ข้าวขึ้นราคารอบนี้ ใครบ้างได้ประโยชน์?
ถ้าทำโพลสำรวจความคิดเห็นกัน ร้อยละ 99.99% ทำนายผลเลยว่า คำตอบของปุถุชนทั่วไป คงคิดถึงพ่อค้าข้าว พ่อค้าขายปุ๋ย เจ้าของโรงสี ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตร นายทุนคนให้เช่าที่ ฯลฯ
ในกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ลำดับแรกๆ คงไม่มีใครที่จะคิดว่าเป็น ชาวนา!
คนที่จะตอบว่าเป็นชาวนา น่าจะมีน้อยมาก หรือ ไม่มีเลย ยกเว้น... นักการเมือง
นักการเมืองที่หวังเพียงหาเสียง โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง และผลกระทบที่จะตามมาย่อมชี้ไปที่ชาวนา
ดูกรณี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกฯ และ รมว. คลัง เป็นตัวอย่าง
เขาบอกชาวนาว่า อย่าเพิ่งขายข้าว เพราะราคาข้าวจะยิ่งพุ่งขึ้นไปอีก
เขาพูดทั้งๆ ที่รู้ว่า ฤดูกาลนี้ต่อให้ข้าวขึ้นไปเป็นเกวียนละแสน ชาวนาที่ไหนก็ไม่มีข้าวมาขายเพราะข้าวในมือไม่มีเหลือแล้ว!!
ทั้งๆ ที่รู้ว่า ระบบโครงสร้างการค้าข้าวทุกวันนี้ ผูกพันอ้างอิงอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งภาวะตลาดโลก คู่แข่ง ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทุกอย่างละเอียดอ่อนไหว และ ซับซ้อนกว่าอดีตมากนัก
ไม่เชื่อว่า คนอย่างมิ่งขวัญจะไม่ทราบว่า คำพูดของคนระดับ รมว.ย่อมทำให้มีคนได้-เสียประโยชน์
ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็พูด ผลก็คือ พ่อค้าเก็งกำไรกันสนุกสนาน ส่วนชาวบ้านร้านตลาดเดือดร้อน
แม่บ้านพากันตกใจไปเดินห้างเห็นข้าวถุงก็ตาลุกวาวเกรงว่า จะหาซื้อยาก และราคาแพงลิ่บ เพราะ รมว.บอกไว้ ก็แห่ซื้อข้าวกักตุน จนระบบปั่นป่วนรวนเรไปหมด!!
วันนี้ปรากฏการณ์ก็ยังไม่คลาย ป่วยการที่จะถามมิ่งขวัญว่า จะรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง และ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการก้าวพลาดในเรื่องนี้อย่างไร?
เพราะสาระสำคัญที่แฝงมากับเรื่องนี้กลับน่าสนใจยิ่งกว่า!!
โดยเฉพาะนโยบาย และทัศนคติของมิ่งขวัญ ในเรื่องข้าว และความรู้สึกต่อชาวนา คือ ตัวตนของ “ระบอบทักษิณ” ชัดๆ
มิ่งขวัญ ที่ชูเรื่อง “ตัวเงิน” มาบอกชาวนาว่า เดี๋ยวราคาจะเป็นเท่านั้น เท่านี้ ไม่ต่างอะไรกับวิธีการที่ทักษิณ ชินวัตร ไปเรียลลิตี้โชว์ที่ อ.อาจสามารถแล้วสาธิตวิธีการแก้จนด้วยสำนวนโวหาร ในทำนองว่า “โอ้ย เงินหาง่ายนิดเดียว เสกกระดาษยังเป็นเงินได้เลย”
ระบอบทักษิณ ที่เอาเงินเป็นตัวตั้งเสมอ!
โครงการเงินผันเอสเอ็มแอล กองทุนหมู่บ้าน หรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า “เงินทักษิณ” ซึ่งการโปรยเงินจะปูพรมแจกไปตามหมู่บ้านทั้งหลายช่วงสงกรานต์นี้เห็นชัดๆ ว่า หากมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก็จะพบว่า สร้างปัญหาหนี้สินมากกว่า ผลผลิต
ผลที่ได้เคยมีการสำรวจในยุครัฐบาลขิงแก่แล้วพบว่า เงินพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้หมู่บ้านหรือคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีแต่ประสิทธิผลทางการเมืองเท่านั้น
ขณะที่ข้อมูลระบุว่า โดยระบบค่อยๆ ทำคน ทำชาวบ้านถูกครอบงำด้วยพลังเงิน อำนาจของเงินจนกลายเป็นสาวกลัทธิบูชาเงินมากกว่าสิ่งอื่นใดอย่างอื่น
ในสถานการณ์ข้าวแพง รมว.มองแค่ด้านเดียว ส่งสัญญาณมั่ว เอาเงินมาล่อเช่นนี้ ชาวนาและ อาชีพทำนานับว่าล่อแหลมจะถูกม้วนกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในวังวนของอำนาจเงิน
ลัทธิบูชาเงินจะครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ!
ข้าวแพง ชาวนาหลายต่อหลายคนทั่วไทยย่อมมีความหวังจะลืมตาอ้าปาก ปลดทุกข์ ปลดหนี้สิน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่เคยทำนามาก่อนแต่อยากรวย อยากได้เงินตามที่ รมว.บอกก็อยากทำนา
3-5 เดือนจากนี้ไป ใครตอบได้ พื้นที่ทำนาจะขยายมากขึ้นแค่ไหน? “คนทำนา” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชาวนาแท้ๆ ดังกล่าว จะไม่คิดอะไรไปมากกว่า รีบๆปลูกข้าวให้ได้ผลเร็วๆ เพื่อเอามาขาย
ขณะที่ปรัชญา แนวทางการทำนาแบบภูมิปัญญาชาวบ้านที่ถือว่า การทำนาเป็นชีวิตจิตใจ มีความเชื่อ ค่านิยม ต่อข้าวเหมือนสิ่งสูงสุดมีพระคุณต่อชีวิต เป็นแนวทางปรัชญาพอเพียงที่ล่อหลอมสร้างคนให้เป็นคน สร้างสังคมให้น่าอยู่ ไม่ใช่เป็นสังคมฟอนเฟะ
หลายๆ หมู่บ้านเป็นเอามาก เงินหมดกู้เงินทักษิณ อยากได้มือถือกู้เงินทักษิณ
ทุกๆ ขั้นตอนของการทำนาก็จะเป็นเช่นเดียวกัน คำนึงถึงแต่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว!!
จริงอยู่ไม่อาจปฏิเสธเรื่องของยุคสมัย เรื่องที่ชาวนาควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ตราบใดที่รัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
สารเคมียังถูกนำมาใช้ในการทำนา พ่อค้าปุ๋ยสบช่องขายปุ๋ยในราคาแพงๆ
การทำนาไม่ต้องระแวดระวังสิ่งแวดล้อม ยังคงตะบี้ตะบันใช้เครื่องจักรกล และระบบที่อาศัยเทคโนโลยีถ่ายเดียว
การปล่อยให้พ่อค้าคนกลาง กลุ่มโรงสีเอารัดเอาเปรียบชาวนาร่ำไป โดยระบบที่ผูกขาด สร้างเงื่อนไข เพื่อผลประโยชน์สร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง และก็แบ่งปันกับนักการเมืองอย่างที่ทำกันมาทุกยุคทุกสมัย
มิ่งขวัญ จะตอบได้หรือไม่ว่า หากราคาข้าวเกวียนละ 30,000 บาท หรือ 50,000 บาทด้วยซ้ำ ท่ามกลางปัญหาที่เป็นอยู่อย่างนี้ยังดำเนินต่อไป เหลือถึงมือชาวนากี่บาท?.
**ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อกhttp://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
ถ้าทำโพลสำรวจความคิดเห็นกัน ร้อยละ 99.99% ทำนายผลเลยว่า คำตอบของปุถุชนทั่วไป คงคิดถึงพ่อค้าข้าว พ่อค้าขายปุ๋ย เจ้าของโรงสี ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตร นายทุนคนให้เช่าที่ ฯลฯ
ในกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ลำดับแรกๆ คงไม่มีใครที่จะคิดว่าเป็น ชาวนา!
คนที่จะตอบว่าเป็นชาวนา น่าจะมีน้อยมาก หรือ ไม่มีเลย ยกเว้น... นักการเมือง
นักการเมืองที่หวังเพียงหาเสียง โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง และผลกระทบที่จะตามมาย่อมชี้ไปที่ชาวนา
ดูกรณี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกฯ และ รมว. คลัง เป็นตัวอย่าง
เขาบอกชาวนาว่า อย่าเพิ่งขายข้าว เพราะราคาข้าวจะยิ่งพุ่งขึ้นไปอีก
เขาพูดทั้งๆ ที่รู้ว่า ฤดูกาลนี้ต่อให้ข้าวขึ้นไปเป็นเกวียนละแสน ชาวนาที่ไหนก็ไม่มีข้าวมาขายเพราะข้าวในมือไม่มีเหลือแล้ว!!
ทั้งๆ ที่รู้ว่า ระบบโครงสร้างการค้าข้าวทุกวันนี้ ผูกพันอ้างอิงอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งภาวะตลาดโลก คู่แข่ง ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทุกอย่างละเอียดอ่อนไหว และ ซับซ้อนกว่าอดีตมากนัก
ไม่เชื่อว่า คนอย่างมิ่งขวัญจะไม่ทราบว่า คำพูดของคนระดับ รมว.ย่อมทำให้มีคนได้-เสียประโยชน์
ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็พูด ผลก็คือ พ่อค้าเก็งกำไรกันสนุกสนาน ส่วนชาวบ้านร้านตลาดเดือดร้อน
แม่บ้านพากันตกใจไปเดินห้างเห็นข้าวถุงก็ตาลุกวาวเกรงว่า จะหาซื้อยาก และราคาแพงลิ่บ เพราะ รมว.บอกไว้ ก็แห่ซื้อข้าวกักตุน จนระบบปั่นป่วนรวนเรไปหมด!!
วันนี้ปรากฏการณ์ก็ยังไม่คลาย ป่วยการที่จะถามมิ่งขวัญว่า จะรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง และ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการก้าวพลาดในเรื่องนี้อย่างไร?
เพราะสาระสำคัญที่แฝงมากับเรื่องนี้กลับน่าสนใจยิ่งกว่า!!
โดยเฉพาะนโยบาย และทัศนคติของมิ่งขวัญ ในเรื่องข้าว และความรู้สึกต่อชาวนา คือ ตัวตนของ “ระบอบทักษิณ” ชัดๆ
มิ่งขวัญ ที่ชูเรื่อง “ตัวเงิน” มาบอกชาวนาว่า เดี๋ยวราคาจะเป็นเท่านั้น เท่านี้ ไม่ต่างอะไรกับวิธีการที่ทักษิณ ชินวัตร ไปเรียลลิตี้โชว์ที่ อ.อาจสามารถแล้วสาธิตวิธีการแก้จนด้วยสำนวนโวหาร ในทำนองว่า “โอ้ย เงินหาง่ายนิดเดียว เสกกระดาษยังเป็นเงินได้เลย”
ระบอบทักษิณ ที่เอาเงินเป็นตัวตั้งเสมอ!
