เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ประชาชนหลายสิบล้านคนทั่วโลกร่วมกันปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเมื่อวันเสาร์(29) ในแคมเปญ "Earth Hour" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้คนหันมาสนใจปัญหาโลกร้อนมากยิ่งขึ้น ผู้จัดโครงการริเริ่มดังกล่าวเผย
ตั้งแต่ซิดนีย์ ถึงเอเชีย ยุโรป แคนาดา และสหรัฐฯ ผู้คน "หลายสิบล้านคน" ปิดสวิตซ์ไฟเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้บ้านเรือนและเมืองต่างๆตกอยู่ในความมืดในช่วงเวลา 20.00-21.00น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ เกรก บอร์น ซีอีโอขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล(WWF)ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหัวหอกของแคมเปญดังกล่าว เผย
เมืองต่างๆกว่า 380 เมือง และกว่า 3,500 ธุรกิจ ใน 35 ประเทศ ประกาศเข้าร่วมแคมเปญ "Earth Hour" นี้ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว
"Earth Hour แสดงให้เห็นว่า ในทุกวันผู้คนพร้อมหันหน้าเขาหากันเพื่อหาทางแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มันเป็นสิ่งที่ทำได้" เจมส์ ลีป จาก WWF International กล่าว
ไฟประดับซิดนีย์โอเปราเฮาส์ และสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ ถูกดับลง ขณะที่ชาวออสซี่จัดปาร์ตี้ชายหาดและเล่นไพ่โพกเกอร์ท่ามกลางแสงเทียน
ในกรุงเทพฯ ย่านธุรกิจ ห้างสรรพสินค้าและป้ายโฆษณาจำนวนหนึ่งก็ร่วมดับไฟ โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งเชิญแขกร่วมรับประทานอาหารค่ำใต้แสงเทียนและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
สวนทิโวลี พระราชวัง และโรงอุปรากรในพระราชวังที่กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ก็ปิดไฟมืดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง รวมถึงไฟถนนหลายจุด
ในโลกอินเทอร์เน็ตก็ไม่น้อยหน้า หน้าโฮมเพจของกูเกิ้ลในหลายๆประเทศก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ พร้อมมีข้อความบอกไว้ว่า "เราปิดไฟของเราแล้ว ตอนนี้ถึงตาคุณบ้าง" และแนะให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ประหยัดพลังงานเมื่อใช้คอมพิวเตอร์
ในอังกฤษ เมืองและสภาเมือง 26 เมืองลงทะเบียนร่วมปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น เช่นเดียวกับสถานที่สำคัญทั้งหลายเช่น พระตำหนักไฮโกรฟของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ศาลาว่าการกรุงลอนดอน วิหารวินเชสเตอร์ และหน่วยข่าวกรอง GCHQ
ข้ามฝากมหาสมุทรแอตแลนติกมาที่สหรัฐฯและแคนาดา หอซีเอ็นในเมืองโทรอนโตและบริเวณรอบๆหอก็ร่วมดับไฟ สะพานโกลเดนเกตในซานฟรานซิสโก และตึกเซียร์สทาวเวอร์ในชิคาโก ปิดไฟมืดเช่นกัน
"จริงๆแล้ว ทุกทวีปรวมถึงแอนตาร์กติกา ต่างมีส่วนร่วม และผมคิดว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าก็คือ เราจะได้ความร่วมมือจากเอเชียและรัสเซียมากยิ่งขึ้น" บอร์น ซีอีโอWWFออสเตรเลีย กล่าว
"เราค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อเราจัดแคมเปญนี้ในปีหน้า จีนจะมีส่วนร่วมกว่านี้มาก" เขากล่าว
เอเนอร์จีออสเตรเลีย บริษัทจ่ายไฟฟ้ารายใหญ่ในซิดนีย์ เผยว่า ช่วง Earth Hour เมืองซิดนีย์ใช้พลังงานลดลง 8.4% ซึ่งเท่ากับมีการปิดไฟ 1.6 ล้านดวง
โพลระดับประเทศของออสเตรเลีย ซึ่งสำรวจผู้คนประมาณ 3,400 คนในวันเสาร์และอาทิตย์ ระบุว่า 58%ของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆของแดนจิงโจ้ ร่วมมือกับโครงการดังกล่าวโดยปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
ขณะเดียวกัน การใช้ไฟฟ้าในเมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งเป็นเมืองเดียวในนิวซีแลนด์ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ ก็ลดลงเกือบ 13%
บรรดาผู้จัดแคมเปญ Earth Hour กล่าวว่า แม้การดับไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แทบจะไม่มีผลอะไรต่อการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน แต่ความจริงที่ว่า ผู้คนจำนวนมหาศาลร่วมมือกันปิดไฟ แสดงให้เห็นว่า มีคนสนใจและวิตกเรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากมายทีเดียว พวกเขาบอกว่า มีแผนจะจัดแคมเปญแบบนี้อีกในวันที่ 28 มีนาคม ปี 2009
ตั้งแต่ซิดนีย์ ถึงเอเชีย ยุโรป แคนาดา และสหรัฐฯ ผู้คน "หลายสิบล้านคน" ปิดสวิตซ์ไฟเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้บ้านเรือนและเมืองต่างๆตกอยู่ในความมืดในช่วงเวลา 20.00-21.00น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ เกรก บอร์น ซีอีโอขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล(WWF)ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหัวหอกของแคมเปญดังกล่าว เผย
เมืองต่างๆกว่า 380 เมือง และกว่า 3,500 ธุรกิจ ใน 35 ประเทศ ประกาศเข้าร่วมแคมเปญ "Earth Hour" นี้ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว
"Earth Hour แสดงให้เห็นว่า ในทุกวันผู้คนพร้อมหันหน้าเขาหากันเพื่อหาทางแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มันเป็นสิ่งที่ทำได้" เจมส์ ลีป จาก WWF International กล่าว
ไฟประดับซิดนีย์โอเปราเฮาส์ และสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ ถูกดับลง ขณะที่ชาวออสซี่จัดปาร์ตี้ชายหาดและเล่นไพ่โพกเกอร์ท่ามกลางแสงเทียน
ในกรุงเทพฯ ย่านธุรกิจ ห้างสรรพสินค้าและป้ายโฆษณาจำนวนหนึ่งก็ร่วมดับไฟ โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งเชิญแขกร่วมรับประทานอาหารค่ำใต้แสงเทียนและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
สวนทิโวลี พระราชวัง และโรงอุปรากรในพระราชวังที่กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ก็ปิดไฟมืดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง รวมถึงไฟถนนหลายจุด
ในโลกอินเทอร์เน็ตก็ไม่น้อยหน้า หน้าโฮมเพจของกูเกิ้ลในหลายๆประเทศก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ พร้อมมีข้อความบอกไว้ว่า "เราปิดไฟของเราแล้ว ตอนนี้ถึงตาคุณบ้าง" และแนะให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ประหยัดพลังงานเมื่อใช้คอมพิวเตอร์
ในอังกฤษ เมืองและสภาเมือง 26 เมืองลงทะเบียนร่วมปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น เช่นเดียวกับสถานที่สำคัญทั้งหลายเช่น พระตำหนักไฮโกรฟของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ศาลาว่าการกรุงลอนดอน วิหารวินเชสเตอร์ และหน่วยข่าวกรอง GCHQ
ข้ามฝากมหาสมุทรแอตแลนติกมาที่สหรัฐฯและแคนาดา หอซีเอ็นในเมืองโทรอนโตและบริเวณรอบๆหอก็ร่วมดับไฟ สะพานโกลเดนเกตในซานฟรานซิสโก และตึกเซียร์สทาวเวอร์ในชิคาโก ปิดไฟมืดเช่นกัน
"จริงๆแล้ว ทุกทวีปรวมถึงแอนตาร์กติกา ต่างมีส่วนร่วม และผมคิดว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าก็คือ เราจะได้ความร่วมมือจากเอเชียและรัสเซียมากยิ่งขึ้น" บอร์น ซีอีโอWWFออสเตรเลีย กล่าว
"เราค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อเราจัดแคมเปญนี้ในปีหน้า จีนจะมีส่วนร่วมกว่านี้มาก" เขากล่าว
เอเนอร์จีออสเตรเลีย บริษัทจ่ายไฟฟ้ารายใหญ่ในซิดนีย์ เผยว่า ช่วง Earth Hour เมืองซิดนีย์ใช้พลังงานลดลง 8.4% ซึ่งเท่ากับมีการปิดไฟ 1.6 ล้านดวง
โพลระดับประเทศของออสเตรเลีย ซึ่งสำรวจผู้คนประมาณ 3,400 คนในวันเสาร์และอาทิตย์ ระบุว่า 58%ของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆของแดนจิงโจ้ ร่วมมือกับโครงการดังกล่าวโดยปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
ขณะเดียวกัน การใช้ไฟฟ้าในเมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งเป็นเมืองเดียวในนิวซีแลนด์ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ ก็ลดลงเกือบ 13%
บรรดาผู้จัดแคมเปญ Earth Hour กล่าวว่า แม้การดับไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แทบจะไม่มีผลอะไรต่อการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน แต่ความจริงที่ว่า ผู้คนจำนวนมหาศาลร่วมมือกันปิดไฟ แสดงให้เห็นว่า มีคนสนใจและวิตกเรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากมายทีเดียว พวกเขาบอกว่า มีแผนจะจัดแคมเปญแบบนี้อีกในวันที่ 28 มีนาคม ปี 2009
