ไฟแนนเชียลไทมส์/เอเจนซีส์ - กระทรวงการคลังสหรัฐฯเตรียมแถลงเปิดเผยข้อเสนอแนะชุดใหญ่วันนี้(31) ซึ่งจะยกเครื่องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการกำกับตรวจสอบอุตสาหกรรมบริการทางการเงินของอเมริกาครั้งมโหฬาร โดยที่จะให้อำนาจใหม่อย่างกว้างขวางมากขึ้นแก่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในการรับมือแก้ไขเมื่อปรากฏความเสี่ยงที่อาจถึงขั้นเขย่าโยกคลอนระบบการเงิน
ความเคลื่อนไหวคราวนี้บังเกิดขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันซึ่งเพิ่มทวีขึ้นทุกทีในรัฐสภาอเมริกัน ที่จะให้ปฏิรูปแก้ไขการกำกับดูแลภาคการเงิน ภายหลังจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทลูกค้าด้อยคุณภาพ หรือ "ซับไพรม์" และวิกฤตสินเชื่อตึงตัวทั่วโลกที่เกิดติดตามต่อเนื่องมา ได้เผยให้เห็นจุดโหว่ข้อบกพร่องอันฉกาจฉกรรจ์ในความสามารถของฝ่ายทางการ ที่จะติดตามความเป็นไปในแวดวงวอลล์สตรีท และป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินวางเดิมพันอย่างเสี่ยงภัยสุดๆ ในเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
อันที่จริงกระทรวงการคลังสหรัฐฯได้ทำงานเพื่อร่าง "พิมพ์เขียว" สำหรับการปฏิรูประเบียบกฎเกณฑ์ในการกำกับตรวจสอบอุตสาหกรรมบริการทางการเงินเช่นนี้ มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2007 แล้ว โดยเวลานี้วัตถุประสงค์สำคัญคือ เพื่อเพิ่มพูนความได้เปรียบในการแข่งขันของตลาดทุนสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับต่างชาติ แต่ความผันผวนปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุดในตลาดการเงิน ได้เพิ่มความเร่งด่วนให้แก่ความพยายามเหล่านี้ อีกทั้งยังเพิ่มเดิมพันทางการเมืองให้สูงขึ้นด้วย โดยที่สมาชิกรัฐสภาผู้ทรงอิทธิพลของฝ่ายพรรคเดโมแครตหลายต่อหลายตน อาทิ ส.ส.บาร์นีย์ แฟรงก์ จากมลรัฐแมสซาชูเซตต์ และวุฒิสมาชิก ชัค ชูเมอร์ จากมลรัฐนิวยอร์ก ต่างออกมาเรียกร้องในเดือนนี้ ให้ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์อันเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้นกับบรรดาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ
แผนการที่กระทรวงการคลังจะนำออกมาเปิดเผยคราวนี้ แม้คาดกันว่าคงจะต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะสามารถทำความตกลงกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลายๆ เรื่องต้องเสนอเป็นร่างกฎหมายซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่เนื้อหาของแผนการก็ยังเป็นที่สนใจติดตามกันอย่างมาก
เรื่องเด่นที่สุดเรื่องหนึ่งในแผนการนี้ ก็คือการมอบอำนาจให้แก่เฟดเพิ่มขึ้นมาก ในการกำกับตรวจสอบพวกกิจการทางการเงิน อย่างเช่น วาณิชธนกิจ และ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ เมื่อการกระทำของพวกเขาอาจสร้างภยันตรายต่อระบบ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอคราวนี้ยังไปไม่ถึงขั้นที่จะให้เฟดมีอำนาจกำกับตรวจสอบกิจการเหล่านี้อย่างถาวร ดังที่สมาชิกรัฐสภาบางคนเรียกร้องกันอยู่
อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องเด่นของข้อเสนอแนะชุดใหญ่นี้ ซึ่ง เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังจะระบุไว้ในสุนทรพจน์ที่เขาจะกล่าวในวันนี้ก่อนเดินทางไปเยือนจีนนั้น เป็นเรื่องการลดบทบาทของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (เอสอีซี หรือ กลต.สหรัฐฯ) โดยที่เอสอีซีจะถูกนำไปควบรวมกับคณะกรรมการกำกับการค้าตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์สินค้าโภคภัณฑ์(ซีเอฟทีซี) และก็จะใช้วิธีกำกับตรวจสอบตลาดต่างๆ ในแบบค่อนข้างปล่อยมือและมุ่งเน้นในประเด็นทางหลักการ อันเป็นวิธีที่ซีเอฟทีซีใช้อยู่
แผนการที่ขุนคลังพอลสันเตรียมเปิดเผยคราวนี้ ยังมีข้อเสนอให้รวมพวกหน่วยงานกำกับตรวจสอบกิจการธนาคารพาณิชย์และกิจการพวกสหกรณ์ออมทรัพย์ เข้าด้วยกันเป็น "หน่วยงานกำกับตรวจสอบกิจการที่เน้นความมั่นคงทางการเงิน" เพียงหนึ่งเดียว
นอกจากนั้น กระทรวงการคลังยังจะเสนอแนะให้ก่อตั้งหน่วยงานกำกับตรวจสอบอุตสาหกรรมประกันภัย ระดับที่มีอำนาจทั่วทั้งสหรัฐฯขึ้นมา แทนที่จะปล่อยให้เป็นอำนาจของแต่ละมลรัฐดังปัจจุบัน ตลอดจนให้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับอุตสาหกรรมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อตรวจสอบดูแลอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งผู้สังเกตการณ์จำนวนมากเชื่อว่า มีส่วนในการทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯอยู่ในภาวะขึ้นๆ ลงๆ อย่างหวือหวา
ความเคลื่อนไหวคราวนี้บังเกิดขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันซึ่งเพิ่มทวีขึ้นทุกทีในรัฐสภาอเมริกัน ที่จะให้ปฏิรูปแก้ไขการกำกับดูแลภาคการเงิน ภายหลังจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทลูกค้าด้อยคุณภาพ หรือ "ซับไพรม์" และวิกฤตสินเชื่อตึงตัวทั่วโลกที่เกิดติดตามต่อเนื่องมา ได้เผยให้เห็นจุดโหว่ข้อบกพร่องอันฉกาจฉกรรจ์ในความสามารถของฝ่ายทางการ ที่จะติดตามความเป็นไปในแวดวงวอลล์สตรีท และป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินวางเดิมพันอย่างเสี่ยงภัยสุดๆ ในเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
อันที่จริงกระทรวงการคลังสหรัฐฯได้ทำงานเพื่อร่าง "พิมพ์เขียว" สำหรับการปฏิรูประเบียบกฎเกณฑ์ในการกำกับตรวจสอบอุตสาหกรรมบริการทางการเงินเช่นนี้ มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2007 แล้ว โดยเวลานี้วัตถุประสงค์สำคัญคือ เพื่อเพิ่มพูนความได้เปรียบในการแข่งขันของตลาดทุนสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับต่างชาติ แต่ความผันผวนปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุดในตลาดการเงิน ได้เพิ่มความเร่งด่วนให้แก่ความพยายามเหล่านี้ อีกทั้งยังเพิ่มเดิมพันทางการเมืองให้สูงขึ้นด้วย โดยที่สมาชิกรัฐสภาผู้ทรงอิทธิพลของฝ่ายพรรคเดโมแครตหลายต่อหลายตน อาทิ ส.ส.บาร์นีย์ แฟรงก์ จากมลรัฐแมสซาชูเซตต์ และวุฒิสมาชิก ชัค ชูเมอร์ จากมลรัฐนิวยอร์ก ต่างออกมาเรียกร้องในเดือนนี้ ให้ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์อันเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้นกับบรรดาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ
แผนการที่กระทรวงการคลังจะนำออกมาเปิดเผยคราวนี้ แม้คาดกันว่าคงจะต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะสามารถทำความตกลงกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลายๆ เรื่องต้องเสนอเป็นร่างกฎหมายซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่เนื้อหาของแผนการก็ยังเป็นที่สนใจติดตามกันอย่างมาก
เรื่องเด่นที่สุดเรื่องหนึ่งในแผนการนี้ ก็คือการมอบอำนาจให้แก่เฟดเพิ่มขึ้นมาก ในการกำกับตรวจสอบพวกกิจการทางการเงิน อย่างเช่น วาณิชธนกิจ และ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ เมื่อการกระทำของพวกเขาอาจสร้างภยันตรายต่อระบบ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอคราวนี้ยังไปไม่ถึงขั้นที่จะให้เฟดมีอำนาจกำกับตรวจสอบกิจการเหล่านี้อย่างถาวร ดังที่สมาชิกรัฐสภาบางคนเรียกร้องกันอยู่
อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องเด่นของข้อเสนอแนะชุดใหญ่นี้ ซึ่ง เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังจะระบุไว้ในสุนทรพจน์ที่เขาจะกล่าวในวันนี้ก่อนเดินทางไปเยือนจีนนั้น เป็นเรื่องการลดบทบาทของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (เอสอีซี หรือ กลต.สหรัฐฯ) โดยที่เอสอีซีจะถูกนำไปควบรวมกับคณะกรรมการกำกับการค้าตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์สินค้าโภคภัณฑ์(ซีเอฟทีซี) และก็จะใช้วิธีกำกับตรวจสอบตลาดต่างๆ ในแบบค่อนข้างปล่อยมือและมุ่งเน้นในประเด็นทางหลักการ อันเป็นวิธีที่ซีเอฟทีซีใช้อยู่
แผนการที่ขุนคลังพอลสันเตรียมเปิดเผยคราวนี้ ยังมีข้อเสนอให้รวมพวกหน่วยงานกำกับตรวจสอบกิจการธนาคารพาณิชย์และกิจการพวกสหกรณ์ออมทรัพย์ เข้าด้วยกันเป็น "หน่วยงานกำกับตรวจสอบกิจการที่เน้นความมั่นคงทางการเงิน" เพียงหนึ่งเดียว
นอกจากนั้น กระทรวงการคลังยังจะเสนอแนะให้ก่อตั้งหน่วยงานกำกับตรวจสอบอุตสาหกรรมประกันภัย ระดับที่มีอำนาจทั่วทั้งสหรัฐฯขึ้นมา แทนที่จะปล่อยให้เป็นอำนาจของแต่ละมลรัฐดังปัจจุบัน ตลอดจนให้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับอุตสาหกรรมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อตรวจสอบดูแลอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งผู้สังเกตการณ์จำนวนมากเชื่อว่า มีส่วนในการทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯอยู่ในภาวะขึ้นๆ ลงๆ อย่างหวือหวา
