เหยื่อศัลยกรรมดูดไขมัน เจ้าของธุรกิจสปา ฟ้อง รพ.เวชธานี เรียกค่าเสียหาย 4 ล้านบาท พร้อมดอกร้อยละ 7.5 หลังเข้าผ่าตัดดูดไขมันบริเวณเอวทั้งสองข้าง แล้วแผลติดเชื้อ มีน้ำเหลืองไหล สะดือหาย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ หนำซ้ำปิดข้อมูลทางการรักษา ขอพบแพทย์อำนวยการ กับบ่ายเบี่ยง แถมแพทย์เจ้าของไข้ลาออก ย้ำ อยากให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานในการรักษาคนไข้
วันนี้ (31 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก น.ส.ศรีหทัย หรือ นงลักษณ์ บวรธรรมรัตน์ อายุ 37 ปี เจ้าของธุรกิจสปาแห่งหนึ่ง ใน จ.ราชบุรี ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เวชธานี จำกัด (มหาชน) ของ รพ.เวชธานี และ นพ.ฉันทัส กลกิจโกวินท์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ 4,639,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2550 โจทก์ได้ไปพบจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ให้บริการเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดดูดไขมันบริเวณปีกด้านหลังทั้งสองข้างเป็นเงิน 64,000 บาท และบริเวณเอวทั้งสองข้างเป็นเงิน 95,000 บาท รวมเป็นเงิน 159,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้ทราบว่าเป็นวิธีการปลอดภัยไม่เจ็บ แผลที่ผ่าตัดจะมีลักษณะเหมือนกับแผล ซึ่งเกิดจากการคลอดโดยวิธีการผ่าตัด และจะหายเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ โจทก์จึงยินยอมเข้ารับการผ่าตัดดูดไขมันในวันที่ 31 ม.ค.2550 โดยจำเลยที่ 2 แต่ระหว่างนอนรักษาอยู่ที่ รพ.จำเลยที่ 1 โจทก์ไม่สามารถขยับตัวได้ เนื่องจากมีอาการปวดบริเวณหลัง และเอวอย่างรุนแรง มีตุ่มพุพอง มีน้ำเหลืองไหลออกจากแผล ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนโจทก์กลับไปพักฟื้นที่บ้าน และจำเลยที่ 2 นัดให้มาผ่าตัดไหมในวันที่ 7 ก.พ.2550 โดยแผลเริ่มแยกปริมีน้ำเหลืองไหลออกมา จำเลยที่ 2 แจ้งว่า อาการปกติ แผลจะหายเอง
โจทก์ระบุฟ้องอีกว่า เมื่อมาพักฟื้นที่บ้านแผลที่เอวด้านขวาเริ่มปริ และมีน้ำเหลืองไหล เช่นเดียวกับที่สะดือ ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่า แต่ละวันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า 3-4 ชุด และบางครั้งก็มีไขมันจากหน้าท้องโผล่ออกมาจากแผล ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เมื่อสอบถามไปยังจำเลยที่ 2 ก็บอกว่า ปกติดี หลังจากนั้นราว 2 เดือน เมื่อแผลเริ่มหายกลับเกิดเป็นรอยนูนขนาดใหญ่ที่หน้าท้องถึงเอวทั้ง 2 ข้าง มีอาการปวดเมื่อเคลื่อนไหวแรงๆ ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2550 โจทก์ได้ขอคำปรึกษาเพื่อหาทางแก้ไข และได้รับคำแนะนำจากจำเลยที่ 2 ว่า ควรผ่าตัดดูดไขมันบริเวณขา และเอวทั้ง 2 ข้าง โดยโจทก์ยินยอมผ่าตัดดูดไขมันในวันที่ 3 เม.ย. 2550 และต้องเสียค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมจำนวน 80,000 บาท อีก แต่ผลการผ่าตัดไม่ทำให้อาการดีขึ้น และน้ำหนักตัวก็ไม่ลดลง
การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงถือเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังทำให้โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจจนไม่สามารถประกอบกิจการงานได้เช่นปกติ ถือเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าผ่าตัดรักษาพยาบาล ค่าขาดไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถทำงานได้ และค่าสินไหมทดแทนความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,639,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป
นางศรีหทัย บวรธรรมรัตน์ เผยว่า ตนเป็นเจ้าของสปาชื่อ วาสิตา อยู่ที่ อ.เมืองราชบุรี โดยตนรู้สึกว่าได้ปล่อยให้ตัวเองอ้วนมีน้ำนักถึง 98 กก.เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับหน้าที่การงาน จึงสนใจโฆษณาผ่าตัดรีดไขมันของ รพ.เวชธานีลาดพร้าว ในนิตยสารแนวสุขภาพหัวนอกฉบับหนึ่ง ตนตกลงใจไปพบแพทย์เจ้าของไข้ชื่อ นพ.ฉันทัต และเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เพื่อประเมินอันตราย และทราบลักษณะการรักษาในเบื้องต้น โดยแพทย์บอกว่า ถ้าไม่อยากเจ็บให้ผ่ารอบเอวดูดไขมันออกด้วยวิธีเย็บชั้นเดียว เอวจะหายไป 10 นิ้ว เจ็บแค่ 2 วัน และแผลหายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นจึงตกลงใจจ่ายค่าผ่าไขมัน เย็บปีก 2 ข้างและดูดไขมัน 159,000 บาท ปรากฏว่า เมื่อผ่าไปครั้งแรก แผลไม่หายแถมมีน้ำเหลืองเยิ้ม พอไปพบแพทย์ก็ต้องผ่าตัดแก้ไขครั้งที่สอง เสียเงินไปอีกแสนกว่าบาท แถมสะดือก็หาย เหลือแต่รอยแผลเป็นดำๆ ต่อมาตนทราบจากเพื่อนที่ไปผ่าตัดในลักษณะคล้ายกันที่โรงพยาบาลอื่น ก็ทราบว่าเขาผ่าตัดแผลได้ดีและไม่มีปัญหาแถมเสียเงินแค่ 65,000 บาท เมื่อทราบดังนั้นตนจึงไปหาแพทย์อำนวยการแต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ให้พบ แถมแพทย์เจ้าของไข้ก็ลาออกไปอีก ทาง รพ.เวชธานี บอกว่าจะแก้ไขแผลให้แต่ไม่คืนเงินกับใช้ค่าเสียหายให้ ส่วนที่สะดือหายไปหมอจะทำสะดือปลอมให้ หรือถ้าไม่ทำ ก็ให้ไปที่อื่น ตนจึงรู้สึกโกรธมาก ตนเสียเงินไปเพราะเรื่องนี้ 3 แสนกว่าบาท ความจริงตนไม่อยากดังไม่อยากมีเรื่องกับหมอแต่หมอไล่ตนออกจากโรงพยาบาลอย่างนี้ตนรับไม่ได้ แถมพยายามปกปิดข้อมูลทางแพทย์ไม่ให้ตนมีพยานหลักฐานในการรักษา แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ก็ตามหาตัวยาก จึงอย่างให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานในการรักษาคนไข้ว่า หมอและโรงพยาบาลควรมีความระมัดระวังมากกว่านี้
วันนี้ (31 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก น.ส.ศรีหทัย หรือ นงลักษณ์ บวรธรรมรัตน์ อายุ 37 ปี เจ้าของธุรกิจสปาแห่งหนึ่ง ใน จ.ราชบุรี ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เวชธานี จำกัด (มหาชน) ของ รพ.เวชธานี และ นพ.ฉันทัส กลกิจโกวินท์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ 4,639,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2550 โจทก์ได้ไปพบจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ให้บริการเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดดูดไขมันบริเวณปีกด้านหลังทั้งสองข้างเป็นเงิน 64,000 บาท และบริเวณเอวทั้งสองข้างเป็นเงิน 95,000 บาท รวมเป็นเงิน 159,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้ทราบว่าเป็นวิธีการปลอดภัยไม่เจ็บ แผลที่ผ่าตัดจะมีลักษณะเหมือนกับแผล ซึ่งเกิดจากการคลอดโดยวิธีการผ่าตัด และจะหายเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ โจทก์จึงยินยอมเข้ารับการผ่าตัดดูดไขมันในวันที่ 31 ม.ค.2550 โดยจำเลยที่ 2 แต่ระหว่างนอนรักษาอยู่ที่ รพ.จำเลยที่ 1 โจทก์ไม่สามารถขยับตัวได้ เนื่องจากมีอาการปวดบริเวณหลัง และเอวอย่างรุนแรง มีตุ่มพุพอง มีน้ำเหลืองไหลออกจากแผล ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนโจทก์กลับไปพักฟื้นที่บ้าน และจำเลยที่ 2 นัดให้มาผ่าตัดไหมในวันที่ 7 ก.พ.2550 โดยแผลเริ่มแยกปริมีน้ำเหลืองไหลออกมา จำเลยที่ 2 แจ้งว่า อาการปกติ แผลจะหายเอง
โจทก์ระบุฟ้องอีกว่า เมื่อมาพักฟื้นที่บ้านแผลที่เอวด้านขวาเริ่มปริ และมีน้ำเหลืองไหล เช่นเดียวกับที่สะดือ ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่า แต่ละวันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า 3-4 ชุด และบางครั้งก็มีไขมันจากหน้าท้องโผล่ออกมาจากแผล ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เมื่อสอบถามไปยังจำเลยที่ 2 ก็บอกว่า ปกติดี หลังจากนั้นราว 2 เดือน เมื่อแผลเริ่มหายกลับเกิดเป็นรอยนูนขนาดใหญ่ที่หน้าท้องถึงเอวทั้ง 2 ข้าง มีอาการปวดเมื่อเคลื่อนไหวแรงๆ ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2550 โจทก์ได้ขอคำปรึกษาเพื่อหาทางแก้ไข และได้รับคำแนะนำจากจำเลยที่ 2 ว่า ควรผ่าตัดดูดไขมันบริเวณขา และเอวทั้ง 2 ข้าง โดยโจทก์ยินยอมผ่าตัดดูดไขมันในวันที่ 3 เม.ย. 2550 และต้องเสียค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมจำนวน 80,000 บาท อีก แต่ผลการผ่าตัดไม่ทำให้อาการดีขึ้น และน้ำหนักตัวก็ไม่ลดลง
การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงถือเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังทำให้โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจจนไม่สามารถประกอบกิจการงานได้เช่นปกติ ถือเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าผ่าตัดรักษาพยาบาล ค่าขาดไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถทำงานได้ และค่าสินไหมทดแทนความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,639,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป
นางศรีหทัย บวรธรรมรัตน์ เผยว่า ตนเป็นเจ้าของสปาชื่อ วาสิตา อยู่ที่ อ.เมืองราชบุรี โดยตนรู้สึกว่าได้ปล่อยให้ตัวเองอ้วนมีน้ำนักถึง 98 กก.เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับหน้าที่การงาน จึงสนใจโฆษณาผ่าตัดรีดไขมันของ รพ.เวชธานีลาดพร้าว ในนิตยสารแนวสุขภาพหัวนอกฉบับหนึ่ง ตนตกลงใจไปพบแพทย์เจ้าของไข้ชื่อ นพ.ฉันทัต และเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เพื่อประเมินอันตราย และทราบลักษณะการรักษาในเบื้องต้น โดยแพทย์บอกว่า ถ้าไม่อยากเจ็บให้ผ่ารอบเอวดูดไขมันออกด้วยวิธีเย็บชั้นเดียว เอวจะหายไป 10 นิ้ว เจ็บแค่ 2 วัน และแผลหายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นจึงตกลงใจจ่ายค่าผ่าไขมัน เย็บปีก 2 ข้างและดูดไขมัน 159,000 บาท ปรากฏว่า เมื่อผ่าไปครั้งแรก แผลไม่หายแถมมีน้ำเหลืองเยิ้ม พอไปพบแพทย์ก็ต้องผ่าตัดแก้ไขครั้งที่สอง เสียเงินไปอีกแสนกว่าบาท แถมสะดือก็หาย เหลือแต่รอยแผลเป็นดำๆ ต่อมาตนทราบจากเพื่อนที่ไปผ่าตัดในลักษณะคล้ายกันที่โรงพยาบาลอื่น ก็ทราบว่าเขาผ่าตัดแผลได้ดีและไม่มีปัญหาแถมเสียเงินแค่ 65,000 บาท เมื่อทราบดังนั้นตนจึงไปหาแพทย์อำนวยการแต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ให้พบ แถมแพทย์เจ้าของไข้ก็ลาออกไปอีก ทาง รพ.เวชธานี บอกว่าจะแก้ไขแผลให้แต่ไม่คืนเงินกับใช้ค่าเสียหายให้ ส่วนที่สะดือหายไปหมอจะทำสะดือปลอมให้ หรือถ้าไม่ทำ ก็ให้ไปที่อื่น ตนจึงรู้สึกโกรธมาก ตนเสียเงินไปเพราะเรื่องนี้ 3 แสนกว่าบาท ความจริงตนไม่อยากดังไม่อยากมีเรื่องกับหมอแต่หมอไล่ตนออกจากโรงพยาบาลอย่างนี้ตนรับไม่ได้ แถมพยายามปกปิดข้อมูลทางแพทย์ไม่ให้ตนมีพยานหลักฐานในการรักษา แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ก็ตามหาตัวยาก จึงอย่างให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานในการรักษาคนไข้ว่า หมอและโรงพยาบาลควรมีความระมัดระวังมากกว่านี้