นับจากต้นปีที่ผ่านมา ระยะเวลา 3 เดือนหรือไตรมาสแรกของปี 2551 ก็สิ้นสุดลงไปแล้ว ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับสายลมที่พัดผ่าน ทว่าปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่าย ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในช่วงภาวะถดถอย หากเปรียบไปแล้วก็คล้ายดั่งคนไข้ที่อาการทรุดหนักแ ละโคม่าถึงขนาดต้องพักรักษาตัวกันอยู่ในห้องไอซียูกันเลยทีเดียว
เมื่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงพลอยทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่ตามไปด้วยดุจลูกโซ่ หลายคนถึงขนาดให้นิยามวิกฤติการณ์นี้ว่า “แฮมเบอเกอร์ ไครซิส” กันเลย แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะพยายามให้ยาขนานใหญ่ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาหลายต่อหลายครั้ง ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นเท่าไรนัก และยังมีราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาคอยกดดันอีกด้วย
ส่วนภาวะการลงทุนในประเทศ ยังมีปัจจัยบวกมาสนับสนุนบ้าง อย่างการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปลดล็อคมาตรการกันสำรอง 30% หลังจากมาสร้างความหนักอกหนักใจให้กับนักลงทุนได้ประมาณปีกว่าๆ และการที่รัฐบาลประกาศนโยบายในการลงทุนตามแผนพัฒนาประเทศมูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า พลังงาน และการท่องเที่ยว ตลอดจนมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เป็นต้น
จากมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นด้วย หลายฝ่ายมองว่าตลาดหลักทรัพย์จะได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ย โดยจากการประเมินมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุน มูลค่าหุ้นไทยยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูงประมาณ 26-27%
วันนี้ คอลัมน์ “Best of Fund” ขอพามาดูผลการดำเนินงานของกองทุนรวมหุ้นกัน ทั้งนี้ จากข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม สิ้นสุด ณ วันที่ 31 2551 ว่ามีกองทุนใดน่าสนใจบ้าง เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นในการลงทุนต่อไป พร้อมกับเปิดมุมมองและนโยบายในการเลือกลงทุนของผู้บริหารกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนมาเป็นอันดับ 1 ด้วย
ส่วนกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 คือกองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผล ภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (Year to Date) อยู่ที่ 4.12% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 8.91%
อันดับ 2 กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม บริหารโดย บลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.23% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 7.02% อันดับ 3 กองทุนเปิดอยุธยารักษ์ก้าวหน้า บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.42% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 5.21%
อันดับ 4 กองทุนเปิดทิสโก้ทวีทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.37% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 5.16% อันดับ 5 กองทุนเปิดทีซีเอ็มหุ้นทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.14% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 4.93%
อันดับ 6 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.12% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.67% อันดับ 7 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง บริหารโดย บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.15% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.64%
อันดับ 8 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 5 บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.55% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.24% อันดับ 9 กองทุนเปิดแจนยัวรี่เอ็ฟเฟค 1 บริหารโดย บลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.61% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.18%
และอันดับ 10 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล ภายใต้การบริหารของ บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทน ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.75% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.04%
เปิดกลยุทธ์กองทุนอันดับ 1
ก่อนหน้านี้ ธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เล่าให้ฟังว่า กองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผลจะเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีผลการดำเนินงานที่ดี ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิปรับตัวได้ดี
ทั้งนี้ ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวขึ้นไปประมาณ 12-30% ซึ่งราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 15-16% ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยถือเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ถูกที่สุดในโลกด้วย ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ปรับขึ้นไปประมาณ 15-17%
นอกจากนี้ กองทุนจะมีการคัดเลือกหุ้นที่ดีของกลุ่มอุตสาหกรรม และให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ค่อนข้างต่ำ และมีพีอีเรโชเพียง 11 เท่า ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีพีอีเรโชอยู่ที่ 14-15 เท่า
ส่วนการปรับพอร์ตลงทุนนั้น กองทุนยังไม่มีนโยบายในการปรับพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากพีอีเรโชต่ำ และมูลค่าหุ้นยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้จะมีการฟื้นตัวได้ดี หลังจากภาครัฐมีมาตรการต่างๆ ออกมา ซึ่งจะส่งผลดีตลาดหุ้นด้วย หากเป็นมาตรการที่ยั่งยืนก็จะช่วยได้มากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในระหว่างทางราคาหุ้นอาจจะมีความผันผวนจากปัจจัยภาวะตลาดโลก
ธีรนาถ บอกว่า กองทุนนี้เป็นตัวแทนของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ต้องคัดเลือกหุ้นเอง โดยสามารถลงทุนในหุ้นได้ถึง 20 ตัว ซึ่งดีกว่าการที่นักลงทุนเลือกลงทุนเอง และไม่ได้กระจายความ หรือหากนักลงทุนกระจายมากเกินไปก็จะไม่เกิดผลดีเช่นกัน แต่การให้ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนหุ้นให้จะส่งผลดีกว่า โดยให้ผู้จัดการกองทุนติดตามสถานการณ์ของหุ้นแทน แทนที่นักลงทุนจะมาวิจัยด้วยตนเอง ซึ่งง่ายกว่า และมีการจ่ายปันผลอีกด้วย
สำหรับกองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผล เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งทุน (Equity Fund) ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน จดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2537 ไม่กำหนดอายุโครงการ โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงทั้งในแง่ของมูลค่าและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งนี้ บริษัทจัดการมีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และหรือ เงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด อย่างไรก็ตาม อาจมีบางขณะที่บริษัทจัดการไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามสัดส่วนการลงทุนที่กำหนดไว้ได้ด้วย
ส่วนกองทุนนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในอัตราร้อยละ 100 ของผลกำไรสุทธิในแต่ละงวด โดยกำไรสุทธิที่เหลือจากการคำนวณเงินปันผล (ถ้ามี) บริษัทจัดการจะนำไปรวมเป็นกำไรสะสมสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีถัดไป
เมื่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงพลอยทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่ตามไปด้วยดุจลูกโซ่ หลายคนถึงขนาดให้นิยามวิกฤติการณ์นี้ว่า “แฮมเบอเกอร์ ไครซิส” กันเลย แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะพยายามให้ยาขนานใหญ่ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาหลายต่อหลายครั้ง ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นเท่าไรนัก และยังมีราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาคอยกดดันอีกด้วย
ส่วนภาวะการลงทุนในประเทศ ยังมีปัจจัยบวกมาสนับสนุนบ้าง อย่างการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปลดล็อคมาตรการกันสำรอง 30% หลังจากมาสร้างความหนักอกหนักใจให้กับนักลงทุนได้ประมาณปีกว่าๆ และการที่รัฐบาลประกาศนโยบายในการลงทุนตามแผนพัฒนาประเทศมูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า พลังงาน และการท่องเที่ยว ตลอดจนมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เป็นต้น
จากมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นด้วย หลายฝ่ายมองว่าตลาดหลักทรัพย์จะได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ย โดยจากการประเมินมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุน มูลค่าหุ้นไทยยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูงประมาณ 26-27%
วันนี้ คอลัมน์ “Best of Fund” ขอพามาดูผลการดำเนินงานของกองทุนรวมหุ้นกัน ทั้งนี้ จากข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม สิ้นสุด ณ วันที่ 31 2551 ว่ามีกองทุนใดน่าสนใจบ้าง เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นในการลงทุนต่อไป พร้อมกับเปิดมุมมองและนโยบายในการเลือกลงทุนของผู้บริหารกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนมาเป็นอันดับ 1 ด้วย
ส่วนกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 คือกองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผล ภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (Year to Date) อยู่ที่ 4.12% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 8.91%
อันดับ 2 กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม บริหารโดย บลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.23% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 7.02% อันดับ 3 กองทุนเปิดอยุธยารักษ์ก้าวหน้า บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.42% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 5.21%
อันดับ 4 กองทุนเปิดทิสโก้ทวีทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.37% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 5.16% อันดับ 5 กองทุนเปิดทีซีเอ็มหุ้นทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.14% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 4.93%
อันดับ 6 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.12% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.67% อันดับ 7 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง บริหารโดย บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.15% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.64%
อันดับ 8 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 5 บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.55% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.24% อันดับ 9 กองทุนเปิดแจนยัวรี่เอ็ฟเฟค 1 บริหารโดย บลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.61% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.18%
และอันดับ 10 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล ภายใต้การบริหารของ บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทน ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.75% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.04%
เปิดกลยุทธ์กองทุนอันดับ 1
ก่อนหน้านี้ ธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เล่าให้ฟังว่า กองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผลจะเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีผลการดำเนินงานที่ดี ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิปรับตัวได้ดี
ทั้งนี้ ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวขึ้นไปประมาณ 12-30% ซึ่งราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 15-16% ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยถือเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ถูกที่สุดในโลกด้วย ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ปรับขึ้นไปประมาณ 15-17%
นอกจากนี้ กองทุนจะมีการคัดเลือกหุ้นที่ดีของกลุ่มอุตสาหกรรม และให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ค่อนข้างต่ำ และมีพีอีเรโชเพียง 11 เท่า ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีพีอีเรโชอยู่ที่ 14-15 เท่า
ส่วนการปรับพอร์ตลงทุนนั้น กองทุนยังไม่มีนโยบายในการปรับพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากพีอีเรโชต่ำ และมูลค่าหุ้นยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้จะมีการฟื้นตัวได้ดี หลังจากภาครัฐมีมาตรการต่างๆ ออกมา ซึ่งจะส่งผลดีตลาดหุ้นด้วย หากเป็นมาตรการที่ยั่งยืนก็จะช่วยได้มากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในระหว่างทางราคาหุ้นอาจจะมีความผันผวนจากปัจจัยภาวะตลาดโลก
ธีรนาถ บอกว่า กองทุนนี้เป็นตัวแทนของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ต้องคัดเลือกหุ้นเอง โดยสามารถลงทุนในหุ้นได้ถึง 20 ตัว ซึ่งดีกว่าการที่นักลงทุนเลือกลงทุนเอง และไม่ได้กระจายความ หรือหากนักลงทุนกระจายมากเกินไปก็จะไม่เกิดผลดีเช่นกัน แต่การให้ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนหุ้นให้จะส่งผลดีกว่า โดยให้ผู้จัดการกองทุนติดตามสถานการณ์ของหุ้นแทน แทนที่นักลงทุนจะมาวิจัยด้วยตนเอง ซึ่งง่ายกว่า และมีการจ่ายปันผลอีกด้วย
สำหรับกองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผล เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งทุน (Equity Fund) ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน จดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2537 ไม่กำหนดอายุโครงการ โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงทั้งในแง่ของมูลค่าและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งนี้ บริษัทจัดการมีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และหรือ เงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด อย่างไรก็ตาม อาจมีบางขณะที่บริษัทจัดการไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามสัดส่วนการลงทุนที่กำหนดไว้ได้ด้วย
ส่วนกองทุนนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในอัตราร้อยละ 100 ของผลกำไรสุทธิในแต่ละงวด โดยกำไรสุทธิที่เหลือจากการคำนวณเงินปันผล (ถ้ามี) บริษัทจัดการจะนำไปรวมเป็นกำไรสะสมสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีถัดไป