ตลาดหุ้นไทยยังถูกปกคลุมด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกหดตัว-การเมืองในประเทศ กดดัชนีตลาดหุ้นติดลบกว่า 6 จุด ด้าน บล.เอเซีย พลัส พันธงปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ จะคลี่คลายในอีก 4-5 เดือน ส่งสัญญาณตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วที่ 384 จุด และเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังปี 52 พร้อมคาดการณ์ปีหน้าบริษัทจดทะเบียนกำไรติดลบ 4% จากแรงฉุดของกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เดินเรือ แนะลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดลงตามกตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ที่ถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังได้รับปัจจัยลบจากสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน
โดยดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวในแดนลบ มีระดับสูงสุดที่ 443.28 จุด และต่ำสุด 432.88 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 435.70 จุด ลดลงจากวันก่อน 6.61 จุด คิดเป็น 1.49% มูลค่าการซื้อขายรวม 9,389.60 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 701.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 438.47 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,140.20 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ. บ้านปู (BANPU) ราคาปิดที่ 196 บาท ลดลงจากวันก่อน 10 บาท คิดเป็น 4.85% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,307.86 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 167 บาท ลดลง 4 บาท หรือ 2.34% มูลค่าการซื้อขาย 1,001.73 ล้านบาท และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 95.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 892.86 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “โอกาสของผู้กล้า ...” ที่จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ร่วมกับบล. เอเชีย พลัส จำกัด ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เนื่องจากประเมินทุกวิกฤตทางการเงินจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นประสบปัญหาเป็นเวลา 2 ปี ขณะที่ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) เกิดขึ้นมาถึงปัจจุบันใช้เวลา 1 ปี 4 เดือนแล้ว
จากวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 60% จากดัชนีที่กว่า 800 จุด ตลาดหุ้นเอเชียมีการปรับตัวลดลง 60% เช่นกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลง 40% ดังนั้นจึงคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะใช้เวลาอีกประมาณ 4-5 เดือน
“แม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาต่างๆ ทยอยออกมาเพิ่มอีก แต่นักลงทุนได้รับทราบข่าวร้ายไปแล้ว เมื่อมีข่าวร้ายออกมาอีกนักลงทุนจะไม่มีความตื่นตระหนกมากนัก แต่จะต้องติดตามปัญหาจะลุกลามไปยังภาคธุรกิจว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ และส่งออก”
ทั้งนี้ จากสถิติวิกฤตการเงินโลกย้อยหลัง 40 ปี จะใช้เวลาในการคลี่คลาย 1-2 ปี ซึ่งขณะนี้จากปัญหาซับไพรม์ ต.ค.ปี 50 ถึงปัจจุบันใช้เวลารับรู้แล้ว 1 ปี 4 เดือน ซึ่งปัญหานี้ยังอยู่อีกและเศรษฐกิจอีก 4-5 เดือนหลังจากนั้นจะเริ่มคลี่คลาย จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่จะเข้ามาลงทุน
พร้อมกันนี้ บริษัทประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2552 จะติดลบ 4% โดยหุ้นกลุ่มที่มีกำไรลดลงนั้น คือหุ้นกลุ่มเดินเรือ โดยคาดว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA มีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 3.5 พันล้าน จากปีนี้ที่มี 7.6 พันล้านบาท และบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ PSL กำไรสุทธิลดลงเหลือประมาณ 3 พันล้านบาท จาก 4 พันล้านบาท และหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงเหลือ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีจากคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากที่จะต้องมีการตั้งสำรองที่สูงจากภาคธุรกิจที่มีการชะลอตัว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนในปีหน้า คือหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง จากได้รับปัจจัยบวกจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีแดง สีม่วง หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล แต่ควรเป็นโรงพยาบาลที่เน้นรักษาประชาชนภายในประเทศ เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลกรุงเทพ และหุ้นกลุ่มค้าปลีก จากประชาชนจะต้องมีการใช้จ่ายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตามและธุรกิจดังกล่าวจะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น จากมีกฎหมายรองรับ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้มีการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วที่ระดับ 384 จุด ค่า P/E อยู่ที่ 6 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมองว่าจากนี้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะชะลอตัวจากที่ผ่านมาได้มีการขายหุ้นออกไปแล้วเป็นจำนวนมาก ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และยุโรป เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติจึงไม่ได้เป็นแรงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นออกไปเพื่อรักษาสภาพคล่อง
“ประเมินว่าปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถยืนอยู่ที่ระดับ 500 จุดได้ หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดมาแล้ว ดังนั้นทิศทางจึงน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนของนักลงทุน” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
***จับตาตัวเลขศก.ประเทศมหาอำนาจ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (12พ.ย.) ยังสั่นไหวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากภาคอุตสาหกรรมของที่เริ่มมีปริมาณการผลิตและยอดขายลดลง ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยเริ่มชะลอตัว รวมถึงตลาดหุ้นได้ดีดขึ้นมากว่า 100 จุด ในช่วงผ่านมาส่งผลให้มีแรงเทขายออกมาจนปิดตลาด
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเคลื่อนไหว ตามทิศทางตลาดและข่าวคราวในต่างประเทศเป็นหลัก โดยควรจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ แนะนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นมีความผันผวน ซึ่งให้พิจารณาจากความเข้มแข็งทางการเงิน ชื่อเสียง ผลประกอบการ และความสามารถผู้บริหาร ของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 430 จุด
“ผมมองว่าหุ้นที่น่าลงทุนในระยะยาวจะเป็นหุ้นกลุ่มผลิตไฟฟ้า EGCO, RATCH แม้จะมีอัตราการใช้ไฟฟ้าลดลง แต่ทั้งสองบริษัทมีสัญญาในการผลิตไฟฟ้าระยะยาวกับรัฐบาล และมองว่ายังเป็นธุรกิจที่มีผลกำไร” นายสมบัติ กล่าว
ขณะที่นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ อ่อนตัวลง ด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดมาหนุนตลาด รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลงกว่า 3 เหรียญสหรัฐ ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้จะยังคงผันผวน ตามดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศ และให้จับตาผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มทยอยประกาศออกมาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แนะนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ และคาดการณ์แนวรับอยู่ที่ 425 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดลงตามกตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ที่ถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังได้รับปัจจัยลบจากสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน
โดยดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวในแดนลบ มีระดับสูงสุดที่ 443.28 จุด และต่ำสุด 432.88 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 435.70 จุด ลดลงจากวันก่อน 6.61 จุด คิดเป็น 1.49% มูลค่าการซื้อขายรวม 9,389.60 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 701.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 438.47 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,140.20 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ. บ้านปู (BANPU) ราคาปิดที่ 196 บาท ลดลงจากวันก่อน 10 บาท คิดเป็น 4.85% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,307.86 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 167 บาท ลดลง 4 บาท หรือ 2.34% มูลค่าการซื้อขาย 1,001.73 ล้านบาท และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 95.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 892.86 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “โอกาสของผู้กล้า ...” ที่จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ร่วมกับบล. เอเชีย พลัส จำกัด ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เนื่องจากประเมินทุกวิกฤตทางการเงินจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นประสบปัญหาเป็นเวลา 2 ปี ขณะที่ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) เกิดขึ้นมาถึงปัจจุบันใช้เวลา 1 ปี 4 เดือนแล้ว
จากวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 60% จากดัชนีที่กว่า 800 จุด ตลาดหุ้นเอเชียมีการปรับตัวลดลง 60% เช่นกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลง 40% ดังนั้นจึงคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะใช้เวลาอีกประมาณ 4-5 เดือน
“แม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาต่างๆ ทยอยออกมาเพิ่มอีก แต่นักลงทุนได้รับทราบข่าวร้ายไปแล้ว เมื่อมีข่าวร้ายออกมาอีกนักลงทุนจะไม่มีความตื่นตระหนกมากนัก แต่จะต้องติดตามปัญหาจะลุกลามไปยังภาคธุรกิจว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ และส่งออก”
ทั้งนี้ จากสถิติวิกฤตการเงินโลกย้อยหลัง 40 ปี จะใช้เวลาในการคลี่คลาย 1-2 ปี ซึ่งขณะนี้จากปัญหาซับไพรม์ ต.ค.ปี 50 ถึงปัจจุบันใช้เวลารับรู้แล้ว 1 ปี 4 เดือน ซึ่งปัญหานี้ยังอยู่อีกและเศรษฐกิจอีก 4-5 เดือนหลังจากนั้นจะเริ่มคลี่คลาย จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่จะเข้ามาลงทุน
พร้อมกันนี้ บริษัทประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2552 จะติดลบ 4% โดยหุ้นกลุ่มที่มีกำไรลดลงนั้น คือหุ้นกลุ่มเดินเรือ โดยคาดว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA มีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 3.5 พันล้าน จากปีนี้ที่มี 7.6 พันล้านบาท และบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ PSL กำไรสุทธิลดลงเหลือประมาณ 3 พันล้านบาท จาก 4 พันล้านบาท และหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงเหลือ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีจากคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากที่จะต้องมีการตั้งสำรองที่สูงจากภาคธุรกิจที่มีการชะลอตัว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนในปีหน้า คือหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง จากได้รับปัจจัยบวกจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีแดง สีม่วง หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล แต่ควรเป็นโรงพยาบาลที่เน้นรักษาประชาชนภายในประเทศ เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลกรุงเทพ และหุ้นกลุ่มค้าปลีก จากประชาชนจะต้องมีการใช้จ่ายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตามและธุรกิจดังกล่าวจะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น จากมีกฎหมายรองรับ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้มีการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วที่ระดับ 384 จุด ค่า P/E อยู่ที่ 6 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมองว่าจากนี้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะชะลอตัวจากที่ผ่านมาได้มีการขายหุ้นออกไปแล้วเป็นจำนวนมาก ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และยุโรป เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติจึงไม่ได้เป็นแรงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นออกไปเพื่อรักษาสภาพคล่อง
“ประเมินว่าปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถยืนอยู่ที่ระดับ 500 จุดได้ หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดมาแล้ว ดังนั้นทิศทางจึงน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนของนักลงทุน” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
***จับตาตัวเลขศก.ประเทศมหาอำนาจ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (12พ.ย.) ยังสั่นไหวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากภาคอุตสาหกรรมของที่เริ่มมีปริมาณการผลิตและยอดขายลดลง ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยเริ่มชะลอตัว รวมถึงตลาดหุ้นได้ดีดขึ้นมากว่า 100 จุด ในช่วงผ่านมาส่งผลให้มีแรงเทขายออกมาจนปิดตลาด
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเคลื่อนไหว ตามทิศทางตลาดและข่าวคราวในต่างประเทศเป็นหลัก โดยควรจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ แนะนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นมีความผันผวน ซึ่งให้พิจารณาจากความเข้มแข็งทางการเงิน ชื่อเสียง ผลประกอบการ และความสามารถผู้บริหาร ของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 430 จุด
“ผมมองว่าหุ้นที่น่าลงทุนในระยะยาวจะเป็นหุ้นกลุ่มผลิตไฟฟ้า EGCO, RATCH แม้จะมีอัตราการใช้ไฟฟ้าลดลง แต่ทั้งสองบริษัทมีสัญญาในการผลิตไฟฟ้าระยะยาวกับรัฐบาล และมองว่ายังเป็นธุรกิจที่มีผลกำไร” นายสมบัติ กล่าว
ขณะที่นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ อ่อนตัวลง ด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดมาหนุนตลาด รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลงกว่า 3 เหรียญสหรัฐ ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้จะยังคงผันผวน ตามดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศ และให้จับตาผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มทยอยประกาศออกมาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แนะนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ และคาดการณ์แนวรับอยู่ที่ 425 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด