของนายยงยุทธแล้ว เพื่อให้ไปตรวจสอบเนื้อหาในวีซีดี ว่า ตรงกับเนื้อหาซึ่ง กกต.ถอดมาจากวีซีดี ยื่นเป็นพยานเอกสารแล้วในสำนวนดังกล่าวหรือไม่ ในประเด็นที่ทนายความต้องการทราบถึงกรณีที่ พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา รอง ผอ.กอ.รมน. จ.เชียงราย เรียกกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 10 คน ไปให้การในวันที่ 11 และ 17 ธ.ค. 2550 ซึ่ง พ.ต.อ.นัฐศักดิ์ ได้ยืนยันต่อศาลว่า วีซีดี 8 ทั้งแผ่นมีเนื้อหา ครบถ้วนทั้งในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางที่มีการทุจริตจ่ายเงินซื้อเสียง รวมทั้งรายละเอียดที่มีการเรียกกำนันใน อ.แม่จัน ทั้ง10 คน มาสอบถาม
ภายหลังศาลสอบข้อเท็จจริงคู่ความทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น ศาลกำหนดวันสืบพยานฝ่าย กกต. ผู้ร้องในวันที่ 8 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น. ให้สืบพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้านทั้งสองในวันที่ 12-14 และ 20 พ.ค. เวลา 09.00 น. เช่นกัน และกำชับให้ผู้ร้องคัดค้านทั้งสอง นำพยานมาเบิกความให้ได้ไม่น้อยกว่านัดละ 3 ปาก
นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ เปิดเผย ก่อนการพิจารณาคดีว่า ในวันนี้ ได้นำพยานหลักฐาน ประกอบด้วย บัญชีรายชื่อพยานบุคคล 50 ปาก ที่มีทั้งกำนัน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงพยานเอกสารมายื่นให้ต่อศาล ส่วนประเด็นที่จะใช้ต่อสู้ในชั้นศาลนั้นจะชี้ให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือของพยานฝ่ายผู้ร้อง เนื่องจากมีข้อบกพร่อง ที่เป็นความเชื่อมโยงของพยานหลักฐานในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ร้องมันเกินความ เป็นจริง ขณะที่นายยงยุทธเองได้ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง และ น.ส.ละออง พร้อมมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม
จี้ตร.คุ้มครอง “ชัยวัฒน์”พยานคดี “ยงยุทธ”
วันเดียวกันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)เวลา 15.00 น.นายนิติธร ล้ำหลือ กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ พร้อมคณะ เดินทางเข้ายื่นหนังสือพร้อมหารือกับ พล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. ในฐานะรองโฆษกตร. เพื่อเร่งรัด และขอคำยืนยันเรื่องมาตรการคุ้มครองพยาน และการขอ เข้ามอบตัวสู้คดีของ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย พยานปากสำคัญในคดี นายยงยุทธ กระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเป็นผู้ต้องหาในคดีพยายามฆ่านายอดิศร เรืองคำ กำนันอ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยมีตัวแทนจากสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติมาร่วมชี้แจง
นายนิติธร กล่าวว่า นายชัยวัฒน์ ถูกศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับในคดี พยายามฆ่าผู้อื่น และถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ท้องที่ สภ.แม่ปิง นอกจากนี้ยังมีคดีแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท อยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปราม ซึ่งที่ผ่านมานายชัยวัฒน์ ไม่ได้หลบหนีคดี แต่ที่ใม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้เนื่องจาก เกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะก่อนหน้านี้ เคยถูกข่มขู่เอาชีวิตมาแล้ว ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ประสงค์จะเข้ามอบตัวสู้คดี ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเกรงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งตนเตรียมหนังสือถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รรท.ผบ.ตร.เพื่อกำหนดวันเวลาที่จะเข้ามอบตัว รวมถึงขั้นตอนการยื่นประกันตัว
นายนิติธร กล่าวว่า ในเรื่องมาตรการคุ้มครองพยาน นายชัยวัฒน์ ที่เป็นพยาน ในคดีใบแดงนายยงยุทธ แม้ก่อนหน้านี้เคยมายื่นหนังสือแล้ว แต่กลับไม่มีความ คืบหน้า อย่างไรก็ตามหลังเข้าหารือ ทำให้เข้าใจการทำงานของตำรวจมากขึ้น แต่อยากให้ขั้นตอนทุกอย่างมีความเป็นธรรมมากกว่านี้
ด้านพล.ต.ต.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว ตร.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมีจเรตำรวจแห่งชาติเป็นแม่งานในการประสานงานกับทุกหน่วย
สำหรับเรื่องมาตรการคุ้มครองพยาน และเรื่องที่ถูกข่มขู่ได้ส่งเรื่องให้ พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ ชูกิจคุณ ผบช.ภ.5 รับไปดำเนินการ ขณะที่เรื่องขอโอนคดีที่นายชัยวัฒน์ตกเป็นผู้ต้องหาให้กองปราบปรามรับผิดชอบได้ส่งเรื่องให้ พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก. ส่วนเรื่องที่อ้างว่าถูก รอง ผกก.สน.พญาไท บังคับให้กลับคำให้การในชั้นศาล ได้ส่งเรื่องให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ไปแล้ว ซึ่งต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ ทำงานสักระยะหนึ่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่กระทบคดี “ยงยุทธ”
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้องกรณี กกต.ให้ใบแดง นายสุรศักดิ์ วิชิตโรจน์จรัล นายกเทศมนตรี เมืองบางกรวย จ.นนทบุรีว่า เรื่องนี้คงไม่มีผลกระทบอะไร เป็นการที่ให้อำนาจ ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิจารณาเพื่อเป็นการกลั่นกรอง ไม่ใช่ให้ กกต. ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จคนเดียว
นายอภิชาต กล่าวว่า กรณีการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งนั้นก็มีทั้งกรณีที่ กกต.ยกคำร้องและให้ใบเหลือง-ใบแดง ซึ่งการที่ศาลเข้ามากลั่นกรองแบบนี้ก็คิดว่า เป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบ“ผมคิดว่าระหว่าง กกต.และศาลควรร่วมประชุมกัน เพราะตนรู้สึกว่า การให้ใบเหลืองใบแดงของกกต.นั้นทำด้วยเวลากระชั้นชิดเกินไป โดยต้องพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 30 วันนับจากวันเลือกตั้ง ดังนั้นหลักฐานที่เข้าสู่ กกต.ก็มีอย่างจำกัด ถ้าเปิดโอกาสให้กกต.พิสูจน์พยานกัน โดยใช้วิธีพิจารณา แบบที่ศาลใช้ปกติ อาจทำให้ผลที่ออกมาอาจจะแตกต่างจากที่กกต.พิจารณาในปัจจุบันก็ได้ อย่างไรก็ตามคิดว่าการพิจารณาของศาลน่าจะใช้หลักฐานอันเดียวกับที่กกต.มีอยู่
ส่วนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เห็นพ้องกับมติของกกต.นี้จะส่งผลต่อการ พิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่พิจารณาความเห็นของกกต.ที่สั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ หรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่น่าจะกระทบ โดยคิดว่าศาลไม่น่าจะให้มีการสืบพยานหักล้างพยานอะไรกันมากมายนัก อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าการพิจารณาไปนั้นสมควรหรือไม่
แจงเหตุยกคำร้องพปช.นอมินีทรท.
นายอภิชาต ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กกต. มีมติ ยกคำร้องสำนวนการกล่าวหา ว่า พรรคพลังประชาชน(พปช.) เป็นนอมินีของ พรรคไทยรักไทย(ทรท.)ว่า จากที่ได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็เห็นว่า ผลการตรวจสอบของอนุกรรมการฯ ที่มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธานนั้นก็ไม่มีกฎหมายเอาผิด เพราะกฎหมายห้ามเฉพาะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนที่ถูกตัดสิทธิด้วยการถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไม่ให้เป็น กรรมการบริหารพรรคหรือจัดตั้งพรรคใหม่เท่านั้น แต่กรณีนี้พรรคพลังประชาชน ถูกต้องมาก่อนแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการตั้งเพื่อมารองรับพรรคไทยรักไทยเป็นการเฉพาะ
อีกทั้งนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนนั้นก็ไม่ได้เป็น สมาชิพรรคไทยรักไทยเดิม เพราะเป็นเพียงผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่เท่านั้น เหตุเหล่านี้จึงไม่ถือว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย “การที่อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสินจะเป็นนอมินีหรือไปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือสั่งการอะไร เมื่อไม่มีกฎหมายโดยตรงเอาผิด เราก็ทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องนี้ไม่มีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น ดังนั้นการจะเอาผิดก็ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีความชัดเจนมากขึ้น แต่ตอนนี้กกต. ก็พิจารณาไปเท่าที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือกฎหมาย
กกต.อุบลฯปัดเสนอให้ใบแดงคนปชป.
นายมนไท ประมูลจักโก ประธาน กกต.อุบลราชธานี กล่าวข่าวปฎิเสธถึงกรณีที่ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน ออกมาระบุว่า กกต.อุบลฯ มีมติ 4ต่อ 1 ให้ใบแดง นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.อุบลราชธานี และนายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ไม่ทราบนายประชาไปเอาข้อมูลมาจากไหน
“มีการร้องเรียนไปยัง กกต.กลางคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.จึงได้เชิญผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 มารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมให้นำพยานบุคคลและหลักฐานมาชี้แจงกับ กกต.จังหวัด ในวันที่ 12 พ.ค.นี้ โดย กกต.จังหวัดจะรวบรวมหลักฐานส่งให้ กกต.กลางวินิจฉัย เรายังไม่ได้มีมติใดๆ ตามที่นายประชาอ้าง”
ชท.พบอัยการสูงสุดแจงคดียุบพรรค
วันเดียวกัน นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นตัวแทนของนาย บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคเข้ายื่นหนังสือต่อนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เพื่อขอความเป็นธรรมและขอเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่กกต.ส่งสำนวนการยุบพรรค ชาติไทยให้อัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนที่นายบรรหารจะเดินทางไปชี้แจงที่สำนักงานอัยการสูงสุดในสัปดาห์หน้า
นายนิกร กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญในการเข้าชี้แจงในวันนี้นั้น คือต้องการให้อัยการสูงสุดได้เห็นว่า คดีใบแดงเลือกตั้งที่จ.ชัยนาท ตามสำนวนของกกต. ในขณะนี้ ผู้กระทำความผิดเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวคะแนนของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัคร ซึ่งโดยข้อเท็จจริงนายมณเฑียร ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและยังเป็นคดีฟ้องร้องระหว่างผู้กล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหากันอยู่จนถึงขณะนี้ ดังนั้นพรรคชาติไทยจึงไม่น่าต้องยุบตามสำนวนที่กกต.ส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา
โดยฝ่าย กกต.มี พ.ต.อ.นัฐศักดิ์ นานาวัน ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัยของ กกต.และคณะ ได้นำแผ่นวีซีดี จำนวน 8 แผ่น และคำวินิจฉัยส่วนตนของ กกต.ทั้ง 5 คน มาส่งมอบให้กับศาลตามที่ทนายความฝ่ายผู้คัดค้านของนายงยุทธ และ น.ส.ละอองร้องขอไว้ อย่างไรก็ตามนายยงยุทธ และน.ส.ละอองไม่ได้เดินทาง มาที่ศาลด้วยตนเอง แต่ได้มอบอำนาจให้ นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความและคณะมาดำเนินการแทน
ทั้งนี้ ศาลได้ส่งวีซีดีจำนวน 8 แผ่น และคำวินิจฉัยส่วนตนของ กกต.ทั้ง 5 คน ให้ทนายความของนายยงยุทธแล้ว เพื่อให้ไปตรวจสอบเนื้อหาในวีซีดี ว่า ตรงกับเนื้อหาซึ่ง กกต.ถอดมาจากวีซีดี ยื่นเป็นพยานเอกสารแล้วในสำนวนดังกล่าวหรือไม่ ในประเด็นที่ทนายความต้องการทราบถึงกรณีที่ พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา รอง ผอ.กอ.รมน. จ.เชียงราย เรียกกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 10 คน ไปให้การในวันที่ 11 และ 17 ธ.ค. 2550 ซึ่ง พ.ต.อ.นัฐศักดิ์ ได้ยืนยันต่อศาลว่า วีซีดี 8 ทั้งแผ่นมีเนื้อหา ครบถ้วนทั้งในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางที่มีการทุจริตจ่ายเงินซื้อเสียง รวมทั้งรายละเอียดที่มีการเรียกกำนันใน อ.แม่จัน ทั้ง10 คน มาสอบถาม
ภายหลังศาลสอบข้อเท็จจริงคู่ความทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น ศาลกำหนดวันสืบพยานฝ่าย กกต. ผู้ร้องในวันที่ 8 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น. ให้สืบพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้านทั้งสองในวันที่ 12-14 และ 20 พ.ค. เวลา 09.00 น. เช่นกัน และกำชับให้ผู้ร้องคัดค้านทั้งสอง นำพยานมาเบิกความให้ได้ไม่น้อยกว่านัดละ 3 ปาก
นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ เปิดเผย ก่อนการพิจารณาคดีว่า ในวันนี้ ได้นำพยานหลักฐาน ประกอบด้วย บัญชีรายชื่อพยานบุคคล 50 ปาก ที่มีทั้งกำนัน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงพยานเอกสารมายื่นให้ต่อศาล ส่วนประเด็นที่จะใช้ต่อสู้ในชั้นศาลนั้นจะชี้ให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือของพยานฝ่ายผู้ร้อง เนื่องจากมีข้อบกพร่อง ที่เป็นความเชื่อมโยงของพยานหลักฐานในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ร้องมันเกินความ เป็นจริง ขณะที่นายยงยุทธเองได้ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง และ น.ส.ละออง พร้อมมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม
จี้ตร.คุ้มครอง “ชัยวัฒน์”พยานคดี “ยงยุทธ”
วันเดียวกันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)เวลา 15.00 น.นายนิติธร ล้ำหลือ กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ พร้อมคณะ เดินทางเข้ายื่นหนังสือพร้อมหารือกับ พล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. ในฐานะรองโฆษกตร. เพื่อเร่งรัด และขอคำยืนยันเรื่องมาตรการคุ้มครองพยาน และการขอ เข้ามอบตัวสู้คดีของ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย พยานปากสำคัญในคดี นายยงยุทธ กระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเป็นผู้ต้องหาในคดีพยายามฆ่านายอดิศร เรืองคำ กำนันอ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยมีตัวแทนจากสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติมาร่วมชี้แจง
นายนิติธร กล่าวว่า นายชัยวัฒน์ ถูกศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับในคดี พยายามฆ่าผู้อื่น และถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ท้องที่ สภ.แม่ปิง นอกจากนี้ยังมีคดีแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท อยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปราม ซึ่งที่ผ่านมานายชัยวัฒน์ ไม่ได้หลบหนีคดี แต่ที่ใม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้เนื่องจาก เกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะก่อนหน้านี้ เคยถูกข่มขู่เอาชีวิตมาแล้ว ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ประสงค์จะเข้ามอบตัวสู้คดี ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเกรงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งตนเตรียมหนังสือถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รรท.ผบ.ตร.เพื่อกำหนดวันเวลาที่จะเข้ามอบตัว รวมถึงขั้นตอนการยื่นประกันตัว
นายนิติธร กล่าวว่า ในเรื่องมาตรการคุ้มครองพยาน นายชัยวัฒน์ ที่เป็นพยาน ในคดีใบแดงนายยงยุทธ แม้ก่อนหน้านี้เคยมายื่นหนังสือแล้ว แต่กลับไม่มีความ คืบหน้า อย่างไรก็ตามหลังเข้าหารือ ทำให้เข้าใจการทำงานของตำรวจมากขึ้น แต่อยากให้ขั้นตอนทุกอย่างมีความเป็นธรรมมากกว่านี้
ด้านพล.ต.ต.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว ตร.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมีจเรตำรวจแห่งชาติเป็นแม่งานในการประสานงานกับทุกหน่วย
สำหรับเรื่องมาตรการคุ้มครองพยาน และเรื่องที่ถูกข่มขู่ได้ส่งเรื่องให้ พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ ชูกิจคุณ ผบช.ภ.5 รับไปดำเนินการ ขณะที่เรื่องขอโอนคดีที่นายชัยวัฒน์ตกเป็นผู้ต้องหาให้กองปราบปรามรับผิดชอบได้ส่งเรื่องให้ พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก. ส่วนเรื่องที่อ้างว่าถูก รอง ผกก.สน.พญาไท บังคับให้กลับคำให้การในชั้นศาล ได้ส่งเรื่องให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ไปแล้ว ซึ่งต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ ทำงานสักระยะหนึ่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่กระทบคดี “ยงยุทธ”
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้องกรณี กกต.ให้ใบแดง นายสุรศักดิ์ วิชิตโรจน์จรัล นายกเทศมนตรี เมืองบางกรวย จ.นนทบุรีว่า เรื่องนี้คงไม่มีผลกระทบอะไร เป็นการที่ให้อำนาจ ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิจารณาเพื่อเป็นการกลั่นกรอง ไม่ใช่ให้ กกต. ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จคนเดียว
นายอภิชาต กล่าวว่า กรณีการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งนั้นก็มีทั้งกรณีที่ กกต.ยกคำร้องและให้ใบเหลือง-ใบแดง ซึ่งการที่ศาลเข้ามากลั่นกรองแบบนี้ก็คิดว่า เป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบ“ผมคิดว่าระหว่าง กกต.และศาลควรร่วมประชุมกัน เพราะตนรู้สึกว่า การให้ใบเหลืองใบแดงของกกต.นั้นทำด้วยเวลากระชั้นชิดเกินไป โดยต้องพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 30 วันนับจากวันเลือกตั้ง ดังนั้นหลักฐานที่เข้าสู่ กกต.ก็มีอย่างจำกัด ถ้าเปิดโอกาสให้กกต.พิสูจน์พยานกัน โดยใช้วิธีพิจารณา แบบที่ศาลใช้ปกติ อาจทำให้ผลที่ออกมาอาจจะแตกต่างจากที่กกต.พิจารณาในปัจจุบันก็ได้ อย่างไรก็ตามคิดว่าการพิจารณาของศาลน่าจะใช้หลักฐานอันเดียวกับที่กกต.มีอยู่
ส่วนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เห็นพ้องกับมติของกกต.นี้จะส่งผลต่อการ พิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่พิจารณาความเห็นของกกต.ที่สั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ หรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่น่าจะกระทบ โดยคิดว่าศาลไม่น่าจะให้มีการสืบพยานหักล้างพยานอะไรกันมากมายนัก อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าการพิจารณาไปนั้นสมควรหรือไม่
แจงเหตุยกคำร้องพปช.นอมินีทรท.
นายอภิชาต ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กกต. มีมติ ยกคำร้องสำนวนการกล่าวหา ว่า พรรคพลังประชาชน(พปช.) เป็นนอมินีของ พรรคไทยรักไทย(ทรท.)ว่า จากที่ได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็เห็นว่า ผลการตรวจสอบของอนุกรรมการฯ ที่มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธานนั้นก็ไม่มีกฎหมายเอาผิด เพราะกฎหมายห้ามเฉพาะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนที่ถูกตัดสิทธิด้วยการถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไม่ให้เป็น กรรมการบริหารพรรคหรือจัดตั้งพรรคใหม่เท่านั้น แต่กรณีนี้พรรคพลังประชาชน ถูกต้องมาก่อนแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการตั้งเพื่อมารองรับพรรคไทยรักไทยเป็นการเฉพาะ
อีกทั้งนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนนั้นก็ไม่ได้เป็น สมาชิพรรคไทยรักไทยเดิม เพราะเป็นเพียงผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่เท่านั้น เหตุเหล่านี้จึงไม่ถือว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย “การที่อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสินจะเป็นนอมินีหรือไปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือสั่งการอะไร เมื่อไม่มีกฎหมายโดยตรงเอาผิด เราก็ทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องนี้ไม่มีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น ดังนั้นการจะเอาผิดก็ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีความชัดเจนมากขึ้น แต่ตอนนี้กกต. ก็พิจารณาไปเท่าที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือกฎหมาย
กกต.อุบลฯปัดเสนอให้ใบแดงคนปชป.
นายมนไท ประมูลจักโก ประธาน กกต.อุบลราชธานี กล่าวข่าวปฎิเสธถึงกรณีที่ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน ออกมาระบุว่า กกต.อุบลฯ มีมติ 4ต่อ 1 ให้ใบแดง นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.อุบลราชธานี และนายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ไม่ทราบนายประชาไปเอาข้อมูลมาจากไหน
“มีการร้องเรียนไปยัง กกต.กลางคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.จึงได้เชิญผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 มารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมให้นำพยานบุคคลและหลักฐานมาชี้แจงกับ กกต.จังหวัด ในวันที่ 12 พ.ค.นี้ โดย กกต.จังหวัดจะรวบรวมหลักฐานส่งให้ กกต.กลางวินิจฉัย เรายังไม่ได้มีมติใดๆ ตามที่นายประชาอ้าง”
ชท.พบอัยการสูงสุดแจงคดียุบพรรค
วันเดียวกัน นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นตัวแทนของนาย บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคเข้ายื่นหนังสือต่อนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เพื่อขอความเป็นธรรมและขอเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่กกต.ส่งสำนวนการยุบพรรค ชาติไทยให้อัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนที่นายบรรหารจะเดินทางไปชี้แจงที่สำนักงานอัยการสูงสุดในสัปดาห์หน้า
นายนิกร กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญในการเข้าชี้แจงในวันนี้นั้น คือต้องการให้อัยการสูงสุดได้เห็นว่า คดีใบแดงเลือกตั้งที่จ.ชัยนาท ตามสำนวนของกกต. ในขณะนี้ ผู้กระทำความผิดเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวคะแนนของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัคร ซึ่งโดยข้อเท็จจริงนายมณเฑียร ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและยังเป็นคดีฟ้องร้องระหว่างผู้กล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหากันอยู่จนถึงขณะนี้ ดังนั้นพรรคชาติไทยจึงไม่น่าต้องยุบตามสำนวนที่กกต.ส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา