“บำเรอ” ฝันหวานผุดโครงการเมกะโปรเจกต์ปลดหนี้ 2 พันล้าน องค์การค้าฯ ใช้ที่ดิน 49 ไร่ ย่านลาดพร้าว ขององค์กรให้เอกชนเช่า รูปแบบเดียวกับจุฬาฯ สร้างคอมเพล็กซ์ สำนักงานให้เช่า และคอนโดมิเนียม เชื่อหากดำเนินการได้อนาคตจะมีกำไรมหาศาล เตรียมสรุปแนวทางเสนอ “พงศกร” เพื่อขอความเห็นชอบแล้ว
นายบำเรอ ภานุวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การค้าฯ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ของ สกสค.ว่า ตนยืนยันจะเดินหน้าดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ผอ.องค์การค้าฯ อย่างเป็นทางการ โดยการนำพื้นที่ 49 ไร่ ขององค์การค้าบริเวณ ถ.ลาดพร้าว ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยให้หน่วยงานเอกชนเช่าพื้นที่ ซึ่งจะใช้หลักการเดียวกับที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดให้บริษัทเอกชนเช่าทำการค้าบริเวณมาบุญครอง และสยามแสควร์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวทางองค์การค้าฯไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุน โดยตนวางโครงการไว้คร่าวๆ ว่า จะใช้พื้นที่ 49 ไร่ จัดทำเป็นคอมเพล็กซ์ ออฟฟิศให้เช่า ศูนย์ประชุม และคอนโดมิเนียม โดยอาจให้ทำสัญญาระยะยาว 20 ปี ซึ่งจากการคำนวณรายได้เบื้องต้น หากดำเนินโครงการเหล่านี้ทางองค์การค้าน่าจะได้รับค่าตอบแทนอย่างน้อยเดือนละ 40-50 ล้านบาท
“การดำเนินโครงการเหล่านี้ องค์การค้าฯจะมีรายได้ประจำทุกเดือน และสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่กว่า 2,000 ล้านบาทได้ ส่วนรายได้จากการจำหน่ายหนังสือเรียน อุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอน ก็จะเป็นกำไรขององค์กร และจะทำให้ในอนาคตองค์การค้าจะมีกำไรมหาศาล อย่างน้อยค่าเซ้งพื้นที่หรือค่าเช่าหน้าดิน น่าจะได้กลับมาประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาแก้ปัญหาในอดีตและมาเริ่มต้นใหม่” นายบำเรอ กล่าว
สำหรับกรณีที่ทางสหภาพองค์การค้าฯ ของ สกสค.ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวนั้น นายบำเรอ กล่าวว่า ตนได้ทำความเข้าใจกับสหภาพแล้วว่า แม้จะมีโครงการเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้น แต่พนักงานก็ยังคงได้ทำงานในสถานที่เดิม อีกทั้งแนวทางดังกล่าวเป็นทางออกที่จะทำให้องค์การค้าฯอยู่รอดได้ ซึ่งหลังจากที่ตนได้ประกาศแนวทางไว้ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ถึงขณะนี้มีกลุ่มบริษัทเอกชนสนใจติดต่อเข้าแล้วถึง 5 แห่ง จะต้องมาพิจารณากันถึงเรื่องรายละเอียดต่างๆ รวมถึงระยะเวลาการดำเนินการว่าจุดคุ้มทุนจะต้องใช้เวลา 15-20 ปี เพราะหลังจากนั้นจะต้องโอนทรัพย์สินที่ลงทุนไว้มาเป็นขององค์กรค้า เมื่อได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วตนจะได้นำโครงการดังกล่าวเข้าหารือกับ นายพงศกร อรรณนพพร รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะกำกับดูแลองค์การค้า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ เพื่อขอความเห็นชอบก่อนดำเนินการต่อไป ส่วนที่ นายพงศกร ระบุว่า จะต้องมีการผ่าตัดใหญ่องค์การค้าทั้งระบบเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยจะให้มีผู้บริหารแบบซีอีโอเข้ามาบริหารงานนั้น ตนจะได้ประมวลปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นเพื่อเสนอให้รับทราบและขอความชัดเจนประเด็นดังกล่าวด้วย
นายบำเรอ ภานุวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การค้าฯ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ของ สกสค.ว่า ตนยืนยันจะเดินหน้าดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ผอ.องค์การค้าฯ อย่างเป็นทางการ โดยการนำพื้นที่ 49 ไร่ ขององค์การค้าบริเวณ ถ.ลาดพร้าว ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยให้หน่วยงานเอกชนเช่าพื้นที่ ซึ่งจะใช้หลักการเดียวกับที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดให้บริษัทเอกชนเช่าทำการค้าบริเวณมาบุญครอง และสยามแสควร์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวทางองค์การค้าฯไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุน โดยตนวางโครงการไว้คร่าวๆ ว่า จะใช้พื้นที่ 49 ไร่ จัดทำเป็นคอมเพล็กซ์ ออฟฟิศให้เช่า ศูนย์ประชุม และคอนโดมิเนียม โดยอาจให้ทำสัญญาระยะยาว 20 ปี ซึ่งจากการคำนวณรายได้เบื้องต้น หากดำเนินโครงการเหล่านี้ทางองค์การค้าน่าจะได้รับค่าตอบแทนอย่างน้อยเดือนละ 40-50 ล้านบาท
“การดำเนินโครงการเหล่านี้ องค์การค้าฯจะมีรายได้ประจำทุกเดือน และสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่กว่า 2,000 ล้านบาทได้ ส่วนรายได้จากการจำหน่ายหนังสือเรียน อุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอน ก็จะเป็นกำไรขององค์กร และจะทำให้ในอนาคตองค์การค้าจะมีกำไรมหาศาล อย่างน้อยค่าเซ้งพื้นที่หรือค่าเช่าหน้าดิน น่าจะได้กลับมาประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาแก้ปัญหาในอดีตและมาเริ่มต้นใหม่” นายบำเรอ กล่าว
สำหรับกรณีที่ทางสหภาพองค์การค้าฯ ของ สกสค.ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวนั้น นายบำเรอ กล่าวว่า ตนได้ทำความเข้าใจกับสหภาพแล้วว่า แม้จะมีโครงการเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้น แต่พนักงานก็ยังคงได้ทำงานในสถานที่เดิม อีกทั้งแนวทางดังกล่าวเป็นทางออกที่จะทำให้องค์การค้าฯอยู่รอดได้ ซึ่งหลังจากที่ตนได้ประกาศแนวทางไว้ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ถึงขณะนี้มีกลุ่มบริษัทเอกชนสนใจติดต่อเข้าแล้วถึง 5 แห่ง จะต้องมาพิจารณากันถึงเรื่องรายละเอียดต่างๆ รวมถึงระยะเวลาการดำเนินการว่าจุดคุ้มทุนจะต้องใช้เวลา 15-20 ปี เพราะหลังจากนั้นจะต้องโอนทรัพย์สินที่ลงทุนไว้มาเป็นขององค์กรค้า เมื่อได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วตนจะได้นำโครงการดังกล่าวเข้าหารือกับ นายพงศกร อรรณนพพร รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะกำกับดูแลองค์การค้า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ เพื่อขอความเห็นชอบก่อนดำเนินการต่อไป ส่วนที่ นายพงศกร ระบุว่า จะต้องมีการผ่าตัดใหญ่องค์การค้าทั้งระบบเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยจะให้มีผู้บริหารแบบซีอีโอเข้ามาบริหารงานนั้น ตนจะได้ประมวลปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นเพื่อเสนอให้รับทราบและขอความชัดเจนประเด็นดังกล่าวด้วย
