xs
xsm
sm
md
lg

เชิงชั้นหักเหลี่ยมการเมืองของสมัคร สุนทรเวช

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ล่าสุดหนังสือพิมพ์รายวันที่ว่ากันว่ามีการข่าวแหลมคมฉบับหนึ่งได้รายงานข่าวในเชิงซุบซิบว่า เหตุที่ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ไปไหนมาไหนก็ต้องหนีบเอานายทหารใหญ่ไปด้วยนั้น เป็นเพราะมีการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกับคนที่อยู่แดนไกลแถวๆ อังกฤษโน่น

ทำให้ข่าวคราวที่เล่าขานกันมาระยะหนึ่งแล้วว่ามีปัญหาความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างหัวหน้าพรรคตัวจริงกับหัวหน้าพรรคตัวปลอมมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง


แต่ทว่าสถานการณ์ทางการเมืองในวันนี้แม้ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช จะเป็นนักการเมืองเก่าเก๋าเกม จัดจ้านเชิงชั้นการเมืองก็จริง แต่พรรคที่มาอาศัยอยู่นั้นล้วนมีคนหน้าใหม่เป็นพื้น เดชะบุญที่จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในสภา

ต้องอาศัยคะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคนั้นความจริงเป็นพรรคการเมืองคนละฝ่ายกับระบอบทักษิณ และในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งก็ล้วนให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนว่าจะไม่ร่วมงานการเมืองกับพรรคพลังประชาชน

ทั้งเคยเห็นฤทธิ์เห็นเดชของนักการเมืองที่อยู่ร่มไม้ชายคาของพรรคไทยรักไทยมาแล้วว่าเป็นดังที่นายเสนาะ เทียนทอง เคยพูดไว้ในสภาว่าเหมือนกับการติดคุก

ดังนั้นเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดจึงเป็นความอบอุ่นใจอย่างหนึ่งของท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เหตุนี้ท่าทีเออออห่อหมกสนิทสนมกันเป็นพิเศษกับผู้เฒ่าเสนาะ เทียนทอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

และถ้านายเสนาะ เทียนทอง จะอุ้มชูนายสมัคร สุนทรเวช ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนที่ชักชวนนายเสนาะ เทียนทอง เข้าร่วมรัฐบาลนั้นคือนายสมัคร สุนทรเวช

นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ความรับผิดชอบก็เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งประกาศตนเป็นนอมินี

มีการรายงานข่าวในตอนเริ่มตั้งรัฐบาลว่านายสมัคร สุนทรเวช ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์เป็นเวลาถึงกว่า 30 นาที และในการนำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ฯ ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระบรมราโชวาทและให้เข้าเฝ้าฯ นานร่วมครึ่งชั่วโมงอีกโสดหนึ่ง

พระราชดำรัสในการเข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ดังกล่าวนั้นเป็นประการใดไม่มีใครรู้ แต่ก็คงทำให้นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐมนตรีจำนวนหนึ่งมีความสำนึกในความรับผิดชอบต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน มากกว่าที่จะยอมตนเป็นหุ่นเชิดต่อไป

ย่อมทำให้เกิดความสำนึกว่ามาบัดนี้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ต้องปฏิบัติหน้าที่ในราชการแผ่นดินให้อำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาชน 63 ล้านคนของประเทศ สมดังที่ปรากฏความในกระแสพระราชดำรัสในส่วนที่เปิดเผยไปแล้วโดยข่าวราชสำนัก

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ย่อมทำให้คนบางคนตกใจ เพราะหากความสำนึกดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วไซร้ แผนการหลายอย่างก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ และมาถึงวันนี้ก็ส่อแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น

การปฏิเสธไม่ยอมแต่งตั้งคนบางคนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การปฏิเสธไม่ยอมแต่งตั้งนักการเมืองใหญ่แถวบุรีรัมย์เป็นรัฐมนตรี และการสับเปลี่ยนรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง คืออาการที่แสดงความเป็นตัวของตัวเองที่ชัดเจน แม้ว่าจะยังคงต้องเออออห่อหมกลู่ตามลมของพลพรรคพลังประชาชนอยู่ก็ตาม

แต่การวางคนคุมกองทัพเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เห็นได้ชัดว่าในปัญหาหลักการแห่งอำนาจรัฐ ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดให้ใคร คงแสดงท่าทีที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างมั่นคง

และต่อเนื่องมาจนถึงการแต่งตั้งทหารกลางปี ที่แม้จะมีการรายงานข่าวว่านายทหารบางรุ่นได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงเต็มพรึ่บ แต่ความจริงสำหรับคนที่รู้เรื่องการทหารแล้วก็ต้องพูดให้ครบถ้วนว่านายทหารบางรุ่นได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงอยู่บนหิ้งเต็มพรึ่บ

เพราะตำแหน่งสูงๆ ที่ว่านั้นเกือบทั้งหมดเป็นตำแหน่งนอกกองทัพ คือเป็นตำแหน่งในสำนักงานบริหารของกระทรวงกลาโหม และเป็นตำแหน่งในทางธุรการหรือในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับกำลังรบ

กำลังรบจริงๆ ยังคงประกอบกันอย่างเหนียวแน่นเป็นกองทัพไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ

ดังนั้นใครที่เข้าใจผิดคิดว่าคุมทหารได้แล้ว จะประพฤติตนเป็นอันธพาล กดขี่ข่มเหงรังแกข้าราชการและประชาชนตามอำเภอใจนั้นก็ควรจะได้ทบทวนและคิดใหม่ให้ถูกต้อง

เรื่องราวหลายเรื่องในทางการเมือง หัวหน้าพรรคพูดไปทางหนึ่ง แต่บรรดาลูกพรรคสายตรงไม่ยอมรับ ทำไปเสียอีกทางหนึ่ง ซึ่งย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นในพรรคพลังประชาชนในวันนี้ และมันจะเกิดขึ้นให้เห็นมากกว่านี้ ถี่กว่านี้โดยไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นอย่าได้แปลกใจเลยกับข่าวที่นายกรัฐมนตรีมีดำริจะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยต้องตั้งคณะทำงานทำการศึกษาให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน แต่ลูกพรรคต้องการแก้ไขเพียงบางมาตราในส่วนที่จะทำให้การโกงเลือกตั้งเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและเสรี และในส่วนที่จะทำให้การโกงบ้านกินเมืองถูกตัดตอนไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยหวังจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จในเดือนสองเดือนนี้

อันเป็นการแข่งเวลากับกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง และของศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง

แล้วต่อมาก็ปรากฏข่าว ส.ส. ภาคอีสานพรรคพลังประชาชนถึง 51 คนแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบนี้

แม้ในคณะรัฐมนตรีด้วยกัน คุณเฉลิม อยู่บำรุง แสดงบทบาทองครักษ์พิทักษ์คุณทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดเจน ผิดกับน้ำเสียงเมื่อ 3-4 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง และได้ปรารภอยากดูแลงานด้านความมั่นคงบ้าง อยากดูแลเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้บ้าง ต้องการปรับคณะรัฐมนตรีตรงจุดรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของพรรคเพื่อแผ่นดินบ้าง หรือบางครั้งแม้ความปรารถนาอยากจะตอบกระทู้ในสภาเสียเอง ก็ถูกท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ปฏิเสธเสียอย่างหน้าตาเฉย

ในอีกด้านหนึ่ง ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ต้องฟาดฟันต่อสู้อยู่กับพลพรรคฝ่ายค้าน และประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตย รวมทั้งผู้ที่ไม่ชอบขี้หน้าขี้ปากที่สั่งสมมานานไม่ขาดระยะ ทั้งยังมีคดีจ่อตัวอยู่ใน คตส. อีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ฝีมือและความเก๋าทางการเมืองอย่างยิ่งยวด อันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม น่าศึกษา

เพราะจะเกิดภูมิปัญญามากกว่าการเที่ยวฟังข่าวรัฐมนตรีที่ถูกพิษสุนัขบ้าแล้วไล่กัดผู้คนทั่วทุกวงการ โดยไม่เป็นแก่นสารแก่บ้านเมืองเลย

มาดูกันว่าท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช จะต้องสู้ศึกกี่ด้าน? และมีใครบ้างที่พอจะอาศัยเป็นพวก? หรืออย่างน้อยเป็นหลังให้พอพิง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่กระทืบซ้ำยามที่เซมาหา

ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนักและใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตทางการเมืองของท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เพราะมีศึกอยู่รอบด้าน แต่ละด้านก็เอากันถึงตายทั้งนั้น แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วอาจระบุได้ว่าศึกใหญ่ที่สุดมีอยู่สองศึกเท่านั้นคือ

ศึกที่หนึ่ง คือศึกระหว่างคนเสกหุ่นกับหัวหน้าหุ่น ซึ่งมีข่าวคราวหนาหูขึ้นทุกทีว่ามีความรุนแรงถึงขั้นอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว

สอดคล้องกับข่าวที่ว่ามีเหตุการณ์ใครก็ไม่รู้ไปประสานงานติดต่อกระบวนการยุติธรรมกระบวนหนึ่งให้รีบจัดการให้นายกรัฐมนตรีติดคุกติดตะรางจะได้พ้นจากตำแหน่งไปเลยทางหนึ่ง และอีกทางหนึ่งก็มีข่าวที่มีมือดีไปจัดวาระและจัดเอกสารเรื่องการกล่าวหาเรื่องทุจริตรถดับเพลิงขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะพิจารณาของ คตส. โดยที่ประธานไม่ได้สั่งบรรจุวาระ แล้วยังหามือใครดมไม่ได้

จนเป็นเหตุให้ต้องเก็บเอกสารดังกล่าวซึ่งไม่มีวาระพิจารณาออกไปก่อน

ที่ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช มาปูดข่าวว่ามีคนจ้องจะปฏิวัตินั้น ย่อมไม่หมายถึงคนในกองทัพไทยเป็นแน่ เพราะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรง แต่จะเป็นพวกไหนเสียดายที่ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ได้เปิดเผยไว้

เพราะการสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งให้รุนแรงเพื่อจะนำไปสู่การฉวยโอกาสปฏิวัติรัฐประหารนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากฝั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่มาจากฟากไหนก็พอรู้ๆ กันอยู่

เหตุการณ์แบบกบฎเมษาฮาวายที่ยังมีเชื้อและชนวนระเบิดอยู่ในรัฐบาลด้วยกันจึงถูกหวาดระแวงว่าจะเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันคงไม่เกิด คงเป็นเรื่องของการปรามว่ารู้ทันกันเท่านั้น เพราะเรื่องพวกนี้หากเป็นเรื่องจริงแล้วเขาย่อมไม่พูดกัน

ในศึกที่หนึ่งนี้ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช สามารถอาศัยพลังของพรรคร่วมรัฐบาลและกำลัง ส.ส. ของรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลปัจจุบันได้มาก โดยไม่ต้องพูดถึงหรือให้ความสนใจพวกรัฐมนตรีขี้หมาหรือรัฐมนตรีเด็กฝากที่ไม่มีฐาน ส.ส. อยู่ในมือ แต่ทำกร่างเป็นคางคกขึ้นวออยู่ในขณะนี้

ในกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ตัดสินใจต่อสู้ยืนอยู่กับความถูกต้องก็จะก่อตัวเป็นขั้วอำนาจหนึ่งขึ้นในรัฐบาล และจะมีกำลังเข้มแข็งมากขึ้น ปลดแอกตัวเองได้มากขึ้น

เพราะเมื่อยืนอยู่กับความถูกต้อง ไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับใคร ทำตัวเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วก็ย่อมได้รับการหนุนช่วยจากพลพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งบางส่วนในพรรคพลังประชาชนเอง แม้กระทั่งฝ่ายค้านก็ตามที ซึ่งจะทำให้สายเหยี่ยวในพรรคทำอะไรไม่ได้

การเมืองในสภาก็จะเป็นสามขั้วขึ้นมา คือขั้วสายตรงในพรรคพลังประชาชน ขั้วฝ่ายค้าน และขั้วของนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีกำลังพรรคร่วมรัฐบาลเป็นกำลังหลัก โดยจะมีพวก ส.ส. ในสายของรัฐมนตรีสนับสนุนร่วมอยู่ด้วยอีกทางหนึ่ง

นี่แหละที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก! อำนาจที่ว่านี้คืออำนาจอธิปไตยของปวงชนที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านคณะรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะให้อำนาจอื่นมาสิงหรือแฝงปล้นอำนาจนี้ หรือบิดเบือนการใช้อำนาจนี้เป็นอันขาด

และถ้าจำเป็นหรือพวกรัฐมนตรีบางคนยังคงประพฤติตนเป็นอันธพาล ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็อาจใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเฉดหัวปรับออกไป แล้วเอาคนที่มีกำลัง ส.ส. จากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แทน

จะไม่มีการยุบสภาตามที่พวกสายเหยี่ยวคาดหมายแน่ จะมีก็แต่การปรับรัฐมนตรีขี้หมาขี้ไก่หรือรัฐมนตรีหมาบ้าออกไปจากตำแหน่งเท่านั้น

ศึกที่สอง เป็นศึกรอบตัวทั่วทิศที่กำลังโถมถั่งเข้ามา แต่แท้จริงไม่ใช่ศึกใหญ่ และขึ้นอยู่กับศึกที่หนึ่ง เพราะภาคประชาชนนั้นพร้อมจะสนับสนุนการกระทำที่ถูกต้องของรัฐบาล ที่เขาคัดค้านและต่อต้านก็เฉพาะในส่วนที่ประพฤติเป็นหุ่นเชิด ถ้าประพฤติตนเป็นหุ่นเชิด ศึกภาคประชาชนก็จะฟาดฟันจนนายสมัคร สุนทรเวช เสียผู้เสียคนและไม่มีศักดิ์ศรีหน้าตาพบหน้าผู้คนได้อีกเลย

แต่ถ้าเมื่อใดที่เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วก็มีแต่จะได้รับการสนับสนุนจากทั่วด้าน

อนาคตของท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช และประเทศไทย ตลอดจนสถาบันต่างๆ ของชาติจะเป็นประการใด จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจว่าจะเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง หรือว่าจะเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดเท่านั้น?
กำลังโหลดความคิดเห็น