ผู้จัดการรายวัน- เตือนคนไทยรับมือน้ำมันตลอดปี 2551 เฉลี่ยแพงกว่าปีที่แล้วแน่นอน เริ่มต้นแค่ 2-3 เดือนน้ำมันดิบเฉลี่ย 100 เหรียญต่อบาร์เรลลากยาวแล้ว ขณะที่ปีที่แล้วแค่สั้นๆ ไม่ถึงสัปดาห์และอาจได้เห็นน้ำมันดิบทดสอบระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรล เบนซิน 95 ทะลุ 35 บาทแล้ว จับตาน้ำมันเตาพุ่งกระฉูดกระทบธุรกิจขนาดกลางและเล็กขาดทุนเพิ่ม ด้านผู้ค้าปลีกน้ำมันเตรียมทำใจ 2 เดือนแรกขาดทุนแล้วทั้งปีระทึกหนัก ขณะที่ก๊าซหุงต้มรถยนต์หลัง ก.ค.ขยับแน่เพื่อลดการนำเข้า ด้านค่าไฟ มิ.ย.จ่อขึ้นตาม
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันและอดีตผู้บริหารบางจาก เปิดเผยถึงทิศทางราคาน้ำมันไตรมาส 2 ว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบจะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องอีกเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวของสหรัฐอเมริกาที่จะทำให้การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเพิ่ม ขณะที่สต็อกเบนซินสหรัฐค่อนข้างต่ำ ขณะที่ไตรมาส 3 ก็จะเริ่มเห็นความต้องการดีเซลที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับฤดูหนาวดีเซลก็จะเริ่มสู่ขาขึ้น ซึ่งหากเป็นไปตามวัฏจักรฤดูกาลน้ำมันที่เคยเกิดขึ้นก็จะส่งผลให้ปี 2551 เฉลี่ยราคาน้ำมันจะสูงกว่าปีที่แล้วค่อนข้างแน่นอน
“ปีที่แล้วน้ำมันดิบตลาดโลกในส่วนของเวสเท็กซัสแตะระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรลแค่สั้นๆเพียงสัปดาห์เดียว และน้ำมันเริ่มแพงช่วงปลายปี ทำให้น้ำมันขายปลีกของไทยเห็นราคาแพงช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายแต่ตอนต้นปีไม่ได้แพงมาก แต่ปีนี้เริ่มต้นน้ำมันดิบก็นิ่งอยู่ที่ 100-110 เหรียญต่อบาร์เรลเฉลี่ย 2-3 เดือนแล้วดังนั้นเฉลี่ยตลอดปีนี้โอกาสที่จะเห็นน้ำมันขายปลีกไทยเฉลี่ยแพงกว่าปีที่แล้วค่อนข้างสูงและคาดว่าน้ำมันดิบเวสเท็กซัสเฉลี่ยจะอยู่ที่ 105-110 เหรียญต่อบาร์เรลจนกว่าจะมีการประชุมโอเปกเดือน ก.ย.”นายมนูญ กล่าว
เบนซินทะลุ 35 บ.-จับตาน้ำมันดิบทดสอบ 120 เหรียญ
นายมนูญ กล่าว่า สำหรับราคาขายปลีกของไทยช่วงปลายไตรมาส 2 คงต้องติดตามกลุ่มเบนซินเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวสหรัฐที่จะส่งผลให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นขณะที่สำรองเบนซินลดต่ำลงแม้จะมีความพยายามกดดันให้โอเปกเพิ่มการผลิตแต่ล่าสุดโอเปกยืนยันคงการผลิตระดับเดิมและต้องไปรอลุ้นการประชุมเดือนก.ย.อีกครั้ง ขณะนี้ราคาเบนซินได้ทะลุ 35 บาท/ลิตรแล้ว ก็คงต้องรอลุ้นเดือนก.ย.อีกว่าแตะระดับ 36 บาท/ลิตรหรือไม่
ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบขณะนี้ยังสวิงตัวระดับสูงซึ่งราคาปิดตลาดวันที่ 7 เม.ย. 51 เวสต์เท็กซัสที่เคยลดไปต่ำก็เริ่มกลับมาสูงระดับ 109 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งนักค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกระบุว่าราคาน้ำมันดิบอาจจะมีการทดสอบที่ระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรลได้ดังนั้นความผันผวนจะยังคงอยู่และโอกาสที่ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกก็ยังมีสูง ส่วนราคาที่หลายฝ่ายมองน้ำมันดิบ 150 เหรียญต่อบาร์เรลในระยะ 1-2 ปีก็มีโอกาสจะเป็นไปได้ดังนั้นแล้วมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องวางแผนจัดหาพลังงานทดแทนเชิงรุกให้มากขึ้นควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงต้นทุนพลังงานที่แท้จริงเพื่อให้เกิดการประหยัด
SMEs รับมือน้ำมันเตาพุ่ง
สำหรับราคาน้ำมันเตาที่เป็นต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมส่วนหนึ่งโดยเฉพาะขนาดกลางและย่อม(SMEs) ขณะนี้ราคาอยู่ระดับ 500 เหรียญต่อตันและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งขณะนี้คงจะต้องติดตามราคาที่มีแนวโน้มจะก้าวสู่ระดับ 525-535 เหรียญต่อตันซึ่งหากไปถึงระดับดังกล่าวจะกระทบกับ SMEs ที่ต้องแบกภาระมากขึ้นและอาจนำไปสู่การขาดทุนได้หากไม่เตรียมพร้อมรับมือ
“การผลิตน้ำมันเตาขณะนี้มีเพียงไทยออยล์ และบางจากเท่านั้น และทราบว่าเบื้องต้นบางจากจะมีการหยุดซ่อมเพื่อปรับปรุงหน่วยแครกเกอร์เพิ่มเติม ซึ่งดังนั้นระยะยาวน้ำมันเตาจะน้อยลงเพราะส่วนใหญ่จะหันไปแครกเกอร์เพื่อทำน้ำมันใสมากกว่า”นายมนูญ กล่าว
ปีนี้ผู้ค้าเตรียมขาดทุนหนัก
สำหรับค้าปลีกน้ำมันเมื่อเริ่มต้นปีก็มีค่าการตลาดที่ตกต่ำ โดยเฉพาะ 2 เดือนแรกปตท.ก็ระบุว่าขาดทุนแล้วถึง 1,600 ล้านบาท ดังนั้นภาพรวมทั้งปีหากค่าการตลาดยังเป็นเช่นปัจจุบันการขาดทุนปีนี้ก็จะมีสูงมาก และเมื่อผู้ค้ามีค่าการตลาดต่ำประสบภาวะขาดทุนก็ต้องปิดกิจการไปตัวอย่างเห็นได้ชัดที่ปัจจุบันมีผู้ค้าหลักอยู่เพียง 5 รายเท่านั้นผู้ค้ารายเล็กต้องปิดตัวเองลงเพราะก่อนหน้าเคยซื้อน้ำมันจากผู้ค้าช่วงหรือจ็อบเบอร์ได้แต่ตอนหลังผู้ค้ารายใหญ่ขาดทุนจึงงดส่งน้ำมันจ็อบเบอร์ ขณะที่รายกลางอย่างเจ็ท คิวเอท บีพีที่สุดก็อยู่ไม่ได้เมื่อผู้เล่นในตลาดน้อยหากมีการแทรกแซงก็จะทำให้รับภาระขาดทุนมากที่สุดปั๊มเหล่านี้ก็จะไม่มีการปรับปรุงกิจการ
จับตาก๊าซหุงต้ม-ค่าไฟพุ่งตาม
แหล่งข่าวจากระทรวงพลังงาน กล่าวถึงทิศทางราคาก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือ Ft รอบใหม่(มิ.ย.-ก.ย.) ว่า ส่วนของราคาก๊าซหุงต้มค่อนข้างแน่นอนว่าส่วนที่ใช้รถยนต์(ภาคขนส่ง)จะต้องปรับขึ้นแน่นอนเนื่องจากล่าสุดเม.ย.ปตท.ต้องนำเข้าจากต่างประเทศที่ราคา สูงกว่า 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาในประเทศถูกกำหนดเป็นอัตราคงที่ 320 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้มีส่วนต่างประมาณ 400 เหรียญสหรัฐ เทียบเป็นราคาขายปลีกต้องขึ้นราคาภาคขนส่ง 7-8 บาท/กก. แต่ทั้งนี้จะทอยขึ้นหรือปรับทีเดียวก็ต้องรอนโยบาย
จาก รมว.พลังงานเป็นสำคัญ
สำหรับค่าไฟฟ้าหากพิจารณาต้นทุนก๊าซธรรมชาติ และเชื้อเพลิงอื่นๆโดยรวมพบว่ามีการปรับขึ้นเล็กน้อย แต่คงจะต้องไปดูปัจจัยค่าเงินบาทว่าจะแข็งค่ามากน้อยเพียงใดหากไม่ได้แข็งค่ามากภาพรวมเมื่อพิจารณาการผลิตไฟจากน้ำที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากโดยรวมยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นมากกว่าปรับลด ส่วนกรณีก๊าซพม่าที่ขัดข้องซึ่งต้องทำให้ใช้น้ำมันเตามาผลิตไฟแทนประมาณ 146 ล้านลิตรนั้นหากคำนวณส่วนนี้แล้วย่อมกระทรวงค่าไฟแน่นอนแต่ทางกระทรวงพลังงานยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่นำภาระส่วนดังกล่าวมาคำนวณค่าไฟโดยบอกเป็นนัยให้ปตท.ในฐานะผู้ซื้อก๊าซฯ เป็นผู้รับผิดชอบ
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันและอดีตผู้บริหารบางจาก เปิดเผยถึงทิศทางราคาน้ำมันไตรมาส 2 ว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบจะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องอีกเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวของสหรัฐอเมริกาที่จะทำให้การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเพิ่ม ขณะที่สต็อกเบนซินสหรัฐค่อนข้างต่ำ ขณะที่ไตรมาส 3 ก็จะเริ่มเห็นความต้องการดีเซลที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับฤดูหนาวดีเซลก็จะเริ่มสู่ขาขึ้น ซึ่งหากเป็นไปตามวัฏจักรฤดูกาลน้ำมันที่เคยเกิดขึ้นก็จะส่งผลให้ปี 2551 เฉลี่ยราคาน้ำมันจะสูงกว่าปีที่แล้วค่อนข้างแน่นอน
“ปีที่แล้วน้ำมันดิบตลาดโลกในส่วนของเวสเท็กซัสแตะระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรลแค่สั้นๆเพียงสัปดาห์เดียว และน้ำมันเริ่มแพงช่วงปลายปี ทำให้น้ำมันขายปลีกของไทยเห็นราคาแพงช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายแต่ตอนต้นปีไม่ได้แพงมาก แต่ปีนี้เริ่มต้นน้ำมันดิบก็นิ่งอยู่ที่ 100-110 เหรียญต่อบาร์เรลเฉลี่ย 2-3 เดือนแล้วดังนั้นเฉลี่ยตลอดปีนี้โอกาสที่จะเห็นน้ำมันขายปลีกไทยเฉลี่ยแพงกว่าปีที่แล้วค่อนข้างสูงและคาดว่าน้ำมันดิบเวสเท็กซัสเฉลี่ยจะอยู่ที่ 105-110 เหรียญต่อบาร์เรลจนกว่าจะมีการประชุมโอเปกเดือน ก.ย.”นายมนูญ กล่าว
เบนซินทะลุ 35 บ.-จับตาน้ำมันดิบทดสอบ 120 เหรียญ
นายมนูญ กล่าว่า สำหรับราคาขายปลีกของไทยช่วงปลายไตรมาส 2 คงต้องติดตามกลุ่มเบนซินเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวสหรัฐที่จะส่งผลให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นขณะที่สำรองเบนซินลดต่ำลงแม้จะมีความพยายามกดดันให้โอเปกเพิ่มการผลิตแต่ล่าสุดโอเปกยืนยันคงการผลิตระดับเดิมและต้องไปรอลุ้นการประชุมเดือนก.ย.อีกครั้ง ขณะนี้ราคาเบนซินได้ทะลุ 35 บาท/ลิตรแล้ว ก็คงต้องรอลุ้นเดือนก.ย.อีกว่าแตะระดับ 36 บาท/ลิตรหรือไม่
ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบขณะนี้ยังสวิงตัวระดับสูงซึ่งราคาปิดตลาดวันที่ 7 เม.ย. 51 เวสต์เท็กซัสที่เคยลดไปต่ำก็เริ่มกลับมาสูงระดับ 109 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งนักค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกระบุว่าราคาน้ำมันดิบอาจจะมีการทดสอบที่ระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรลได้ดังนั้นความผันผวนจะยังคงอยู่และโอกาสที่ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกก็ยังมีสูง ส่วนราคาที่หลายฝ่ายมองน้ำมันดิบ 150 เหรียญต่อบาร์เรลในระยะ 1-2 ปีก็มีโอกาสจะเป็นไปได้ดังนั้นแล้วมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องวางแผนจัดหาพลังงานทดแทนเชิงรุกให้มากขึ้นควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงต้นทุนพลังงานที่แท้จริงเพื่อให้เกิดการประหยัด
SMEs รับมือน้ำมันเตาพุ่ง
สำหรับราคาน้ำมันเตาที่เป็นต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมส่วนหนึ่งโดยเฉพาะขนาดกลางและย่อม(SMEs) ขณะนี้ราคาอยู่ระดับ 500 เหรียญต่อตันและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งขณะนี้คงจะต้องติดตามราคาที่มีแนวโน้มจะก้าวสู่ระดับ 525-535 เหรียญต่อตันซึ่งหากไปถึงระดับดังกล่าวจะกระทบกับ SMEs ที่ต้องแบกภาระมากขึ้นและอาจนำไปสู่การขาดทุนได้หากไม่เตรียมพร้อมรับมือ
“การผลิตน้ำมันเตาขณะนี้มีเพียงไทยออยล์ และบางจากเท่านั้น และทราบว่าเบื้องต้นบางจากจะมีการหยุดซ่อมเพื่อปรับปรุงหน่วยแครกเกอร์เพิ่มเติม ซึ่งดังนั้นระยะยาวน้ำมันเตาจะน้อยลงเพราะส่วนใหญ่จะหันไปแครกเกอร์เพื่อทำน้ำมันใสมากกว่า”นายมนูญ กล่าว
ปีนี้ผู้ค้าเตรียมขาดทุนหนัก
สำหรับค้าปลีกน้ำมันเมื่อเริ่มต้นปีก็มีค่าการตลาดที่ตกต่ำ โดยเฉพาะ 2 เดือนแรกปตท.ก็ระบุว่าขาดทุนแล้วถึง 1,600 ล้านบาท ดังนั้นภาพรวมทั้งปีหากค่าการตลาดยังเป็นเช่นปัจจุบันการขาดทุนปีนี้ก็จะมีสูงมาก และเมื่อผู้ค้ามีค่าการตลาดต่ำประสบภาวะขาดทุนก็ต้องปิดกิจการไปตัวอย่างเห็นได้ชัดที่ปัจจุบันมีผู้ค้าหลักอยู่เพียง 5 รายเท่านั้นผู้ค้ารายเล็กต้องปิดตัวเองลงเพราะก่อนหน้าเคยซื้อน้ำมันจากผู้ค้าช่วงหรือจ็อบเบอร์ได้แต่ตอนหลังผู้ค้ารายใหญ่ขาดทุนจึงงดส่งน้ำมันจ็อบเบอร์ ขณะที่รายกลางอย่างเจ็ท คิวเอท บีพีที่สุดก็อยู่ไม่ได้เมื่อผู้เล่นในตลาดน้อยหากมีการแทรกแซงก็จะทำให้รับภาระขาดทุนมากที่สุดปั๊มเหล่านี้ก็จะไม่มีการปรับปรุงกิจการ
จับตาก๊าซหุงต้ม-ค่าไฟพุ่งตาม
แหล่งข่าวจากระทรวงพลังงาน กล่าวถึงทิศทางราคาก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือ Ft รอบใหม่(มิ.ย.-ก.ย.) ว่า ส่วนของราคาก๊าซหุงต้มค่อนข้างแน่นอนว่าส่วนที่ใช้รถยนต์(ภาคขนส่ง)จะต้องปรับขึ้นแน่นอนเนื่องจากล่าสุดเม.ย.ปตท.ต้องนำเข้าจากต่างประเทศที่ราคา สูงกว่า 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาในประเทศถูกกำหนดเป็นอัตราคงที่ 320 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้มีส่วนต่างประมาณ 400 เหรียญสหรัฐ เทียบเป็นราคาขายปลีกต้องขึ้นราคาภาคขนส่ง 7-8 บาท/กก. แต่ทั้งนี้จะทอยขึ้นหรือปรับทีเดียวก็ต้องรอนโยบาย
จาก รมว.พลังงานเป็นสำคัญ
สำหรับค่าไฟฟ้าหากพิจารณาต้นทุนก๊าซธรรมชาติ และเชื้อเพลิงอื่นๆโดยรวมพบว่ามีการปรับขึ้นเล็กน้อย แต่คงจะต้องไปดูปัจจัยค่าเงินบาทว่าจะแข็งค่ามากน้อยเพียงใดหากไม่ได้แข็งค่ามากภาพรวมเมื่อพิจารณาการผลิตไฟจากน้ำที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากโดยรวมยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นมากกว่าปรับลด ส่วนกรณีก๊าซพม่าที่ขัดข้องซึ่งต้องทำให้ใช้น้ำมันเตามาผลิตไฟแทนประมาณ 146 ล้านลิตรนั้นหากคำนวณส่วนนี้แล้วย่อมกระทรวงค่าไฟแน่นอนแต่ทางกระทรวงพลังงานยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่นำภาระส่วนดังกล่าวมาคำนวณค่าไฟโดยบอกเป็นนัยให้ปตท.ในฐานะผู้ซื้อก๊าซฯ เป็นผู้รับผิดชอบ