ผู้จัดการรายวัน – พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง เตรียมเข้าตลาดเทรดวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ เผยแผนหลังระดมทุนเร่งล้างขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมขยายธุรกิจเต็มที่ มุ่งเน้นธุรกิจอาหารและสแน็ค เปิดกว้างทั้งร่วมทุน ร่วมมือ ทำเอง ตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10%
ดร.สมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริษัท พรีเมียร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือพีเอ็ม เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทฯหลังจากนำบริษัทพีเอ็มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้แล้ว มีแผนที่จะขยายธุรกิจเต็มที่ โดยการระดมเงินทุนนั้นจะนำมาใช้ในการชำระหนี้สินสะสมที่มีอยู่รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปี และเงินทุนอีกส่วนหนึ่งนำมาใช้ในการขยายธุรกิจ
โดยหนี้สินสะสมหลักๆนั้นคือ บจก.พีเอ็มฟู้ดส์ ประมาณ 500 ล้านบาท และบริษัทแม่คือพีเอ็มอีกกว่า 500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในสัดส่วน 50% ของกำไรสุทธิ
ส่วนแผนการระดมทุนนั้น เดิมพีเอ็มมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ชำระเต็ม และมีการออกหุ้นใหม่อีกเพื่อเสนอให้กับนักลงทุน 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนของพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง จำนวน 150 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท และ หุ้นสามัญเดิมของบจก. พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ จำนวน 65 ล้านหุ้น หรือประมาณ 33% ส่วนอีก 67% นั้นยังคงถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นใหม่เดิม
ทั้งนี้แผนการขยายธุรกิจ จะเน้นการทำงานร่วมกับพันธมิตรและหาคู่ค้ามากขึ้น ตลอดจนพัฒนาสินค้าของตัวเองมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าในเครือ 60% และสินค้านอกเครือ 40% จะปรับเป็น 50% เท่ากัน และยังคงเน้นไปที่อาหารและสแน็ค เพราะเป็นฐานรายได้หลัก และเรามีความพร้อมเต็มที่ ทั้งประสบการณ์กว่า 30 ปี ช่องทางกระจายสินค้ากว่า 30,000 แห่ง ซึ่งแบ่งช่องทางเป็น โมเดิร์นเทรด 53% เทรดดิชันนัลเทรด 38% และหน่วยรถขาย 9%
สินค้าสแน็คหลักคือ ทาโร่ ทำรายได้กว่า 50% ของรายได้รวม โดยเป็นผู้นำตลาด 68.5% ของมูลค่าตลาดปลาเส้น 1,304 ล้านบาท คาดว่าตลาดรวมปีนี้จะเพิ่ม 10% เป็น 1,434 ล้านบาท จากตลาดขนมขบเคี้ยวโดยรวมมากกว่า 14,250 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 15,582 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในช่วง 3 ปีย้อนหลังนั้นเติบโตตลอดเฉลี่ย 10% โดยปี 2550 มีรายได้ 2,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2549 ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 2,459 ล้านบาท ขณะที่ปี 2548 มีรายได้ 2,170 ล้านบาท ส่วนผลกำไรนั้น ในปี 2550 มีกำไร 207 ล้านบาท เติบโต 40% จากปี 2549 ที่มีกำไร 148 ล้านบาท และปี 2548 มีกำไร 96 ล้านบาท ซึ่งจากนี้ไปคาดหวังว่าทั้งรายได้และผลกำไรต้องเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี
ดร.สมชายกล่าวว่า รายได้ดังกล่าวมาจากการจัดจำหน่ายสินค้าประมาณ 1,611 ล้านบาท หรือประมาณ 58-60% ของรายได้รวม และรายได้จากบริษัทในสายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของกลุ่มกับรายได้อื่นๆอีก 1,683 ล้านบาท หรือ 40-42% ของรายได้รวม ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักคือ ทาโร่ถือเป็นตัวทำรายได้หลักมากกว่า 50%
สำหรับโครงสร้างการถือหุ้นของ บมจ.พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง คือ 1. บจก.พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล (พีเอฟซี) ถือหุ้น 85% 2. บจก. พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ (พีพีพี) ถือหุ้น 15% (ซึ่งพรีเมียร์เพ็ทนี้ถือหุ้น โดย พีเอฟซี 100%) ซึ่งบริษัทนี้ ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินธุรกิจอะไรแล้วปล่อยให้รายอื่นเข้ามาเช่าที่ดินและโรงงาน เครื่องจักรประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ บมจ. พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จะเข้าไปถือหุ้นใน 3 บริษัทลูกแห่งละ 100% คือ บจก.พีเอ็มฟู้ดส์ (พีเอ็มเอฟ) ผลิตอาหารว่างสำเร็จรูปจากเนื้อปลา ทาโร่, บจก..พรีเมียร์ แคนนิ่ง อินดัสตรี้ (พีซีไอ) ผลิตปลาทูน่าสำเร็จรูปและซอสปรุงรสคิงส์คิทเช่น และบจก.พรีเมียร์ โฟรเซ่น โพรดักส์ (พีเอฟพี) ผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และอาหารพร้อมรับประทาน
ปัจจุบันพีเอ็ม มีผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่าย 5 กลุ่ม ทั้งที่ผลิตและเป็นแบรนด์ของบริษัทฯเอง เช่น ปลาเส้นทาโร่ ลูกอมคอริฟฟินซี ซอสคิงส์คิทเช่น เป็นต้นมีสัดส่วนรายได้ 60% กับสินค้าที่รับจัดจำหน่ายของนอกเครือ สัดส่วนรายได้ 40% ประกอบด้วย 1.ขนมขบเคี้ยว 2.ลูกอม 3.อาหารเครื่องดื่ม 4.เม็ดอมและอาหารเสริม 5.ของใช้ส่วนตัวและเครื่องใช้ในครัวเรือน
ดร.สมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริษัท พรีเมียร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือพีเอ็ม เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทฯหลังจากนำบริษัทพีเอ็มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้แล้ว มีแผนที่จะขยายธุรกิจเต็มที่ โดยการระดมเงินทุนนั้นจะนำมาใช้ในการชำระหนี้สินสะสมที่มีอยู่รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปี และเงินทุนอีกส่วนหนึ่งนำมาใช้ในการขยายธุรกิจ
โดยหนี้สินสะสมหลักๆนั้นคือ บจก.พีเอ็มฟู้ดส์ ประมาณ 500 ล้านบาท และบริษัทแม่คือพีเอ็มอีกกว่า 500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในสัดส่วน 50% ของกำไรสุทธิ
ส่วนแผนการระดมทุนนั้น เดิมพีเอ็มมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ชำระเต็ม และมีการออกหุ้นใหม่อีกเพื่อเสนอให้กับนักลงทุน 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนของพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง จำนวน 150 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท และ หุ้นสามัญเดิมของบจก. พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ จำนวน 65 ล้านหุ้น หรือประมาณ 33% ส่วนอีก 67% นั้นยังคงถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นใหม่เดิม
ทั้งนี้แผนการขยายธุรกิจ จะเน้นการทำงานร่วมกับพันธมิตรและหาคู่ค้ามากขึ้น ตลอดจนพัฒนาสินค้าของตัวเองมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าในเครือ 60% และสินค้านอกเครือ 40% จะปรับเป็น 50% เท่ากัน และยังคงเน้นไปที่อาหารและสแน็ค เพราะเป็นฐานรายได้หลัก และเรามีความพร้อมเต็มที่ ทั้งประสบการณ์กว่า 30 ปี ช่องทางกระจายสินค้ากว่า 30,000 แห่ง ซึ่งแบ่งช่องทางเป็น โมเดิร์นเทรด 53% เทรดดิชันนัลเทรด 38% และหน่วยรถขาย 9%
สินค้าสแน็คหลักคือ ทาโร่ ทำรายได้กว่า 50% ของรายได้รวม โดยเป็นผู้นำตลาด 68.5% ของมูลค่าตลาดปลาเส้น 1,304 ล้านบาท คาดว่าตลาดรวมปีนี้จะเพิ่ม 10% เป็น 1,434 ล้านบาท จากตลาดขนมขบเคี้ยวโดยรวมมากกว่า 14,250 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 15,582 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในช่วง 3 ปีย้อนหลังนั้นเติบโตตลอดเฉลี่ย 10% โดยปี 2550 มีรายได้ 2,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2549 ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 2,459 ล้านบาท ขณะที่ปี 2548 มีรายได้ 2,170 ล้านบาท ส่วนผลกำไรนั้น ในปี 2550 มีกำไร 207 ล้านบาท เติบโต 40% จากปี 2549 ที่มีกำไร 148 ล้านบาท และปี 2548 มีกำไร 96 ล้านบาท ซึ่งจากนี้ไปคาดหวังว่าทั้งรายได้และผลกำไรต้องเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี
ดร.สมชายกล่าวว่า รายได้ดังกล่าวมาจากการจัดจำหน่ายสินค้าประมาณ 1,611 ล้านบาท หรือประมาณ 58-60% ของรายได้รวม และรายได้จากบริษัทในสายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของกลุ่มกับรายได้อื่นๆอีก 1,683 ล้านบาท หรือ 40-42% ของรายได้รวม ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักคือ ทาโร่ถือเป็นตัวทำรายได้หลักมากกว่า 50%
สำหรับโครงสร้างการถือหุ้นของ บมจ.พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง คือ 1. บจก.พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล (พีเอฟซี) ถือหุ้น 85% 2. บจก. พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ (พีพีพี) ถือหุ้น 15% (ซึ่งพรีเมียร์เพ็ทนี้ถือหุ้น โดย พีเอฟซี 100%) ซึ่งบริษัทนี้ ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินธุรกิจอะไรแล้วปล่อยให้รายอื่นเข้ามาเช่าที่ดินและโรงงาน เครื่องจักรประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ บมจ. พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จะเข้าไปถือหุ้นใน 3 บริษัทลูกแห่งละ 100% คือ บจก.พีเอ็มฟู้ดส์ (พีเอ็มเอฟ) ผลิตอาหารว่างสำเร็จรูปจากเนื้อปลา ทาโร่, บจก..พรีเมียร์ แคนนิ่ง อินดัสตรี้ (พีซีไอ) ผลิตปลาทูน่าสำเร็จรูปและซอสปรุงรสคิงส์คิทเช่น และบจก.พรีเมียร์ โฟรเซ่น โพรดักส์ (พีเอฟพี) ผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และอาหารพร้อมรับประทาน
ปัจจุบันพีเอ็ม มีผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่าย 5 กลุ่ม ทั้งที่ผลิตและเป็นแบรนด์ของบริษัทฯเอง เช่น ปลาเส้นทาโร่ ลูกอมคอริฟฟินซี ซอสคิงส์คิทเช่น เป็นต้นมีสัดส่วนรายได้ 60% กับสินค้าที่รับจัดจำหน่ายของนอกเครือ สัดส่วนรายได้ 40% ประกอบด้วย 1.ขนมขบเคี้ยว 2.ลูกอม 3.อาหารเครื่องดื่ม 4.เม็ดอมและอาหารเสริม 5.ของใช้ส่วนตัวและเครื่องใช้ในครัวเรือน