โครงการเงินผันเอสเอ็มแอล กองทุนหมู่บ้าน หรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า “เงินทักษิณ” ซึ่งการโปรยเงินจะปูพรมแจกไปตามหมู่บ้านทั้งหลายช่วงสงกรานต์นี้เห็นชัดๆ ว่า หากมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก็จะพบว่า สร้างปัญหาหนี้สินมากกว่า ผลผลิต
ผลที่ได้เคยมีการสำรวจในยุครัฐบาลขิงแก่แล้วพบว่า เงินพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้หมู่บ้านหรือคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีแต่ประสิทธิผลทางการเมืองเท่านั้น
ขณะที่ข้อมูลระบุว่า โดยระบบค่อยๆ ทำคน ทำชาวบ้านถูกครอบงำด้วยพลังเงิน อำนาจของเงินจนกลายเป็นสาวกลัทธิบูชาเงินมากกว่าสิ่งอื่นใดอย่างอื่น
ในสถานการณ์ข้าวแพง รมว.มองแค่ด้านเดียว ส่งสัญญาณมั่ว เอาเงินมาล่อเช่นนี้ ชาวนาและ อาชีพทำนานับว่าล่อแหลมจะถูกม้วนกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในวังวนของอำนาจเงิน
ลัทธิบูชาเงินจะครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ!
ข้าวแพง ชาวนาหลายต่อหลายคนทั่วไทยย่อมมีความหวังจะลืมตาอ้าปาก ปลดทุกข์ ปลดหนี้สิน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่เคยทำนามาก่อนแต่อยากรวย อยากได้เงินตามที่ รมว.บอกก็อยากทำนา
3-5 เดือนจากนี้ไป ใครตอบได้ พื้นที่ทำนาจะขยายมากขึ้นแค่ไหน? “คนทำนา” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชาวนาแท้ๆ ดังกล่าว จะไม่คิดอะไรไปมากกว่า รีบๆปลูกข้าวให้ได้ผลเร็วๆ เพื่อเอามาขาย
ขณะที่ปรัชญา แนวทางการทำนาแบบภูมิปัญญาชาวบ้านที่ถือว่า การทำนาเป็นชีวิตจิตใจ มีความเชื่อ ค่านิยม ต่อข้าวเหมือนสิ่งสูงสุดมีพระคุณต่อชีวิต เป็นแนวทางปรัชญาพอเพียงที่ล่อหลอมสร้างคนให้เป็นคน สร้างสังคมให้น่าอยู่ ไม่ใช่เป็นสังคมฟอนเฟะ
หลายๆ หมู่บ้านเป็นเอามาก เงินหมดกู้เงินทักษิณ อยากได้มือถือกู้เงินทักษิณ
ทุกๆ ขั้นตอนของการทำนาก็จะเป็นเช่นเดียวกัน คำนึงถึงแต่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว!!
จริงอยู่ไม่อาจปฏิเสธเรื่องของยุคสมัย เรื่องที่ชาวนาควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ตราบใดที่รัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
สารเคมียังถูกนำมาใช้ในการทำนา พ่อค้าปุ๋ยสบช่องขายปุ๋ยในราคาแพงๆ
การทำนาไม่ต้องระแวดระวังสิ่งแวดล้อม ยังคงตะบี้ตะบันใช้เครื่องจักรกล และระบบที่อาศัยเทคโนโลยีถ่ายเดียว
การปล่อยให้พ่อค้าคนกลาง กลุ่มโรงสีเอารัดเอาเปรียบชาวนาร่ำไป โดยระบบที่ผูกขาด สร้างเงื่อนไข เพื่อผลประโยชน์สร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง และก็แบ่งปันกับนักการเมืองอย่างที่ทำกันมาทุกยุคทุกสมัย
มิ่งขวัญ จะตอบได้หรือไม่ว่า หากราคาข้าวเกวียนละ 30,000 บาท หรือ 50,000 บาทด้วยซ้ำ ท่ามกลางปัญหาที่เป็นอยู่อย่างนี้ยังดำเนินต่อไป เหลือถึงมือชาวนากี่บาท?.
**ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อกhttp://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th