นักวิจัยพบคนขับรถที่เพลินฟังคนนั่งพูดหรือฟังวิทยุ จะมีสมรรถนะในการขับขี่ถดถอยลง เนื่องจากสมาธิต่อทัศนียภาพเบื้องหน้าลดทอนลงถึง 37%
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเบรน รีเสิร์ชระบุว่า สมองของคนเราจะถูกขัดจังหวะหากต้องขับรถไปและคุยไป
การศึกษาของนักจิตวิทยาอเมริกันตั้งธงว่า ผู้ขับขี่สามารถปฏิบัติภารกิจหลายอย่างพร้อมกันได้หรือไม่ เพื่อประเมินว่าภารกิจ อาทิ การฟังบทสนทนา และการใช้โทรศัพท์มือถือ ส่งผลต่อความปลอดภัยบนท้องถนนมากน้อยเพียงใด
นักวิจัยใช้เครื่องสแกนสมองตรวจสอบผลที่มีต่อกิจกรรมในสมองจากการฟัง และการทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินระหว่างการขับรถด้วยอุปกรณ์จำลองเสมือนจริง
การขับรถและการฟังเป็นกิจกรรมที่ต่างกันและกระตุ้นการทำงานของสมองคนละส่วน กระนั้น งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า กิจกรรมทั้งสองสามารถส่งผลถึงกัน
นักวิจัยเชื่อมต่ออุปกรณ์สแกนสมองอาสาสมัครที่ต้องบังคับพวงมาลัยรถเสมือนจริงในเส้นทางคดเคี้ยว พร้อมกันนี้ อาสาสมัครจะต้องฟังข้อความที่เป็นความรู้ทั่วไป และกดปุ่มตอบว่าข้อความดังกล่าวจริงหรือเท็จ โดยจุดที่นักวิจัยเน้นคือระยะเวลาในการตอบสนองและคำตอบที่ถูกต้อง รวมถึงสมรรถนะในการขับขี่
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับผลงานของผู้ขับขี่ที่ไม่ถูกรบกวน พบว่าอาสาสมัครกลุ่มแรกมีความแม่นยำในการตอบคำถามน้อยกว่าถึง 37%
ผลศึกษาบ่งชี้ว่า ความท้าทายในการฟังบั่นทอนการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงกับส่วนที่ปฏิบัติภารกิจในการขับรถ
การต้องทำภารกิจทั้งสองอย่างพร้อมกันทำให้ความแม่นยำในการขับขี่ลดลงอย่างชัดเจน สืบเนื่องจากกระบวนการประมวลผลข้อความที่ได้ยินในสมอง
มาร์เซล จัสต์ จากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน สหรัฐฯ กล่าวว่าข้อมูลใหม่นี้เท่ากับเป็นการหยิบยกประเด็นที่ว่า หากภารกิจง่ายๆ ในการฟังลดทอนสมรรถนะในการขับขี่ กิจกรรมอื่นๆ ที่ทำกันอยู่ทั่วไประหว่างการขับขี่ก็น่าจะส่งผลไม่ต่างกัน
“กิจกรรมที่ว่าคือ การฟังหรือหาคลื่นวิทยุ กินหรือดื่ม ดูลูกหรือสัตว์เลี้ยง ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ และนำไปสู่ปัญหาทั้งต่อตนเองและคนอื่นๆ บนถนน
“การค้นพบของเราแสดงให้เห็นว่า การทำความเข้าใจภาษาที่เกิดขึ้นควบคู่กับการขับรถ ดึงดูดทรัพยากรในสมองไปจากการขับรถ และทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง”
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเบรน รีเสิร์ชระบุว่า สมองของคนเราจะถูกขัดจังหวะหากต้องขับรถไปและคุยไป
การศึกษาของนักจิตวิทยาอเมริกันตั้งธงว่า ผู้ขับขี่สามารถปฏิบัติภารกิจหลายอย่างพร้อมกันได้หรือไม่ เพื่อประเมินว่าภารกิจ อาทิ การฟังบทสนทนา และการใช้โทรศัพท์มือถือ ส่งผลต่อความปลอดภัยบนท้องถนนมากน้อยเพียงใด
นักวิจัยใช้เครื่องสแกนสมองตรวจสอบผลที่มีต่อกิจกรรมในสมองจากการฟัง และการทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินระหว่างการขับรถด้วยอุปกรณ์จำลองเสมือนจริง
การขับรถและการฟังเป็นกิจกรรมที่ต่างกันและกระตุ้นการทำงานของสมองคนละส่วน กระนั้น งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า กิจกรรมทั้งสองสามารถส่งผลถึงกัน
นักวิจัยเชื่อมต่ออุปกรณ์สแกนสมองอาสาสมัครที่ต้องบังคับพวงมาลัยรถเสมือนจริงในเส้นทางคดเคี้ยว พร้อมกันนี้ อาสาสมัครจะต้องฟังข้อความที่เป็นความรู้ทั่วไป และกดปุ่มตอบว่าข้อความดังกล่าวจริงหรือเท็จ โดยจุดที่นักวิจัยเน้นคือระยะเวลาในการตอบสนองและคำตอบที่ถูกต้อง รวมถึงสมรรถนะในการขับขี่
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับผลงานของผู้ขับขี่ที่ไม่ถูกรบกวน พบว่าอาสาสมัครกลุ่มแรกมีความแม่นยำในการตอบคำถามน้อยกว่าถึง 37%
ผลศึกษาบ่งชี้ว่า ความท้าทายในการฟังบั่นทอนการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงกับส่วนที่ปฏิบัติภารกิจในการขับรถ
การต้องทำภารกิจทั้งสองอย่างพร้อมกันทำให้ความแม่นยำในการขับขี่ลดลงอย่างชัดเจน สืบเนื่องจากกระบวนการประมวลผลข้อความที่ได้ยินในสมอง
มาร์เซล จัสต์ จากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน สหรัฐฯ กล่าวว่าข้อมูลใหม่นี้เท่ากับเป็นการหยิบยกประเด็นที่ว่า หากภารกิจง่ายๆ ในการฟังลดทอนสมรรถนะในการขับขี่ กิจกรรมอื่นๆ ที่ทำกันอยู่ทั่วไประหว่างการขับขี่ก็น่าจะส่งผลไม่ต่างกัน
“กิจกรรมที่ว่าคือ การฟังหรือหาคลื่นวิทยุ กินหรือดื่ม ดูลูกหรือสัตว์เลี้ยง ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ และนำไปสู่ปัญหาทั้งต่อตนเองและคนอื่นๆ บนถนน
“การค้นพบของเราแสดงให้เห็นว่า การทำความเข้าใจภาษาที่เกิดขึ้นควบคู่กับการขับรถ ดึงดูดทรัพยากรในสมองไปจากการขับรถ และทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง”
