แม่ที่ไปรีดไขมันหน้าท้องหรือทำจมูกมาใหม่ จะบอกลูกน้อยอย่างไรให้เข้าใจ
ศัลยแพทย์ความงามฟลอริดาขบคิดโจทย์นี้ จนกลายเป็นสมุดภาพออกมา ซึ่งถือเป็นเวอร์ชันแรกที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กอายุ 4-7 ปี ที่ต้องการได้รับการไขข้อข้องใจเรื่องที่แม่กำลังจะไปนอนรับมีดหมอ
กระนั้น หนังสือ ‘มาย บิวตี้ มอมมี’ เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่จากกลุ่มนักสิทธิสตรี รวมถึงศัลยแพทย์ความงามบางคนที่กลัวว่า หนังสือเล่มนี้จะบ่อนทำลายความนับถือตัวเองของเด็กเล็ก
ดร.ไมเคิล ซาลซอเออร์ คุณพ่อลูกสี่ เผยถึงสาเหตุที่ลุกขึ้นมาเขียน ‘มาย บิวตี้ มอมมี’ ว่าเป็นเพราะคนไข้จำนวนมากที่เป็น ‘คุณแม่มาแปลงโฉม’ เช่น ยกกระชับเต้านมและหน้าท้องที่หย่อนคล้อยหลังคลอดบุตร บ่นว่าไม่รู้จะอธิบายกับลูกเล็กอย่างไร
“ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่นี่เป็นปัญหาจริงๆ ที่ต้องการทางออก โดยเฉพาะสำหรับแม่ที่มาจองคิวผ่าตัดไว้แล้วและกำลังจะต้องบอกกับลูกว่า ทำไมหลังจากนี้เธอจะต้องนอนแซ่วอยู่แต่บนเตียง และต้องปล่อยให้พ่อไปรับลูกที่โรงเรียน รวมทั้งรับภาระอื่นๆ แทนอีกมากมาย
“มีผู้หญิงเป็นแสนเป็นล้านคนในสหรัฐฯ ผ่าตัดเสริมความงาม หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาสำหรับผู้บริโภคที่ความเป็นไปในครอบครัวในช่วงหนึ่งของชีวิตต้องกลับตาลปัตรอยู่ราว 2-3 สัปดาห์”
จากข้อมูลของอเมริกัน โซไซตี้ ออฟ พลาสติก เซอร์เจียนส์ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มีการทำศัลยกรรมความงามรวม 1.8 ล้านเคส ส่วนใหญ่เป็นการเสริมหน้าอกและดูดไขมัน
ซาลซอเออร์เสริมว่า ปฏิกิริยาตอบสนองต่อหนังสือเล่มนี้จากคนไข้ดีมาก กระนั้น แม่ทรงเสน่ห์ในเวอร์ชันการ์ตูนในหนังสือก็เรียกเสียงวิจารณ์เผ็ดร้อนในชุมชนออนไลน์
“พอโตขึ้น ร่างกายแม่ก็ขยาย เสื้อผ้าชุดเดิมใส่ไม่ได้แล้ว แต่ดร.ไมเคิลจะช่วยแก้ไขเรื่องนี้และทำให้แม่รู้สึกดีขึ้น” แม่ในสมุดภาพบอกกับลูกสาว
เธออธิบายเรื่องที่ไปทำจมูกมาว่า ไม่เพียงทำให้หน้าตาเปลี่ยนไปเท่านั้น “ลูกรัก แม่จะสวยขึ้นด้วยนะ!”
เจสสิกา วาเลนติ บรรณาธิการบริหารเว็บไซต์ www.feministing.com บอกว่าไม่อยากไปก้าวก่ายการตัดสินใจของคนที่ทำศัลยกรรม
“แต่จำเป็นจริงๆ หรือที่เราต้องสอนลูกว่าเราต้อง ‘รู้สึกดีขึ้น’ และต้อง ‘สวย’”
ดร.สตีเฟน กรีนเบิร์ก ศัลยแพทย์ความงามในนิวยอร์ก และผู้เขียน ‘อะ ลิตเติล นิป, อะ ลิตเติล ทัค’ สำทับว่าเด็กเล็กวัยอนุบาลไม่ควรต้องรู้จักหรือสัมผัสกับศัลยกรรมพลาสติก
“ปล่อยให้แกมีความนับถือตัวเองจากภายใน อย่าให้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรูปลักษณ์เลย”
ซาลซอเออร์น้อมรับคำวิจารณ์ต่างๆ นานา โดยทำใจว่าส่วนใหญ่มาจากพวกที่ไม่ได้อ่านหนังสือของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
“พวกเขาตัดสินจากปก หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นด้วยเจตนารมณ์บริสุทธิ์ ไม่ได้พยายามจะคดโกงสังคม และไม่ได้เชิดชูศัลยกรรมความงาม ผมไม่ได้หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ที่เด็กๆ ต้องอ่านกับพ่อแม่ก่อนเข้านอน”
ศัลยแพทย์ความงามฟลอริดาขบคิดโจทย์นี้ จนกลายเป็นสมุดภาพออกมา ซึ่งถือเป็นเวอร์ชันแรกที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กอายุ 4-7 ปี ที่ต้องการได้รับการไขข้อข้องใจเรื่องที่แม่กำลังจะไปนอนรับมีดหมอ
กระนั้น หนังสือ ‘มาย บิวตี้ มอมมี’ เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่จากกลุ่มนักสิทธิสตรี รวมถึงศัลยแพทย์ความงามบางคนที่กลัวว่า หนังสือเล่มนี้จะบ่อนทำลายความนับถือตัวเองของเด็กเล็ก
ดร.ไมเคิล ซาลซอเออร์ คุณพ่อลูกสี่ เผยถึงสาเหตุที่ลุกขึ้นมาเขียน ‘มาย บิวตี้ มอมมี’ ว่าเป็นเพราะคนไข้จำนวนมากที่เป็น ‘คุณแม่มาแปลงโฉม’ เช่น ยกกระชับเต้านมและหน้าท้องที่หย่อนคล้อยหลังคลอดบุตร บ่นว่าไม่รู้จะอธิบายกับลูกเล็กอย่างไร
“ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่นี่เป็นปัญหาจริงๆ ที่ต้องการทางออก โดยเฉพาะสำหรับแม่ที่มาจองคิวผ่าตัดไว้แล้วและกำลังจะต้องบอกกับลูกว่า ทำไมหลังจากนี้เธอจะต้องนอนแซ่วอยู่แต่บนเตียง และต้องปล่อยให้พ่อไปรับลูกที่โรงเรียน รวมทั้งรับภาระอื่นๆ แทนอีกมากมาย
“มีผู้หญิงเป็นแสนเป็นล้านคนในสหรัฐฯ ผ่าตัดเสริมความงาม หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาสำหรับผู้บริโภคที่ความเป็นไปในครอบครัวในช่วงหนึ่งของชีวิตต้องกลับตาลปัตรอยู่ราว 2-3 สัปดาห์”
จากข้อมูลของอเมริกัน โซไซตี้ ออฟ พลาสติก เซอร์เจียนส์ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มีการทำศัลยกรรมความงามรวม 1.8 ล้านเคส ส่วนใหญ่เป็นการเสริมหน้าอกและดูดไขมัน
ซาลซอเออร์เสริมว่า ปฏิกิริยาตอบสนองต่อหนังสือเล่มนี้จากคนไข้ดีมาก กระนั้น แม่ทรงเสน่ห์ในเวอร์ชันการ์ตูนในหนังสือก็เรียกเสียงวิจารณ์เผ็ดร้อนในชุมชนออนไลน์
“พอโตขึ้น ร่างกายแม่ก็ขยาย เสื้อผ้าชุดเดิมใส่ไม่ได้แล้ว แต่ดร.ไมเคิลจะช่วยแก้ไขเรื่องนี้และทำให้แม่รู้สึกดีขึ้น” แม่ในสมุดภาพบอกกับลูกสาว
เธออธิบายเรื่องที่ไปทำจมูกมาว่า ไม่เพียงทำให้หน้าตาเปลี่ยนไปเท่านั้น “ลูกรัก แม่จะสวยขึ้นด้วยนะ!”
เจสสิกา วาเลนติ บรรณาธิการบริหารเว็บไซต์ www.feministing.com บอกว่าไม่อยากไปก้าวก่ายการตัดสินใจของคนที่ทำศัลยกรรม
“แต่จำเป็นจริงๆ หรือที่เราต้องสอนลูกว่าเราต้อง ‘รู้สึกดีขึ้น’ และต้อง ‘สวย’”
ดร.สตีเฟน กรีนเบิร์ก ศัลยแพทย์ความงามในนิวยอร์ก และผู้เขียน ‘อะ ลิตเติล นิป, อะ ลิตเติล ทัค’ สำทับว่าเด็กเล็กวัยอนุบาลไม่ควรต้องรู้จักหรือสัมผัสกับศัลยกรรมพลาสติก
“ปล่อยให้แกมีความนับถือตัวเองจากภายใน อย่าให้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรูปลักษณ์เลย”
ซาลซอเออร์น้อมรับคำวิจารณ์ต่างๆ นานา โดยทำใจว่าส่วนใหญ่มาจากพวกที่ไม่ได้อ่านหนังสือของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
“พวกเขาตัดสินจากปก หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นด้วยเจตนารมณ์บริสุทธิ์ ไม่ได้พยายามจะคดโกงสังคม และไม่ได้เชิดชูศัลยกรรมความงาม ผมไม่ได้หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ที่เด็กๆ ต้องอ่านกับพ่อแม่ก่อนเข้านอน”