ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งกว่า 12 จุดรับตลาดหุ้นทั่วโลก บวกกับแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันทุบสถิติสูงสุดรอบใหม่ โดยนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิเกือบ 2.8 พันล้านบาท บล.ทิสโก้ ชี้เม็ดเงินเฮดจ์ฟันด์ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ลุ้นดัชนีทะลุ 900 จุดในเดือน พ.ค.นี้ หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สดใส ด้าน "วิวัฒน์" ชี้ การเมืองจะเริ่มปะทุฉุดตลาดหุ้น ตั้งแต่คดียุบพรรคปลายไตรมาส 3 และยุบสภาในไตรมาสแรกปีหน้า
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 เม.ย.) ได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่อีกครั้ง รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 847.66 จุด และต่ำสุดที่ 838.54 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 845.43 จุด เพิ่มขึ้น 12.05 จุด คิดเป็น 1.45% มูลค่าการซื้อขาย 28,146.08 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,756.55 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 9.58 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,746.96 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า กองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จากต่างประเทศยังคงเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28% บวกกับราคาหุ้นไทยถูก มีค่าพีอีต่อกำไรสุทธิ (PEG) อยู่ที่ 0.4 เท่า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย
ขณะเดียวกัน จากการที่ดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำทำให้การฝากเงินไม่คุ้มจึงมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2 นี้ เพราะตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค แต่จะเข้ามาในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้นๆ เท่านั้น ก่อนจะมีการชะลอการลงทุนในช่วงปลายเดือนแต่ละเดือน เพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา หลังจากนั้นนักลงทุนจะพิจารณาการลงทุนใหม่อีกครั้ง
สำหรับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนจะเข้ามาลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น หุ้นถ่านหิน น้ำมัน อาหาร และเหล็ก จากการที่ราคาสินค้าดังกล่าวได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้านั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 860 จุดได้ แต่จะมีการชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงปลายเดือนเพื่อรอดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากมีทิศทางที่ดีจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย ที่ดัชนีอาจจะสามารถปรับตัวแตะระดับ 900 จุดได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ หากนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท
ในทางตรงกันข้า หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ติดลบ จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นต่างปรับตัวลดลง โดยนักวิเคราะห์ต่างประเทศประเมินว่าจีดีพีของอเมริกาจะเติบโต 0.2-0.4% แต่ทางบล.ทิสโก้ ประเมินว่าจีดีพีของอเมริกาจะติดลบ 0.5%
ด้านปัจจัยด้านการเมืองในประเทศนั้น นายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยุบพรรคชาติไทยและมัชณิมาธิปไตย ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาก่อนส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคในไตรมาส 4 ส่วนพรรคพลังประชาชนจะเข้าสู่ขบวนการยุบพรรคต่อไป และในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 และ 309 การเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคาดว่าในไตรมาส 1/52 จะมีการยุบสภา
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดคาดการณ์ บวกกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 1/51
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 เม.ย.) คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ จากการที่นักลงทุนจะยังคงเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวในระดับสูง และผลประกอบการไตรมาส 1/51 ของบริษัทจดทะเบียน แต่นักลงทุนต้องติดตามการประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะเริ่มทยอยออกมา ซึ่งอาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 840 จุด และแนวต้านที่ระดับ 850 จุด
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ และจากการที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่ผลประกอบการไตรมาส 1/51 ของสถาบันการเงินต่างๆ ออกมาดีทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ แต่จากการที่ในปลายเดือนนี้ สหรัฐฯ จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนเพื่อรอติดตามตัวเลขดังกล่าว แต่ในระยะสั้นคาดดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ที่ 850 จุด ซึ่งหากปรับตัวเพิ่มสูงกว่า850จุด ได้ ก็สามารถที่จะไปแตะที่ 860 จุด ได้"
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 เม.ย.) ได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่อีกครั้ง รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 847.66 จุด และต่ำสุดที่ 838.54 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 845.43 จุด เพิ่มขึ้น 12.05 จุด คิดเป็น 1.45% มูลค่าการซื้อขาย 28,146.08 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,756.55 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 9.58 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,746.96 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า กองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จากต่างประเทศยังคงเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28% บวกกับราคาหุ้นไทยถูก มีค่าพีอีต่อกำไรสุทธิ (PEG) อยู่ที่ 0.4 เท่า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย
ขณะเดียวกัน จากการที่ดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำทำให้การฝากเงินไม่คุ้มจึงมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2 นี้ เพราะตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค แต่จะเข้ามาในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้นๆ เท่านั้น ก่อนจะมีการชะลอการลงทุนในช่วงปลายเดือนแต่ละเดือน เพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา หลังจากนั้นนักลงทุนจะพิจารณาการลงทุนใหม่อีกครั้ง
สำหรับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนจะเข้ามาลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น หุ้นถ่านหิน น้ำมัน อาหาร และเหล็ก จากการที่ราคาสินค้าดังกล่าวได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้านั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 860 จุดได้ แต่จะมีการชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงปลายเดือนเพื่อรอดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากมีทิศทางที่ดีจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย ที่ดัชนีอาจจะสามารถปรับตัวแตะระดับ 900 จุดได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ หากนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท
ในทางตรงกันข้า หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ติดลบ จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นต่างปรับตัวลดลง โดยนักวิเคราะห์ต่างประเทศประเมินว่าจีดีพีของอเมริกาจะเติบโต 0.2-0.4% แต่ทางบล.ทิสโก้ ประเมินว่าจีดีพีของอเมริกาจะติดลบ 0.5%
ด้านปัจจัยด้านการเมืองในประเทศนั้น นายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยุบพรรคชาติไทยและมัชณิมาธิปไตย ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาก่อนส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคในไตรมาส 4 ส่วนพรรคพลังประชาชนจะเข้าสู่ขบวนการยุบพรรคต่อไป และในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 และ 309 การเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคาดว่าในไตรมาส 1/52 จะมีการยุบสภา
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดคาดการณ์ บวกกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 1/51
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 เม.ย.) คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ จากการที่นักลงทุนจะยังคงเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวในระดับสูง และผลประกอบการไตรมาส 1/51 ของบริษัทจดทะเบียน แต่นักลงทุนต้องติดตามการประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะเริ่มทยอยออกมา ซึ่งอาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 840 จุด และแนวต้านที่ระดับ 850 จุด
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ และจากการที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่ผลประกอบการไตรมาส 1/51 ของสถาบันการเงินต่างๆ ออกมาดีทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ แต่จากการที่ในปลายเดือนนี้ สหรัฐฯ จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนเพื่อรอติดตามตัวเลขดังกล่าว แต่ในระยะสั้นคาดดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ที่ 850 จุด ซึ่งหากปรับตัวเพิ่มสูงกว่า850จุด ได้ ก็สามารถที่จะไปแตะที่ 860 จุด ได้"