ผู้จัดการรายวัน - "หมอเลี้ยบ" ยันนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญนโยบายเศรษฐกิจ-โครงการเมกะโปรเจ็กต์ มากกว่าปัจจัยการเมือง ด้าน บล.เจพีมอร์แกน เพิ่มน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย เหตุ กำไรบจ.-เศรษฐกิจเติบโตดี แจงหลังเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุน "วรภัค" ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีนี้ 3% จากปีก่อน 2.85% หวังรายได้โตปีละ 30% แจงมีงานไอพีโอ 3 บริษัท มูลค่ารวม 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
วานนี้ (28 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) ได้มีการจัดงาน "JP Morgan Thailand Corporate access forum 2008" โดยเชิญนักลงทุนสถาบันต่างประเทส จำนวน 43 กองทุน จำนวน 60 คน รับฟังข้อมูลในเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายรัฐบาล จากนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเข้าพบบริษัทจดทะเบียนไทยกว่า 20 แห่ง ณ โรงแรมสุโขทัย
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว. คลัง เปิดเผยว่า จากการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสนใจในการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ขณะที่ความสนใจด้านการเมืองมีเข้ามาเพียงเล็กน้อย หรือคิดเป็นประมาณ 20% เท่านั้น
ส่วนการนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนของเจพี มอร์แกนนั้น นักลงทุนต่างประเทศได้ให้ความสนใจและสอบถามข้อมูล 3 ประเด็นหลัก คือ เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง อัตราเงินเฟ้ออัตราดอกเบี้ย และเมกะโปรเจกต์ ซึ่งได้มีการยืนยันว่าจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะหากเกิดขึ้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เหมือนกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัว
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธนาคารเจพีมอร์แกนเชส และบล. เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บล.เจพีมอร์แกน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (Overweight) ปีนี้ เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไทยเติบโต 14% และเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งเติบโตได้ด้วยดี โดยกระทรวงคลังประเมินอัตราการเติบโต (จีดีพี) ประมาณ 5.6-6% แต่ในส่วนของเจพีมอร์แกนประเมินจีดีพีอยู่ที่ 4.6% เพราะถือว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจดีอยู่
ทั้งนี้ ยังมีความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยบริษัทคาดอัตราเงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ 4% ซึ่งใกล้เคียงกับจีดีพี ซึ่งมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยจะยังคงอยู่ที่ 3.25% ทั้งปี ถึงแม้ว่าจะมีเงินเฟ้อสูง เนื่องจากติดที่นโยบายของธปท.เอง ในส่วนของการปรับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ นั้น คาดว่าจะปรับลดลงอีก 0.25% จากเดิมที่เจพีมอร์แกนคาดว่าจะปรับลดลงอีก 0.5% โดยอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะหยุดอยู่ที่ 2% จากปัจจุบันอยุ่ที่ 2.25%
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มแบงก์ และพลังงานบางตัว การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศหลังจากช่วงสงกรานต์มีการเข้ามาลงทุนมากขึ้น จากก่อนหน้านี้มีการขายหุ้นออกมา เพราะ นักลงทุนต่างประเทศประสบปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ในสหรัฐอเมริกา ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินซึ่งเป็นนักลงทุนระยะสั้น โดยจากที่อเมริกามีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวนั้นทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลออกมาเพื่อไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่
นายวรภัค กล่าวว่า บริษัทคาดส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์ ) อยู่ที่ประมาณ 3-4% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 2.85% โดยบล.ทำธุรกรรมทั้งในส่วนของการลงทุน งานด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์ งานด้านเกี่ยวกับตราสารหนี้และตราสารอนุพันธ์ (Fix Income) และงานด้านบริหารเงินให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบล. ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในตราสารหนี้ (ฟิกซ์อินคัมส์) คิดเป็น 50% และมาจากงานด้านวาณิชธนกิจ 20% การเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 20% และการบริหารเงินสดให้กับลูกค้าอีก 10% ซึ่งธุรกิจด้านฟิกซ์อินคัมส์ที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเติบโตเกินกว่า 100% ต่อปี เพราะบล.ได้ทำการเพิ่มทุน 3 ครั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านฟิกซ์อินคัมส์ โดยเพิ่มทุนจากกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนเกือบ 10,000 ล้านบาท
"บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี นี้จะพยายามให้บล.มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของรายได้ในปัจจุบัน ซึ่งโตเฉลี่ยปีละ 30% โดยไม่ต้องเพิ่มทุน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบล. มีรายได้เฉลี่ยเติบโตปีละ 64% ซึ่งจะโตมาจากรายได้ทั้งในส่วนของฟิกซ์ อินคัมส์ และงานด้านวาณิชธุรกิจ รวมถึงธุรกิจค้าหลักทรัพย์ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบล. เป็นนักลงทุนสถาบัน โดยเป็นนักลงทุนต่างชาติกว่า 80% ที่เหลือประมาณ 20% เป็นนักลงทุนสถาบันในไทย"
สำหรับบล.มีงานด้านวาณิชธนกิจประมาณ 5 งาน คือเป็นงานด้านหลักทรัพย์ ในการเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินแก่บริษัทจดทะเบียนที่ 3 บริษัท มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 2 บริษัท เป็นงานด้านการควบรวม (M&A) โดยมูลค่าอยู่ที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซื้อหุ้นพลังงานดันดันชีบวก4จุด
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (28เม.ย.) แกว่งตัวในกรอบแคบ โดยมีแรงซื้อกลุ่มพลังงาน ดันดัชนีปิดที่ 836.42 จุด เพิ่มขึ้น 4.23 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.51% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 839.51 จุด และปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 833.28 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,111 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 335.17 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 93.38 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย 241.79 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวบวกเนื่องจาก นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเพื่อเก็งกำไร หลังจากผลประกอบการไตรมาส 1/51 ของบริษัท บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ออกมาดี และคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มพลังงานจะออกมาดีเช่นเดียวกัน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (29 เม.ย.) คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากนักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารโดยประเมินแนวรับที่ 830 จุด และกรอบแนวต้านที่ 845 จุด ซึ่งหากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29-30 เม.ย.นี้ โดยหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ที่ 0.25% อาจช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวถึง 860 จุดได้
วานนี้ (28 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) ได้มีการจัดงาน "JP Morgan Thailand Corporate access forum 2008" โดยเชิญนักลงทุนสถาบันต่างประเทส จำนวน 43 กองทุน จำนวน 60 คน รับฟังข้อมูลในเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายรัฐบาล จากนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเข้าพบบริษัทจดทะเบียนไทยกว่า 20 แห่ง ณ โรงแรมสุโขทัย
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว. คลัง เปิดเผยว่า จากการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสนใจในการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ขณะที่ความสนใจด้านการเมืองมีเข้ามาเพียงเล็กน้อย หรือคิดเป็นประมาณ 20% เท่านั้น
ส่วนการนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนของเจพี มอร์แกนนั้น นักลงทุนต่างประเทศได้ให้ความสนใจและสอบถามข้อมูล 3 ประเด็นหลัก คือ เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง อัตราเงินเฟ้ออัตราดอกเบี้ย และเมกะโปรเจกต์ ซึ่งได้มีการยืนยันว่าจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะหากเกิดขึ้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เหมือนกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัว
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธนาคารเจพีมอร์แกนเชส และบล. เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บล.เจพีมอร์แกน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (Overweight) ปีนี้ เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไทยเติบโต 14% และเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งเติบโตได้ด้วยดี โดยกระทรวงคลังประเมินอัตราการเติบโต (จีดีพี) ประมาณ 5.6-6% แต่ในส่วนของเจพีมอร์แกนประเมินจีดีพีอยู่ที่ 4.6% เพราะถือว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจดีอยู่
ทั้งนี้ ยังมีความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยบริษัทคาดอัตราเงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ 4% ซึ่งใกล้เคียงกับจีดีพี ซึ่งมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยจะยังคงอยู่ที่ 3.25% ทั้งปี ถึงแม้ว่าจะมีเงินเฟ้อสูง เนื่องจากติดที่นโยบายของธปท.เอง ในส่วนของการปรับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ นั้น คาดว่าจะปรับลดลงอีก 0.25% จากเดิมที่เจพีมอร์แกนคาดว่าจะปรับลดลงอีก 0.5% โดยอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะหยุดอยู่ที่ 2% จากปัจจุบันอยุ่ที่ 2.25%
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มแบงก์ และพลังงานบางตัว การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศหลังจากช่วงสงกรานต์มีการเข้ามาลงทุนมากขึ้น จากก่อนหน้านี้มีการขายหุ้นออกมา เพราะ นักลงทุนต่างประเทศประสบปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ในสหรัฐอเมริกา ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินซึ่งเป็นนักลงทุนระยะสั้น โดยจากที่อเมริกามีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวนั้นทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลออกมาเพื่อไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่
นายวรภัค กล่าวว่า บริษัทคาดส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์ ) อยู่ที่ประมาณ 3-4% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 2.85% โดยบล.ทำธุรกรรมทั้งในส่วนของการลงทุน งานด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์ งานด้านเกี่ยวกับตราสารหนี้และตราสารอนุพันธ์ (Fix Income) และงานด้านบริหารเงินให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบล. ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในตราสารหนี้ (ฟิกซ์อินคัมส์) คิดเป็น 50% และมาจากงานด้านวาณิชธนกิจ 20% การเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 20% และการบริหารเงินสดให้กับลูกค้าอีก 10% ซึ่งธุรกิจด้านฟิกซ์อินคัมส์ที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเติบโตเกินกว่า 100% ต่อปี เพราะบล.ได้ทำการเพิ่มทุน 3 ครั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านฟิกซ์อินคัมส์ โดยเพิ่มทุนจากกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนเกือบ 10,000 ล้านบาท
"บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี นี้จะพยายามให้บล.มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของรายได้ในปัจจุบัน ซึ่งโตเฉลี่ยปีละ 30% โดยไม่ต้องเพิ่มทุน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบล. มีรายได้เฉลี่ยเติบโตปีละ 64% ซึ่งจะโตมาจากรายได้ทั้งในส่วนของฟิกซ์ อินคัมส์ และงานด้านวาณิชธุรกิจ รวมถึงธุรกิจค้าหลักทรัพย์ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบล. เป็นนักลงทุนสถาบัน โดยเป็นนักลงทุนต่างชาติกว่า 80% ที่เหลือประมาณ 20% เป็นนักลงทุนสถาบันในไทย"
สำหรับบล.มีงานด้านวาณิชธนกิจประมาณ 5 งาน คือเป็นงานด้านหลักทรัพย์ ในการเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินแก่บริษัทจดทะเบียนที่ 3 บริษัท มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 2 บริษัท เป็นงานด้านการควบรวม (M&A) โดยมูลค่าอยู่ที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซื้อหุ้นพลังงานดันดันชีบวก4จุด
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (28เม.ย.) แกว่งตัวในกรอบแคบ โดยมีแรงซื้อกลุ่มพลังงาน ดันดัชนีปิดที่ 836.42 จุด เพิ่มขึ้น 4.23 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.51% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 839.51 จุด และปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 833.28 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,111 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 335.17 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 93.38 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย 241.79 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวบวกเนื่องจาก นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเพื่อเก็งกำไร หลังจากผลประกอบการไตรมาส 1/51 ของบริษัท บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ออกมาดี และคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มพลังงานจะออกมาดีเช่นเดียวกัน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (29 เม.ย.) คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากนักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารโดยประเมินแนวรับที่ 830 จุด และกรอบแนวต้านที่ 845 จุด ซึ่งหากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29-30 เม.ย.นี้ โดยหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ที่ 0.25% อาจช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวถึง 860 จุดได้