ศูนย์ข่าวศรีราชา -ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กำชับทุกอำเภอ เร่งตรวจสอบและดำเนินคดีผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ อย่างเฉียบขาด เพราะสร้างความเสียหายแก่รัฐ ส่วนสัมปทานหินประกาศห้ามระเบิดภูเขาอย่างเด็ดขาด
นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่าปัจจุบันปัญหาการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ มีการบุกรุกเกิดขึ้นเกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มนายทุนหรือข้าราชการบางคน ร่วมมือกันเข้าไปบุกรุกครอบครองที่ดินและออกเอกสารสิทธิพื้นที่ดังกล่าวเป็นของตนเอง โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
พื้นที่ชายหาด ,ป่าชายเลน ห้วย-หนอง - คลอง -บึง เกาะ และ ภูเขา เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งไม่สามารถออกเอกสารสิทธิใดๆได้ แต่ที่ผ่านมานายทุนมักอ้างว่าได้ครอบครองพื้นที่ดังกล่าวมานานแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถเป็นไปได้ ที่จะมีเอกสารสิทธิอย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องมีการฟ้องร้อง เพื่อพิสูจน์สิทธิกันต่อไป
นายประชา กล่าวต่อไปว่า ผู้ครอบครองที่ดินส่วนใหญ่จะอ้างว่ามีเอกสาร ส.ค. 1 ซึ่งเอกสาร ส.ค.1 ได้ออกเมื่อ พ.ศ. 2498 และหากมีการอ้างเอกสารหลักฐานเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ ควรนำแผนที่ทางอากาศ พ.ศ.2495 มาเปรียบเทียบ เพื่อทราบถึงการใช้ประโยชน์ในที่ดินบริเวณนั้น หากถูกต้องและทำกินบริเวณนั้นอย่างชัดเจนก็มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นไปโดยถูกต้อง
ขณะนี้ พื้นที่บริเวณเขาเขียว-เขาชมพู่ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ มีการบุกรุกอย่างชัดเจน โดยทำเป็นสุสาน ,ปลูกพืชไร่ ที่สำคัญมีการอ้างมติคณะรัฐมนตรี ว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวอนุญาตให้ไปอยู่อาศัยได้ แต่ในความเป็นจริงเพียงผ่อนผันไม่ให้มีการจับกุมผู้เข้าไปบุกรุกเท่านั้น ซึ่งการเข้าไปอาศัยและทำกินนั้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ โดยจะต้องถูกดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าไปบุกรุก
“ปัจจุบันได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย นายอำเภอ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เข้าตรวจสอบทุกพื้นที่ที่มีการบุกรุกอย่างต่อเนื่องแล้ว เช่น อำเภอศรีราชา อำเภอเมืองบางส่วน และบ้านบึง โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอบางละมุง เป็นพื้นที่ป่าคุ้มครอง ใน พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มีการบุกรุกเป็นจำนวนมากในขณะนี้” นายประชา กล่าว
นายประชา กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ว่า เป็นเรื่องที่เหนื่อยมากที่จะเข้าไปแก้ไข แต่เมื่อเข้าไปดำเนินการอย่างจริงจังแล้ว ก็จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล เพราะที่ดินของรัฐ อย่างไรก็ต้องเป็นที่ดินของรัฐอยู่เสมอ แม้จะมีหลักฐานอะไรมายืนยันก็ตาม
"ขณะนี้ พื้นที่อำเภอเมือง บริเวณเขาไทยพิพัฒน์ ที่ได้รับสัมปทานระเบิด-ย่อยหิน ก็ไม่ทราบว่าได้รับอนุมัติสัมปทานได้อย่างไรทั้ง 5 บริษัท แต่ขณะนี้ได้ประกาศห้ามระเบิดพื้นที่บนภูเขาแล้ว ส่วนพื้นที่ด้านล่างที่ไม่ใช่ภูเขาสามารถดำเนินการต่อจนหมดอายุสัมปทานในช่วงปี 2552 หลังหมดอายุสัมปทานจะไม่ให้มีการอนุมัติต่อไปอย่างเด็ดขาด เนื่องจากภูเขาบริเวณดังกล่าว เป็นแหล่งต้นน้ำทั้งสิ้น"
ด้านนายฐานิศร์ น้อยเพ็ง นายอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี กล่าวถึงปัญหาการบุกรุกพื้นที่เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมพู่ และเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาเขียว-เขาชมพู่ ว่า ขณะนี้มีการบุกรุกพื้นที่บริเวณดังกล่าวเกือบ 10,000 ไร่แล้ว โดยทั้งที่มีการบุกรุกเดิมและบุกรุกรายใหม่ๆ พื้นที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นเขตป่าทึบ และเป็นแหล่งต้นน้ำ ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำบางพระศรีราชา เป็นแหล่งน้ำดิบที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งจังหวัด แต่ขณะนี้ปริมาณน้ำฝนที่จะไหลลงอ่างมีปริมาณน้อยมาก ที่สำคัญบางเส้นทางน้ำไหลลงสู่อ่าง มีผู้ประกอบการสร้างฝายและแหล่งกักเก็บน้ำไว้หลายแห่งโดยเฉพาะผู้ประกอบการสนามกอล์ฟ ซึ่งยิ่งสร้างผลกระทบต่ออ่างเก็บน้ำฯเป็นอย่างมาก
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำรวจพื้นที่ป่าไม้บริเวณดังกล่าว พบว่าพื้นที่แยกเป็น 4 ประเภท คือ 1. พื้นที่ป่าไม้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ 2. พื้นที่ป่าที่อ้างว่ามีเอกสารสิทธิโฉนดที่ดิน น.ส.3ก. หรือส.ค.1 , 3. พื้นที่ป่าอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 จำนวน 108 ราย เนื้อที่ 5,145 ไร่ 4. พื้นที่ป่าที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่ป่าไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งมีการเผาป่าเพื่อยึดพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกินพื้นที่เขตรับผิดชอบของอำเภอศรีราชา,อำเภอเมือง และอำเภอบ้านบึง
"ปัญหาหลักๆ คือ เจ้าของพื้นที่อ้างว่า มีเอกสารสิทธิส.ค.1 โดยช่วงแรกมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ แต่ขณะนี้ได้ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 300-400 ไร่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้จะต้องพิสูจน์สิทธิการถือครองพื้นที่กันต่อไป โดยในเบื้องต้นจะสั่งให้ชะลอหรือระงับการขยายไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบให้ชัดเจน"
นายฐานิศร์ กล่าวต่อไปว่า มีกลุ่มนายทุนได้เข้าไปจับจองพื้นที่และให้ชาวบ้านเข้าไปเผาและแผ้วถางป่า เพื่อขยายอาณาเขตออกไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายงานที่พบเห็นก็จะจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ส่วนที่ไม่มีบุคคลและเป็นพื้นที่ที่ถูกบุกรุกก็จะแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน เพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป