ผู้จัดการรายวัน - “เสรีพิศุทธ์" ดับเครื่องชน “สมัคร” ยันทำดีเพื่อชาติมาตลอดชีวิต แต่กลับถูกเหยียบย่ำ ลั่นเดินหน้าฟ้องจนถึงที่สุด พร้อมเปิดโปงมีขบวนการโค่นเก้าอี้ ผบ.ตร.เพื่อหวังตำแหน่ง ขณะที่โฆษก ตร.ระบุ หมดสถานภาพการเป็นตำรวจแล้ว ยันวันนี้ ก.ต.ช.แต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่แน่
วานนี้ (10 เม.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวเปิดใจ กรณีถูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ภายหลังถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ว่าที่ออกมาแถลงข่าวเพราะไม่ต้องการให้สังคมสับสน เพราะที่ผ่านมาตนพยายามปิดตัวเงียบมาโดยตลอด ปล่อยกระบวนการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่จำเป็นต้องออกมาพูด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เป็นการให้ร้ายป้ายสีใคร เพราะหากไม่พูดเลยประชาชนจะเกิดความสับสน ไม่ทราบความจริง ทั้งนี้ ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ตนยังไม่เห็นคำสั่งที่ออกมา เห็นแต่ในทีวี และยังยืนยันด้วยว่าตนเองยังคงเป็น ผบ.ตร.ซึ่งตนจะพ้นจากตำแหน่งก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง จึงไม่อยากให้เข้าใจว่าตนถูกให้ออกจากราชการไปแล้วจริงๆ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ให้มีการสอบสวนวินัยร้ายแรงตนเองใน 3 เรื่องคือรถเช่า การตำหนิลูกน้อง และการแต่งตั้งโยกย้าย นั้นตนก็ทราบว่า คนที่ร้องเรียนเป็นนายตำรวจที่ถูกสำรองราชการ อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งเป็นปฎิปักษ์กับตน โดยนายตำรวจคนนั้น นำเรื่องร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีก็เซ็นคำสั่งให้ตนไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี
“เรื่องนี้มีการร้องเรียนผมเพียงวันเดียวแต่ก็สั่งย้ายเลยจะเอาเวลาไหนไปสอบสวน แสดงให้เห็นว่า มีเจตนากลั่นแกล้งให้ผมพ้นจากตำแหน่ง มีการทำเป็นขบวนการ อยากได้ตำแหน่ง ผบ.ตร. จะเห็นได้ว่า คนที่ร้องนายกฯจะฟังได้หรือไม่ ผมขอบอกว่า เขาถูกสำรองราชการไม่รู้เรื่องรถเช่า เรื่องออกคำสั่ง นายกฯพิจารณาเพียงหนังสือร้องเรียน แล้วสั่งผมไปช่วยราชการเป็นการทำได้หรือ ก่อนหน้านี้ผมได้ให้คนกลางไปเจรจากับนายกฯ ว่า หากอยากได้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ผมพร้อมจะลาออก แต่ขอให้ยกเลิกคำสั่งสอบสวนวินัยร้ายแรงผมแต่เรื่องก็เงียบไป”
อดีต ผบ.ตร.กล่าวชี้แจงว่าสำหรับกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องรถเช่านั้น ทาง สตช.ได้รับงบประมาณมาจากคณะรัฐมนตรีอย่างถูกต้อง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนรถ แต่ไม่ได้ซื้อรถเอง เพราะการเช่าจะประหยัดงบประมาณมากกว่า ซึ่งทุกอย่างทำถูกต้องตามขั้นตอน ส่วนเรื่องที่จัดให้มีการแข่งกีฬาและด่าลูกน้องนั้น เห็นว่าการแข่งกีฬาเป็นการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของตำรวจไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชพิธีศพ และการด่าลูกน้องเป็นเพียงคำถามพูดต่อท้ายกับลูกน้องไม่ใช่เป็นคำด่า แต่ถึงขั้นต้องมีการสอบสวนเรื่องนี้เลยหรือ และในข้อร้องเรียนพยายามโยงตนให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน ส่วนประเด็นการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจนั้น คนที่ร้องเรียนไม่รู้กฎหมาย เพราะการแต่งตั้งทุกครั้งสามารถทำได้ทุกอย่าง และผ่านการอนุมัติของ ก.ตร.ทั้งหมด
ยันสอบเพิ่ม 4 ข้อหาไม่ผิด
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นวันที่ 8 เมษายน นายกรัฐมนตรี ก็มีการสั่งสอบสวนตน 4 เรื่องเพราะว่ารู้คำสั่งแรกที่สั่งให้มีการสอบสวนตนนั้นพลาดไปที่ไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนเพียงการสั่งสอบวินัยร้ายแรงเท่านั้น เมื่อรู้ตัวว่าพลาดจึงได้สั่งสอบข้อเท็จจริงขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องที่กล่าวหาว่า ตนทุจริตการสอบสวนผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตลำไยปี 2547 นั้น เรื่องนี้การสอบสวนของตำรวจจำเป็นต้องสอบสวนพยาน ผู้ต้องหาจำนวนมาก ดังนั้นการทำงานต้องใช้เวลาใช้งบประมาณ
“เรื่องนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้งบลับมา 15 ล้านบาท จึงได้ไปเปิดบัญชีสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อเบิกจ่ายเงินในการสอบสวนแต่ละครั้ง โดยผมใช้เงินก้อนนี้ไปเพียง 4 หมื่นบาทเป็นค่าใช้จ่ายการเดินทาง เรื่องที่พัก ส่วนที่เหลือลูกน้องก็นำไปใช้ในการทำงานทั้งนั้น ซึ่งมีหลักฐานตรวจสอบได้ทุกอย่าง”พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่มีการล็อคสเป๊กรถจักรยานยนต์นั้นยืนยันว่า ไม่ได้มีการล็อคสเป๊กทำตามขั้นตอนทุกอย่าง มีการทำทีโออาร์อย่างถูกต้องและสามารถซื้อรถจักรยานยนต์ได้ในราคารต่ำกว่าราคากลาง และเรื่องที่ดินใน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี นั้นตนมีโฉนดถูกต้องโดยรีสอร์ตภูไพรน้ำ ด้านหนึ่งติดแม่น้ำแควน้อย ซึ่งเป็นที่โค้งทำให้น้ำกัดเซาะ ตนจึงได้ประสานไปที่กรมเจ้าท่า เพื่อนำหินดินมาถมป้องกันน้ำกัดเซาะ ซึ่งก็ทำตามขั้นตอนตามขั้นตอนทุกอย่าง อย่างไรก็ตามในรีสอร์ตมีบ้านหลังหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ารุกล้ำพื้นที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์นั้น ตนก็ได้ไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ในระยะเวลา 5 ปี ในราคา 7 หมื่นกว่าบาท
ส่วนข้อกล่าวหาว่าใช้เฮลิคอปเตอร์นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่จะอนุมัตินำไปใช้ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะการทำงานไม่จำเป็นต้องนั่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเดียว ก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัดด้วยมีอำนาจในการใช้เฮลิคอปเตอร์และจะให้ใครนั่งก็ได้
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า หลังจากนี้ก็จะฟ้องไปเรื่อยๆ ฟ้องนายกรัฐมนตรีรายแรก จะฟ้องเมื่อไหร่จะบอก ผมต้องต่อสู้ถึงที่สุดเพราะโดนเหยียบย่ำทำร้าย ทั้งที่ทำดี ทำเพื่อชาติมาตลอดชีวิต ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ นั่นเพราะผมอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกโค่นล้ม โดยขบวนการที่อยากได้ตำแหน่ง ซึ่งตอนแรกที่ไม่ออกมาตอบโต้ เพราะคิดว่ายังคุยกันได้ อยากได้ตำแหน่งก็เอาไป แต่ถึงอย่างไรชื่อของตนก็อยู่ในประวัติศาสตร์ ผบ.ตร. แต่ก็ไม่หนักใจที่คนที่ตนฟ้องร้องเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และตนไม่ได้ยอมรับสภาพ เพราะถ้ายอมรับคงไม่ออกมาต่อสู้อย่างนี้ ซึ่งขบวนการโค่นตนมีอยู่ มองความเชื่อมโยงกันเอง
โฆษกฯ ยันตั้ง ผบ.ตร.วันนี้
วันเดียวกัน พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดแถลงข่าวที่ ตร.ว่าการใช้สถานที่ ตร.แถลงข่าวอาจไม่เหมาะสมแต่ ตร.ก็อนุญาต อย่างไรก็ตาม เป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่ทำได้
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวถึงกรณีนายศักดาพินิต ณรงค์ชาติโสภณ ที่ปรึกษากฎหมายของอดีต ผบ.ตร. ระบุว่า การตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงอดีต ผบ.ตร.ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 34/2551 ไม่ถูกต้องเนื่องจากยังไม่มีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ว่า ตนมองว่าเป็นข้อสังเกตจากท่านหนึ่ง เรื่องข้อกฎหมาย ข้อระเบียบ เป็นเรื่องที่มีการออกคำสั่งไปแล้วส่วนใครจะมีข้อสังเกตอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า การตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโดยไม่ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนนั้นสามารถทำได้ สามารถสอบสวนวินัยร้ายแรงได้เลย มีระเบียบข้อกฎหมายของตำรวจที่ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องของรายละเอียด ยืนยันว่าการออกคำสั่งนี้ไม่ผิด และนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีก็เป็นคนออกคำสั่งเอง ตรงนี้ต้องมั่นใจว่าทำถูกขั้นตอน และทำได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและข้อมูลที่ผู้มีอำนาจเห็น แต่ถ้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มองว่าผิดพลาดก็มีสิทธิ์ดำเนินการขออุทธรณ์ได้
เมื่อถามถึงสถานะของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในขณะนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ตอนนี้โดยกฎหมาย ถือว่าสถานะภาพการเป็นข้าราชการตำรวจของท่านสิ้นสุดลงตั้งแต่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน คือวันที่ 8 เมษายน และโดยข้อกฎหมายเมื่อตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่างลง ก็ขึ้นกับผู้มีอำนาจตามกฎหมายก็จะดำเนินการไปตามขั้นตอน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)วาระเพื่อเสนอแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ก็ยังคงยืนยันว่าจะมีในวันที่ 11 เมษายนเวลา 15.30น. ที่ทำเนียบรัฐบาล
“หากท่านเห็นว่าคำสั่งไม่ชอบธรรม ก็ร้องทุก ต่อ ก.ตร.ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันรับทราบคำสั่ง ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 แต่ผมยังไม่ทราบว่ามีการร้องมาแล้วหรือไม่”โฆษก ตร.กล่าว
วานนี้ (10 เม.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวเปิดใจ กรณีถูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ภายหลังถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ว่าที่ออกมาแถลงข่าวเพราะไม่ต้องการให้สังคมสับสน เพราะที่ผ่านมาตนพยายามปิดตัวเงียบมาโดยตลอด ปล่อยกระบวนการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่จำเป็นต้องออกมาพูด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เป็นการให้ร้ายป้ายสีใคร เพราะหากไม่พูดเลยประชาชนจะเกิดความสับสน ไม่ทราบความจริง ทั้งนี้ ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ตนยังไม่เห็นคำสั่งที่ออกมา เห็นแต่ในทีวี และยังยืนยันด้วยว่าตนเองยังคงเป็น ผบ.ตร.ซึ่งตนจะพ้นจากตำแหน่งก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง จึงไม่อยากให้เข้าใจว่าตนถูกให้ออกจากราชการไปแล้วจริงๆ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ให้มีการสอบสวนวินัยร้ายแรงตนเองใน 3 เรื่องคือรถเช่า การตำหนิลูกน้อง และการแต่งตั้งโยกย้าย นั้นตนก็ทราบว่า คนที่ร้องเรียนเป็นนายตำรวจที่ถูกสำรองราชการ อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งเป็นปฎิปักษ์กับตน โดยนายตำรวจคนนั้น นำเรื่องร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีก็เซ็นคำสั่งให้ตนไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี
“เรื่องนี้มีการร้องเรียนผมเพียงวันเดียวแต่ก็สั่งย้ายเลยจะเอาเวลาไหนไปสอบสวน แสดงให้เห็นว่า มีเจตนากลั่นแกล้งให้ผมพ้นจากตำแหน่ง มีการทำเป็นขบวนการ อยากได้ตำแหน่ง ผบ.ตร. จะเห็นได้ว่า คนที่ร้องนายกฯจะฟังได้หรือไม่ ผมขอบอกว่า เขาถูกสำรองราชการไม่รู้เรื่องรถเช่า เรื่องออกคำสั่ง นายกฯพิจารณาเพียงหนังสือร้องเรียน แล้วสั่งผมไปช่วยราชการเป็นการทำได้หรือ ก่อนหน้านี้ผมได้ให้คนกลางไปเจรจากับนายกฯ ว่า หากอยากได้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ผมพร้อมจะลาออก แต่ขอให้ยกเลิกคำสั่งสอบสวนวินัยร้ายแรงผมแต่เรื่องก็เงียบไป”
อดีต ผบ.ตร.กล่าวชี้แจงว่าสำหรับกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องรถเช่านั้น ทาง สตช.ได้รับงบประมาณมาจากคณะรัฐมนตรีอย่างถูกต้อง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนรถ แต่ไม่ได้ซื้อรถเอง เพราะการเช่าจะประหยัดงบประมาณมากกว่า ซึ่งทุกอย่างทำถูกต้องตามขั้นตอน ส่วนเรื่องที่จัดให้มีการแข่งกีฬาและด่าลูกน้องนั้น เห็นว่าการแข่งกีฬาเป็นการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของตำรวจไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชพิธีศพ และการด่าลูกน้องเป็นเพียงคำถามพูดต่อท้ายกับลูกน้องไม่ใช่เป็นคำด่า แต่ถึงขั้นต้องมีการสอบสวนเรื่องนี้เลยหรือ และในข้อร้องเรียนพยายามโยงตนให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน ส่วนประเด็นการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจนั้น คนที่ร้องเรียนไม่รู้กฎหมาย เพราะการแต่งตั้งทุกครั้งสามารถทำได้ทุกอย่าง และผ่านการอนุมัติของ ก.ตร.ทั้งหมด
ยันสอบเพิ่ม 4 ข้อหาไม่ผิด
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นวันที่ 8 เมษายน นายกรัฐมนตรี ก็มีการสั่งสอบสวนตน 4 เรื่องเพราะว่ารู้คำสั่งแรกที่สั่งให้มีการสอบสวนตนนั้นพลาดไปที่ไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนเพียงการสั่งสอบวินัยร้ายแรงเท่านั้น เมื่อรู้ตัวว่าพลาดจึงได้สั่งสอบข้อเท็จจริงขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องที่กล่าวหาว่า ตนทุจริตการสอบสวนผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตลำไยปี 2547 นั้น เรื่องนี้การสอบสวนของตำรวจจำเป็นต้องสอบสวนพยาน ผู้ต้องหาจำนวนมาก ดังนั้นการทำงานต้องใช้เวลาใช้งบประมาณ
“เรื่องนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้งบลับมา 15 ล้านบาท จึงได้ไปเปิดบัญชีสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อเบิกจ่ายเงินในการสอบสวนแต่ละครั้ง โดยผมใช้เงินก้อนนี้ไปเพียง 4 หมื่นบาทเป็นค่าใช้จ่ายการเดินทาง เรื่องที่พัก ส่วนที่เหลือลูกน้องก็นำไปใช้ในการทำงานทั้งนั้น ซึ่งมีหลักฐานตรวจสอบได้ทุกอย่าง”พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่มีการล็อคสเป๊กรถจักรยานยนต์นั้นยืนยันว่า ไม่ได้มีการล็อคสเป๊กทำตามขั้นตอนทุกอย่าง มีการทำทีโออาร์อย่างถูกต้องและสามารถซื้อรถจักรยานยนต์ได้ในราคารต่ำกว่าราคากลาง และเรื่องที่ดินใน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี นั้นตนมีโฉนดถูกต้องโดยรีสอร์ตภูไพรน้ำ ด้านหนึ่งติดแม่น้ำแควน้อย ซึ่งเป็นที่โค้งทำให้น้ำกัดเซาะ ตนจึงได้ประสานไปที่กรมเจ้าท่า เพื่อนำหินดินมาถมป้องกันน้ำกัดเซาะ ซึ่งก็ทำตามขั้นตอนตามขั้นตอนทุกอย่าง อย่างไรก็ตามในรีสอร์ตมีบ้านหลังหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ารุกล้ำพื้นที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์นั้น ตนก็ได้ไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ในระยะเวลา 5 ปี ในราคา 7 หมื่นกว่าบาท
ส่วนข้อกล่าวหาว่าใช้เฮลิคอปเตอร์นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่จะอนุมัตินำไปใช้ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะการทำงานไม่จำเป็นต้องนั่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเดียว ก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัดด้วยมีอำนาจในการใช้เฮลิคอปเตอร์และจะให้ใครนั่งก็ได้
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า หลังจากนี้ก็จะฟ้องไปเรื่อยๆ ฟ้องนายกรัฐมนตรีรายแรก จะฟ้องเมื่อไหร่จะบอก ผมต้องต่อสู้ถึงที่สุดเพราะโดนเหยียบย่ำทำร้าย ทั้งที่ทำดี ทำเพื่อชาติมาตลอดชีวิต ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ นั่นเพราะผมอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกโค่นล้ม โดยขบวนการที่อยากได้ตำแหน่ง ซึ่งตอนแรกที่ไม่ออกมาตอบโต้ เพราะคิดว่ายังคุยกันได้ อยากได้ตำแหน่งก็เอาไป แต่ถึงอย่างไรชื่อของตนก็อยู่ในประวัติศาสตร์ ผบ.ตร. แต่ก็ไม่หนักใจที่คนที่ตนฟ้องร้องเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และตนไม่ได้ยอมรับสภาพ เพราะถ้ายอมรับคงไม่ออกมาต่อสู้อย่างนี้ ซึ่งขบวนการโค่นตนมีอยู่ มองความเชื่อมโยงกันเอง
โฆษกฯ ยันตั้ง ผบ.ตร.วันนี้
วันเดียวกัน พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดแถลงข่าวที่ ตร.ว่าการใช้สถานที่ ตร.แถลงข่าวอาจไม่เหมาะสมแต่ ตร.ก็อนุญาต อย่างไรก็ตาม เป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่ทำได้
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวถึงกรณีนายศักดาพินิต ณรงค์ชาติโสภณ ที่ปรึกษากฎหมายของอดีต ผบ.ตร. ระบุว่า การตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงอดีต ผบ.ตร.ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 34/2551 ไม่ถูกต้องเนื่องจากยังไม่มีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ว่า ตนมองว่าเป็นข้อสังเกตจากท่านหนึ่ง เรื่องข้อกฎหมาย ข้อระเบียบ เป็นเรื่องที่มีการออกคำสั่งไปแล้วส่วนใครจะมีข้อสังเกตอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า การตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโดยไม่ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนนั้นสามารถทำได้ สามารถสอบสวนวินัยร้ายแรงได้เลย มีระเบียบข้อกฎหมายของตำรวจที่ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องของรายละเอียด ยืนยันว่าการออกคำสั่งนี้ไม่ผิด และนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีก็เป็นคนออกคำสั่งเอง ตรงนี้ต้องมั่นใจว่าทำถูกขั้นตอน และทำได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและข้อมูลที่ผู้มีอำนาจเห็น แต่ถ้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มองว่าผิดพลาดก็มีสิทธิ์ดำเนินการขออุทธรณ์ได้
เมื่อถามถึงสถานะของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในขณะนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ตอนนี้โดยกฎหมาย ถือว่าสถานะภาพการเป็นข้าราชการตำรวจของท่านสิ้นสุดลงตั้งแต่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน คือวันที่ 8 เมษายน และโดยข้อกฎหมายเมื่อตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่างลง ก็ขึ้นกับผู้มีอำนาจตามกฎหมายก็จะดำเนินการไปตามขั้นตอน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)วาระเพื่อเสนอแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ก็ยังคงยืนยันว่าจะมีในวันที่ 11 เมษายนเวลา 15.30น. ที่ทำเนียบรัฐบาล
“หากท่านเห็นว่าคำสั่งไม่ชอบธรรม ก็ร้องทุก ต่อ ก.ตร.ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันรับทราบคำสั่ง ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 แต่ผมยังไม่ทราบว่ามีการร้องมาแล้วหรือไม่”โฆษก ตร.กล่าว