xs
xsm
sm
md
lg

มวลชนกู้วิกฤติชาติแน่นมธ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (28 มี.ค.) เวทีรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ ที่หอประชุมใหญ่

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา16.00 น.โดยมีนายสำราญ รอด

เพชร เป็นผู้ดำเนินรายการ มีประชาชนจากทุกสารทิศทั่วประเทศ เดินทางมาร่วม

สัมมนากันจนแน่นหอประชุมใหญ่ และบริเวณโดยรอบ ทั้งนี้ มีการประเมินว่า

ประชาชนที่มาร่วมสัมมนาในครั้งนี้มีมากกว่า 10.000 คน
สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไปก่อน รายการยามเฝ้าแผ่นดินฯ จะเริ่มขึ้น

ที่บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ มธ.ได้มีผู้คนเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่ง

ยังยืนอออยู่ทางเข้าประตูหอประชุม เพราะที่นั่งเต็ม แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าของ

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดเตรียมจอมอนิเตอร์ 2 จุด บริเวณ

หน้าหอประชุมศรีบูรพา และลานประวัติศาสตร์
ขณะที่บรรยากาศโดยรวมนอกห้องประชุม มีการเปิดร้านขายของ

มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน มีร้านขายหนังสือการเมือง และเสื้อรณรงค์ รวมทั้งมีการ

แสดงละครการเมืองล้อเลียนการเมือง "หมัก 1" ที่พยายามจะโยกย้ายข้าราชการ

อย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ตัวแทนพันธมิตรฯชัยภูมิ ได้มอบเงินผ้าป่าสนับสนุกการ

เคลื่อนไหวให้กับนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ จำนวน 64,500

บาท
ส่วน ที่บริเวณด้านหน้าหอประชุม มีการตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อของ

ประชาชนเพื่อยื่นถอดถอนนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ด้วย
**นศ.สับรัฐบาลหมักนอมินีฟอกแม้ว
สำหรับรายการบนเวทีนั้น เวลา 16.10 น. ตัวแทนนักศึกษาจากหลาย

สถาบัน ได้ขึ้นเวทีอภิปรายเรื่อง "เสียงสะท้อนคนรุ่นใหม่...จะฝ่าข้ามการเมืองที่น่า

อึด เบื่อหน่าย และไร้ความหวังได้อย่างไร" โดยมี นายแสงธรรม ชุนชฎาธาร เป็น

ผู้ดำเนินรายการ โดยมีตัวแทนนิสิต-นักศึกษา จากสถาบันต่างๆ ร่วมกันแสดง

ความคิดเห็น อาทิ นายษัษชรัมย์ ธรรมบุษดี รัฐศาสตร์ปี 4 จุฬาฯ, นายกฤติน ดิ่งแก้ว

ปี 1 นิติศาสตร์ มธ., นายจิรยุทธิ์ ร่วมสุข ปี 1 มหาวิทยาลัยรามคำแหง, นายยศ ตัน

สกุล, นายยุรชัฏ ชาติสุทธิชัย นิเทศฯ ปี 3 ม.กรุงเทพ และนายศตวรรษ อันทรายุธ

เลขาธิการศูนย์ประสานงานนักเรียนนิสิตนักศึกษา
ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาที่เป็นนักศึกษารุ่นใหม่ ต่างได้ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์

การทำงานของรัฐบาลยุคนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ว่า ไม่

ได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาของประเทศชาติอย่างจริงจัง หากแต่เข้ามาเพื่อที่จะฟอกตัว

ให้กับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร รวมถึงอดีตผู้บริหารพรรคพลังประชาชน

กระทั่งนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ มากมาย อาทิ การย้ายอธิบดี ดีเอสไอ, การวางตัว

และคำพูดจาที่ไม่เหมาะสมของตัวนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาหยาบคาย การตี

รวน เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของเด็ก เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, การแทรกแซงสื่อ

ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจักรภพ เพ็ญแข, ปัญหาเรื่องของการ

ศึกษา, เรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่นอกจากจะเต็มไปด้วยการสร้างภาพ และ

ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ รวมไปถึงความหวาดกลัวของ รมว.มหาดไทย

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ไม่กล้าเดินทางลงภาคใต้ด้วยตนเอง โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจ

หน้าที่
นอกจากนี้ ในตอนท้ายของการเสวนาได้มีการฉายวิดีโอการสัมภาษณ์

เด็กๆ บริเวณศูนย์การค้าสยามสแควร์ ต่อการทำงานของรัฐบาลโดยเด็กๆ ส่วน

ใหญ่ต่างต่อว่า และติติงไปยังตัวนายกฯในเรื่องของการพูดจา และวอนให้รัฐบาล

หันมาดูแลในเรื่องของการศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นที่ถูกใจของผู้เข้าร่วมการ

สัมมนาในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
จากนั้น เวลา 17.15 น. "หงา คาราวาน" ได้ขึ้นเวทีแสดงคอนเสิร์ตเพลง

เพื่อชีวิต
**พันธมิตรฯยันเดินหน้าขุดคุ้ยทุจริต
เวลา 17.40 น. นายวีระ สมความคิด เลขาธิการคปต.(กลาง) นายไชย

วัฒน์ สินสุวงศ์ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย (อีสาน) นายสุทธิ อัชฌาศัย ตัว

แทนพันธมิตรฯ ภาคตะวันออก นายบรรจง นะแส ตัวแทนพันธมิตรฯ ภาคใต้ และ

นายสุวัฒน์ วัฒนศิริ ตัวแทนพันธมิตรฯภาคเหนือ ได้ขึ้นเวทีอภิปราย "รัฐบาล

เลือกตั้งกับการเมืองภาคประชาชน" โดยมี อัญชลี ไพรีรัก เป็นผู้ดำเนินรายการ
ก่อนที่นายวีระ จะเริ่มพูดได้มีการเปิดเทปบันทึกเสียงการโทรศัพท์ขู่

เอาชีวิต ไม่ให้เข้ามาตรวจสอบการทุจริตและขัดขวางการกระทำมิชอบของ

รัฐบาลที่มีความยาวประมาณหนึ่งนาทีเศษ จากนั้น นายวีระ กล่าวย้ำว่า การดำเนิน

การตรวจสอบของตัวเองจะมีผลกระทบสำหรับคนโกงเท่านั้น ส่วนคนสุจริต และ

ข้าราชการสุจริตจะไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น และยืนยันว่า การข่มขู่ คุกคามจะ

ไม่มีทางมาหยุดยั้งตัวเองได้
"การสัมมนาพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา มันไปทำลายบรรยากาศตรงไหน

ทีพวกเค้าไปทำลายบรรยากาศ ยกตัวอย่าง นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำ

สำนักนายกรัฐมนตรี เข้าไปเปิดเผยเรื่องภายในของ อสมท สิ่งนั้นน่าจะเกิดผล

กระทบต่อการลงทุนมากกว่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน วันนี้รู้สึกหดหู่กับ

รัฐบาล ที่มีนายกรัฐมนตรี และเสนาบดี ที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ตั้งแต่เข้ามาทำงานไม่

เห็นผลงาน วันๆ เอาแต่ไปทะเลาะกับคนนั้นคนนี้" นายวีระกล่าว

**ภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง
ด้านนายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ตามปกติรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถือว่า

เป็นนอมินีของประชาชน แต่กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดนี้

เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นว่า นักเลือกตั้งพวกนี้เป็น "นักล่าลาภ"

แสวงหาผลประโยชน์ภายหลังได้เข้ามาเป็น ส.ส.ไม่สนใจ ว่า ประเทศจะเกิดความ

เสียหายมากน้อยหรือไม่
"เราต้องสร้างการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็ง สร้างความเข้าให้กับ

ประชาชนในระดับรากหญ้า อย่าปล่อยให้นักการเมืองที่ไม่ดีเข้ามาครอบงำทาง

ความคิด เฉกเช่น การเลือกตั้งในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ที่ผ่านมา คนทั้งประเทศเห็นผล

การเลือกตั้ง ก็ด่วนสรุปยกให้เป็นพื้นที่ของกลุ่มอำนาจเก่า โดยหากดูจากข้อมูล

กลับพบว่า ต้นเหตุที่ทำให้เสียงไหลไปอยู่กับกลุ่มอำนาจเก่า มาจากการดำเนินการ

จัดการเลือกตั้งที่ไร้ประสิทธิภาพ เสียงประชาชนในพื้นที่แตกแยก จนคะแนนส่วน

ใหญ่เทไปยังกลุ่มดังกล่าว" นายไชยวัฒน์กล่าว
ขณะที่นายสุทธิ กล่าวว่า ตนเรียกร้องให้นายสมัคร เปิดเผยข้อมูลการ

ทุจริตในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตามที่เปิดเผยข้อมูลออกมาก่อนหน้านี้

โดยระบุว่า ในสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบฯให้เปิดเผยข้อมูลใน

เรื่องนี้ การเมืองมันต้องมีการพัฒนา มีความเจริญ พร้อมทั้งต้องสร้างโอกาสให้กับ

ภาคประชาชน ดังนั้น การรวมตัวของเราในวันนี้เป็นการเมืองภาคประชาชนอย่าง

แท้จริง มีที่มาที่ไป มีความหวังดีต่อประเทศชาติ ไม่ได้คิดหรือไปจ้องทำร้ายใคร

ยึดประเทศเป็นหลัก
ทั้งนี้ หากการเมืองภาคประชาชนไม่เอาผลประโยชน์ของประชาชนมา

เป็นตัวตั้ง เราคงพูดไม่ได้ เราต้องนำข้อเท็จจริงและข่าวสารที่ถูกปกปิดมาเปิดเผย

ปัญหามันต้องอยู่บนฐานข้อมูลที่ตั้งเป้าให้ชัดเจน ขณะเดียวกัน ต้องกำจัดนักการ

เมืองที่มุ่งหวังทำร้ายการเมืองภาคประชาชน โดยใช้เหตุและผลความจริงเป็นหลัก

ต้องจัดระบบให้ถูกต้อง
ส่วนนายบรรจง กล่าวว่า โรคของคนไทยในเวลานี้ มีโรคของคนจน

โรคของช่องว่างระหว่างรายได้ มีผลประโยชน์ มีการแย่งชิงทรัพยากร เวลานี้ถ้า

เปรียบประชาธิปไตยในบ้านเราเหมือนกับ ประชาธิปไตยผีดิบไม่มีจิตวิญญาณเพื่อ

ประชาชน มีแต่ผลประโยชน์เป็นใหญ่
ขณะที่นายสุวัฒน์ กล่าวว่า ตามปกติรัฐบาลจะแยกไม่ออกกับประชาชน

แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อเราส่งเข้าสภาแล้วไม่ได้ดูแลต่อ เพราะเชื่อว่าจะทำหน้าที่

เป็นตัวแทนของประชาชน แต่ปรากฏว่า ทุกอย่างตรงกันข้าม คิดแต่ประโยชน์

ส่วนตัว พวกพ้อง แต่โชคดีที่มีพันธมิตรฯมาปลุกให้ตื่นตัว ทำให้รัฐบาลที่มี

พฤติกรรมแบบนั้นต้องหยุดลง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การเมืองภาคประชาชนใน

ภาคเหนือตื่นตัวมากขึ้น
**ม็อบถ่อยป่วนปาขวดน้ำเข้าฝั่งมธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่การอภิปรายของกลุ่มพันธมิตรฯภายใน

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้เป็น

จำนวนมาก ทำให้หอประชุมใหญ่ มธ. ซึ่งสามารถจุคนได้ประมาณ 2,600 คนดูเล็ก

ไปถนัดตา และยังมีส่วนหนึ่งล้นออกมาหน้าหอประชุมด้วย
อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มต่อต้านที่ใช้ชื่อว่า "กลุ่มประชาชนรักประชาธิปไตย

พาประเทศไทยก้าวหน้า และชมรมแท็กซี่อีสาน" ซึ่งมาปักหลักอยู่ที่บริเวณสนาม

หลวง เริ่มมีการพูดจายั่วยุ และเผชิญหน้ากันอยู่โดยมีการขว้างปาก้อนหิน ขวดน้ำ

และลูกมะพร้าว เข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าประตู แต่สิ่งของ

ทั้งหมด ได้ตกลงกลางถนน ทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 ได้สั่งให้

ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวเข้าไปดำเนินการ พร้อม

กับใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้หยุดการกระทำดังกล่าว โดยระบุว่า หากมีการ

ขว้างปาสิ่งของใดๆ เกิดขึ้นอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการสลายกลุ่มผู้ชุมนุม

ทันที
ต่อมา พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ได้เดินทางมาตรวจความเรียบ

ร้อยภายใน มธ.และได้เข้าไปเจรจากับกลุ่มที่ชุมนุมอยู่บริเวณสนามหลวงให้อยู่ใน

ความสงบ พร้อมกล่าวว่า มั่นใจจะควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะมีกำลังตำรวจ

ดูแลอย่างเข้มงวด
ขณะที่บริเวณหน้าบ้านพระอาทิตย์ ที่ทำการของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

ก็มีการตั้งด่านตรวจดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

**สุดถ่อยเมา-ทำลายของหลวง
ต่อมาเวลากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้พากันตะโกนผ่านโทรโข่ง กล่าวหาว่า

ฝั่งพันธมิตรฯมีอาวุธ ขอให้ตำรวจช่วยตรวจค้นด้วย อีกทั้งชายเสื้อแดงที่เป็นแกน

นำได้ประกาศผ่านโทรโข่งว่า เวลา 20.00 น. จะเป็นผู้นำพากลุ่มผู้ชุมนุมข้ามไปยัง

ฝั่ง มธ. เนื่องจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นของประชาชน จากนั้นได้ประกาศ

ขอให้ นายสนธิ และกลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการเสวนาในทันที ไม่เช่นนั้นจะข้ามเข้าไป

ในมหาวิทยาลัยแน่นอน
ทั้งนี้ พบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านฯบางคนอยู่ในอาการมึนเมาสุรา แสดง

อาการป่าเถื่อนใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการปิดประตู มธ.ฝั่งหอประชุมใหญ่ ติดกับ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาภายใน

มหาวิทยาลัยฯ โดยจะมีการตรวจกระเป๋าและค้นตัวของทุกคนอย่างเข้มงวด พร้อม

ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศบอกกลุ่มแนวร่วมต่อต้านพันธมิตรฯ ให้อยู่ในความสงบ

อย่ายั่วยุ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า กระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น.กลุ่มผู้ชุมนุมต่อ

ต้านพันธมิตรฯ ก็ยังคงชุมนุมกดดันอยู่ที่บริเวณหน้ามธ. ฝั่งท้องสนามหลวงอย่าง

ต่อเนื่อง บางคนถึงขั้นประกาศไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ออกจากมหาวิทยาลัย

ภายหลังเสร็จสิ้นการสัมมนารายการยามเฝ้าแผ่น ขณะที่การสัมมนารายการยามเฝ้า

แผ่นดิน ได้มีการปราศรัยโจมตีกลุ่มต่อต้านอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนัล ได้รายงานถึงความคืบหน้า

ในกรณีกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ที่รวมตัวกันอยู่บริเวณท้องสนามหลวงว่า เมื่อเวลา

ประมาณ 20.30 น.ตำรวจซึ่งควบคุมกลุ่มผู้คัดค้านที่ปักหลักอยู่บริเวณสนามหลวง

ได้ประกาศเตือนประชาชนที่อยู่ในฝังสนามหลวงว่า มีสายข่าวรายงานว่า มีผู้เห็นผู้

กลุ่มผู้ไม่หวังดี ซึ่งตำรวจไม่ได้ระบุว่าเป็นกลุ่มใดได้รื้ออิฐตัวหนอนที่ปูไว้ที่สนาม

หลวง ซึ่งตำรวจคาดว่า จะนำไปเพื่อเตรียมการก่อความไม่สงบ จึงได้มีการประกาศ

เตือนประชาชนที่อยู่ใกล้บริเวณสนามหลวง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดัง

กล่าว หลีกเลี่ยงบริเวณดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย

**อัดรัฐบาล "เหล่แต่ผลประโยชน์"
เวลา 18.45 น.มีการอภิปรายเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย" โดย

ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.เรืองวิทย์

เกษสุวรรณ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อดีตคณบดีคณะรัฐ

ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, รศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี รองคณบดี

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ศ.ดร.ภูวดล ทรง

ประเสริฐ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.

ไชยันต์ ไชยพร และผศ.ดร.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย
ผศ.ทวี กล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องเหลียวหลังแลหน้า ให้มองกันตรงๆ

เลยว่า บ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร อย่างตอนที่เขาอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (

สนช.) ก็คึกคักอยากทำโน่นทำนี่ แต่พบว่ามีความขัดแย้งระหว่างผู้นำ ทำให้คุยกัน

ไม่รู้เรื่อง อีกทั้งการปฏิวัติ 19 ก.ย.49 ที่ล้มเหลวเพราะรัฐบาลก่อนไม่ได้ถอนราก

ถอนโคนกลุ่มอำนาจเก่า
"การปฏิวัติต้องมีต่อไป แต่เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน เพราะเราไว้ใจ

ใครไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยความสุขุมรอบคอบ ซึ่งกระบวนการของพี่น้อง 2-3 ปีที่

ผ่านมามีความสุขุมรอบคอบ และควรจะต้องสุขุมรอบคอบต่อไป" ผศ.ทวีกล่าว
ทั้งนี้ ผศ.ทวี เปรียบเทียบว่า เมื่อมองการเมืองเหมือนการดูโหวงเฮ้ง ดู

รูปร่างหน้าตาของการปกครองประเทศ ปากเปรียบได้กับผู้นำหรือผู้ปกครอง
"รัฐบาลนี้ปากไม่สวยพูดไม่เพราะพูดเลอะเทอะ" ส่วนหูคือสมาชิก

วุฒิสภา เป็นได้แค่ตุ้มหู ห้อยไว้สวยๆ งามๆ ส่วนตา คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

หรือ ส.ส. ซึ่งส่วนใหญ่จะตาเข มัวแต่เหล่หาผลประโยชน์ ด้วยความอิจฉาซึ่งกัน

และกัน ส่วนจมูกคือพรรคการเมืองที่ใหญ่เทอะทะ สุดท้ายแก้มและหน้าผากซึ่ง

หมายถึงตัวนักการเมือง ไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก
ถ้าอยากเอาประเทศชาติให้รอดอย่าไปเพิ่งนักการเมือง เพราะหัวคือ

รัฐบาลต้องไม่เหม็น ต้องสระผมทุกวัน ส่วนลำคอจะต้องแข็งแรงมีกระบวนการ

ในการตรวจสอบหันซ้ายขวา นำพาร่างกาย ลำตัวจะต้องฟิตแอนด์เฟิร์มบำรุงร่าง

กายมีกำลังใจ สุดท้ายแขนและขาค่อนข้างจะลำบาก เมื่อหัวเป็นอย่างไรก็จะบังคับ

แขนขาไปในทางนั้น บ้านเมืองของเราไม่มีใครช่วยกันได้ เราต้องบำรุงร่างกายให้

แข็งแรงจึงจะช่วยกันสร้างประชาธิปไตยให้ได้
รศ.ดร.เรืองวิทย์ กล่าวว่า ต้องย้อนสภาพการเมืองไทยไปตั้งแต่รัฐบาล

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่นำระบอบประชานิยมมาใช้ หาเสียงกับคนจน ให้คนจน

เป็นพลังอำนาจใหม่หาเสียงสู่ประชาชน แต่ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผู้ทีได้รับเลือกเข้ามา

ไม่เป็นอิสระ จนมีปัญหาส่วนตัวเรื่องทรัพย์สินและนำไปสู่การปฏิวัติ มีรัฐบาล

ทหารเข้ามา แต่รัฐบาลทหารไม่ได้จัดการอย่างเด็ดขาด
รศ.ดร.เรืองวิทย์ ระบุว่า ประชานิยมสำหรับสมัยใหม่ใช้ไม่ได้ เพราะ

จะทำให้โครงสร้างใหญ่ๆ มีปัญหา อย่างเช่นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ใน

ปัจจุบันแบบประชานิยม ทำให้บานปลายออกไป และเชื่อว่าจะมีปัญหาในอนาคต
ส่วนปัญหาอีกอย่างที่คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ ชี้ว่าแตกต่างจากรัฐบาลก่อน

คือ "ตัวผู้นำ" ที่ไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริง ไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ตามใจชอบ รวม

ทั้งพอมีอำนาจก็เริ่มใช้อำนาจมาก ซึ่งในทางรัฐศาสตร์จริงๆ ไม่ต้องการให้รัฐมี

อำนาจมาก แต่ถ้ารัฐบาลนั้นทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมก็ดี
"ที่ผ่านมารัฐบาลย้ายข้าราชการ ย้ายตำรวจ ย้ายหมอ เยอะแยะ อย่างเรื่อง

จะยกเลิกซีแอลยา ทั้งหมดก็เพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม และล่าสุดก็พยายามจะแก้

รัฐธรรมนูญแก้ปัญหาใบแดง"
รศ.ดร.เรืองวิทย์แจกแจงว่า ประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

ประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างจากสมัยก่อนจากประชาธิปไตยตัวแทนที่มาใช้สิทธิ์

เลือกตั้ง 4 วินาที แล้วจบกัน เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ก็จะสามารถ

เปิดเวทีสาธารณะอย่างที่เราทำกัน
"ความเป็นเผด็จการไม่ใช่จากที่มาของอำนาจ แต่มาจากการใช้อำนาจ

ภาคประชาชนกำลังไปไกล และมีส่วนร่วมอย่างทั่วประเทศ ขณะที่รัฐบาลก็ยังคิด

ว่ามีอำนาจมาก ซึ่งประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ได้อยู่ในตำราอยู่ที่คนเขาพูดกัน

ประชาธิปไตยอยู่ที่เขาพูดอย่างไรคิดอย่างไร แต่ตอนนี้พูดกันว่า เงินไม่มากาไม่เป็น

ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่เป็นจริงๆ แต่ต้องบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด" รศ.ดร.เรืองวิทย์

อธิบาย

ทางด้าน รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า 2 ปีที่เราต่อสู้กันมา มีหลายคนบอกว่า

การต่อสู้ของประชาชนในฝั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้มเหลว ในวันที่

พ.ต.ท.ทักษิณ บินกลับมาประเทศไทย เป็นวันแห่งสำเร็จหรือล้มเหลวของพวกเรา

ขอบอกว่า เป็นวันแห่งความสำเร็จของเรา เพราะว่าสามารถทำให้นายกฯ เข้าสู่

กระบวนการยุติธรรมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่สามารถเอานักการเมืองระดับ

นายกฯ ขึ้นศาล เพราะฉะนั้นอย่าหลงลืมประเด็นนี้เลย
รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวด้วยว่า ขอเรียนว่าคดีฉีกบัตรของตัวเขาเองนั้น ยัง

อยู่ในการพิจารณาของอัยการสูงสุด ไม่ได้ผิดแล้วลอยนวล ไปรายงานตัวทันที ไม่

ได้บ่ายเบียง 17 เดือนแล้วมา เพราะฉะนั้นเราต้องต่อสูทางกำหมายเท่าเทียมกัน

**ย้ำไม่ชอบธรรมหากแก้รธน.
ศ.ดร.สุรชัย ย้อนภาพการเมืองไทยว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ 76 ที่ไทยได้

เปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่กลับมีปัญหาไม่สิ้นสุด ทั้งนี้

ประเทศไทยที่ผ่านการปกครองในระบบประชาธิปไตยใช้เวลามากกว่าครึ่งอยู่ใต้

อำนาจเผด็จการทหาร ขณะตลอดเวลาประชาชนไม่ได้รับการดูแลให้การศึกษา

และอบรมเรื่องสิทธิเสรีภาพและระบบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ได้รับการอบรม

เรื่องวัฒนธรรมที่ถูกต้อง
“76 ปีที่ผ่านมา การทำงานของรัฐบาลนั้น หากมองในระบบเศรษฐกิจ

ถือว่ามีการกระจายรายได้ที่แย่มาก ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกระจายทั่ว

ประเทศ นับเป็นความล้มเหลวที่สำคัญที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการซื้อเสียงและมี

การใช้อำนาจเผด็จการ ทำให้คนจำนวนน้อยรวยมาก คนจำนวนมากยากจน คนรวย

เหล่านี้ใช้เงินของเขาตั้งพรรคและซื้อเสียง ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าการเลือกตั้งจึงไม่มี

ความหมาย”
ศ.ดร.สุรชัย กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ประชาธิปไตยของไทยจึงไม่สามารถ

พัฒนาได้อย่างเท่าเทียม พร้อมกับวัฒนธรรม “กินตามน้ำ” ส่งผลให้การพัฒนาของ

ประเทศถดถอย ส่วนหนทางนำไปสู่ประชาธิปไตยตามครรลองนั้น อาจารย์รัฐ

ศาสตร์ มธ.แนะว่าต้องให้ประชาชนมีความรู้ทางการเมือง ให้มีการกระจายรายได้

อย่างทั่วถึง เพราะที่ผ่านมาคนมีฐานะหรือนักการเมืองจะเข้าไปหาประชาชนก่อน

การเลือกตั้งเท่านั้น มีแต่การโฆษณานโยบายต่างๆ ของรัฐบาล แทนที่จะให้ความ

รู้ประชาชน เสริมสร้างประชาธิปไตยผ่านระบบการศึกษา
“หลักรัฐศาสตร์สมัยใหม่ประชาชนจะเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น ต้อง

ให้ประชาชนมีบทบาททางประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งต้องคอยตรวจเช็ก

นักการเมืองว่าผู้ใดทำผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ แต่เท่าที่ผ่านมาเมื่อพบความผิด

นักการเมืองของเราไม่เคยจะลาออกไป มักจะโยนความผิดให้คนอื่นเสมอ”
อย่างไรก็ดี อาจารย์รัฐศาสตร์ มธ.ย้ำว่า “ห้ามแก้รัฐธรรมนูญโดยเด็ดขาด”

เพราะนักการเมืองชุดนี้เข้ามาด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และถ้าแก้ก็ถือว่าไม่มีความ

ชอบธรรม ซึ่ง ศ.ดร.สุรชัย ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลชุดนี้ตัดตอนระบบศาลยุติธรรม

เพื่อช่วยเหลือคนบางคนหรือไม่ และต้องระมัดระวังให้เป็นไปตามครรลอง

ระบอบประชาธิปไตย
ศ.ดร.สุรชัย ทิ้งท้ายไว้ว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนมีความรู้

ด้านประชาธิปไตยอย่างดีมาก ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษที่ใช้กฎหมายแบบคอม

มอนลอว์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษรก็อยู่มาได้ยาวนาน ดังนั้น เราต้อง

พัฒนาความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงจะสามารถก้าวสู่ประชาธิปไตย

ตามครรลองได้
ทางด้าน ผศ.ดร.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย ระบุว่าประเด็นสำคัญ คือ เราไปไว้ใจลายลักษณ์อักษรไม่ได้ อย่าง

กรณีซื้อเสียงที่จับได้ในรัฐบาลปัจจุบัน แทนที่จะออกมาบอกว่าจะได้ไม่มีการซื้อ

เสียงต่อไป กลับบอกว่าเปลี่ยนรัฐธรรมนูญดีกว่า
ส่วนกรณีโยกย้ายข้าราชการเป็นจำนวนมากของรัฐบาลชุดนี้ ที่เมื่อถูก

วิพากษ์วิจารณ์ก็บอกว่าที คมช.ยังย้ายข้าราชการได้ ทำไมรัฐบาลกลุ่มนี้ถึงย้ายไม่ได้

ผศ.ดร.สุรัตน์ อธิบายว่า จริงอยู่ที่การย้ายข้าราชการเป็นอำนาจของนายกฯ แต่นั่นต่อ

เมื่อทำงานไปสักพักหนึ่งแล้วบุคลากรไม่สนองอำนาจนโยบายจึงจะย้ายได้ แต่ที่

ผ่านมามีคำถามว่าข้าราชการไม่ทำงานตรงไหน

**ชี้"รัฐบาลหมัก"จนมุมดับไฟใต้
ด้าน รศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า เมื่อมองดูภาพภาคใต้กระบวนการภาค

ประชาชนก็มีการขยายตัวอย่างมาก ในรอบสิบปีทีผ่านมา ความจริงภาคใต้เข้มแข็ง

อยู่แล้วมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จุดที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงคือใน

ช่วงรัฐบาลทักษิณ ที่มาจากการเลือกตั้งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแต่ได้ทำควมผิด

พลาดทางนโยบาย คือยกเลิกศอ.บต.ทำให้เกิดปัญหาการบริหารจัดการและความ

ขัดแย้ง มีความรุนแรงที่แฝงตัว ปัญหาชาติพันธุ์และประวัติศาสตร์ ที่ซ่อนมาหลายปี

ประทุออก จนในที่สุดเกิดเหตุรุนแรงเมื่อปี47
"ถ้าเรามองแล้วอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความล่มสลายของรัฐบาล

ทักษิณ ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาภาคใต้ได้ ทำให้ความรุนแรงขยายตัวออกมา มีทั้ง

การละเมิดสิทธิมนุษยชน การอุ้มฆ่า การใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต นี่คือความล้ม

เหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหาภาคใต้ จุดสำคัญตอนนั้นคือ การตื่นตัวของ

ประชาชนที่รับรู้ต่อปัญหาของตนเองก็สูงทีเดียว มีการเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ เป็น

พลังที่จะตรวจสอบในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น"
รศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวต่อว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หลังรัฐ

ประหารเมื่อปี 49 ก็มีการเปลี่ยนแปลงสู่รัฐบาลขิงแก่ (พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น) ก็มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาคใต้ มีแนวโน้มในทาง

ที่ดีขึ้น แต่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ปัญหาก็ยังคงขยายตัวต่อไป จะเห็นได้ว่าเราต้อง

การพลังการมีส่วนร่วมของประชาชนสูงและวิถีทางสันติที่มากกว่านี้ เพื่อแก้

ปัญหาใต้อย่างสมบูรณ์แบบ
รศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวอีกว่า ต่อมารัฐบาลปัจจุบันแม้จะมาจากการ

เลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนในรูปแบบการแก้ปัญหา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ท้าทายสังคม

ไทย ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร และจะทำให้ความรุนแรงไม่ขยายตัวต่อไป ซึ่งมอง

ว่าเป็นโจทย์ใหญ่ที่เราต้องมาทบทวนอย่างมาก และสะท้อนภาพรวมของสังคม

ไทยว่าจะหาทางออกอย่างไร เพื่อให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์มากขึ้น โจทย์ภาคใต้

เป็นโจทย์ที่สำคัญที่ต้องคิด และรัฐบาลก็ยังไม่สามารถมีความชัดเจนได้ แม้แต่

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ก็ยังยอมรับว่ายังไม่รู้แนวทางแก้ปัญหา
"คิดว่าแนวโน้มนโยบายรัฐบาลปัจจุบันจะไปซ้ำรอยรัฐบาลไทยรักไทย ที่มีแต่จะ

รุนแรงขึ้นหรือไม่"
รศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า เชื่อว่านโยบายรัฐบาลปัจจุบัน จะสืบทอด

นโยบายไทยรักไทยในอดีต เพราะประสบการณ์ในอดีตที่เรียนรู้ของไทยรักไทยมี

อย่างมากทีเดียว พูดง่ายๆ คือคลุกฝุ่นมาแล้ว ทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านไม่ดีมีเยอะ

การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงแล้วขยายออกไป นี่เป็นบทเรียนที่รัฐบาลปัจจุบันน่า

จะเรียนรู้ว่าทำไม่ได้ เพราะจะทำให้ตัวเองพัง แต่จะหาทางออกก็ไม่ได้ ตรงนี้ต้อง

อาศัยบทบาทกองทัพมาช่วย แต่กองทัพเองก็ยังขาดยุทธศาสตร์ ดังนั้นทางออกควร

ร่วมมือกับภาคประชาสังคม หาทางร่วมกัน ขณะเดียวกันรัฐบาลควรจะเปิดใจแล้ว

ยอมรับการเปลี่ยนแปลงหาวิธีใหม่ๆในการแก้ปัญหาไม่ใช่วิธีรุนแรงอย่างเดียว
ผศ.ดร.สุรัตน์ ถามว่า เท่าที่ผ่านมาสื่อบอกว่าทั้งนายกฯและรมว.

มหาดไทย ควรจะไปใต้ แต่ตอนนี้ยังไม่ไป มันบ่งบอกอะไรหรือเปล่า คิดว่าเกิด

จากความไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่ผ่านมานายกฯหรือรมว.มหาดไทย มักจะลง

ไปเยี่ยมเยียนก็ต่อเมื่อเกิดระเบิดสักครั้งก็ลงไปที แต่ก็แก้อะไรไม่ได้ คงจะไม่กล้า

ไปซ้ำรอยเดิมอีก แต่ก็มีขีดจำกัดว่าแม้ตัวไม่ไปแต่มีความคิดที่ดี ก็เป็นไปได้ แต่

ตอนนี้ความคิดที่ดีก็ไม่มีเลยหาทางออกไม่ได้
"ค่อนข้างเอียงไปในทางใช้ความรุนแรง ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาขยายตัว

ออกไปอีก น่าหนักใจมากว่าสังคมไทยถ้าหาทางออกภาคใต้ไม่ได้ ก็ค่อนข้างจะ

มืดมนในระยะยาว แล้วก็สะท้อนความสามารถของผู้นำประเทศว่ามีขีดที่จำกัด"

รศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าว เมื่อถูกถามว่า รมว.มหาดไทย พูดเรื่องฆ่าตัดตอน ดูแล้ว

แนวโน้มก็น่าจะออกไปในทางรุนแรงมากกว่าหรือไม่

**"ภูวดล"ปลุกต้านนักการเมืองอัปรีย์
ส่วน ศ.ดร.ภูวดล กล่าวว่า วันนี้ ประเทศไทยได้ก้าวมาถึงจุดหักเหที่

สำคัญแล้ว และเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างพลังกาวหน้ากับความล้าหลัง เห็นได้

ชัดว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นซากเดนของระบอบทักษิณ
"อย่าปฏิเสธเลย 3 เดือนที่แล้ว เขาเห็นว่า ที่มาที่ไปของพวกคุณล้วน

แล้วแต่มาจากคนโกง ได้รับท่อน้ำเลี้ยงมาจากลอนดอนบ้าง ฮ่องกงบ้าง ไม่ว่าจะ

เป็น ...เตี้ยฝั่งธน ...บ้าน้ำลายบางแค บ้านเมืองนี้มาถึงที่สุดแล้ว วันนี้จึงเห็นพวก

กเฬวราก กำลังเห่าหอนอยู่สนามหลวง"
ดร.ภูวดล กล่าวต่อว่า ถ้าสังคมจะเดินหน้าต่อไป ประชาชนจะ

ต้องกล้าหาญ ให้กลัวแต่คนดี คนอัปรีย์ไม่ต้องกลัว ต้องเคารพคนดี สมรรถะ ตน

ได้ต่อสู้กับอัปรีย์ทางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปี 2551 แล้ว ประสบการณ์

การต่อสู้มีมากกว่านักการเมืองเส็งเคร็งพวกนี้ จะไม่ยอมแพ้ต่อความอัปรีย์จัญไร

ของนักการเมืองเด็ดขาด
"ผมสู้มาตั้งแต่เรียนปี 2 ที่จุฬาฯ ปี 2513 เรื่องการคอร์รัปชันในจุฬาฯ

พอถึงปี 2517 อยู่ที่นี่เราก็สู้ แต่ในที่สุดทความอัปรีย์ก็เกิดครั้งแล้วครั้งเล่า นักการ

เมืองชั่วก็ยังกินมาจนชั่วชีวิต พี่น้องจะต้องไม่กลัว ถ้ากลัว ก็กลัวความดี เคารพ

พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนพวกอัปรีย์ไม่ต้องเคารพ ผมอยากให้

พวกเราบอยคอตรัฐบาลเฮงซวยทุกรูปแบบ นักการเมืองเส็งเคร็งพวกนี้เกิดขึ้นมา

ได้ยังไง ลองย้อนไป 3 เดือน ก็เห็นแต่บินไปลอนดอน ไปนี่นั่นที่นี่ ยังจะมาหลอก

คนไทย คิดว่าเป็นควายหรือไง พวกเขาไม่มีทางจะลวงโลกได้อีก" ดร.ภูวดล กล่าว

และกล่าวต่อว่า
ขอเรียกร้องให้คนไทยลุกขึ้นสู้ ตนไม่โกรธคนอีสาน แต่นักการเมืองชั่ว

ต่างหากที่มอมเมาพวกเขา ถ้าเอาความรู้ เอาการศึกษา เอาเศรษฐกิจไปให้ พวกเขา

จะเจริญ แต่นักการเมืองพวกนี้เอาความมอมเมาไปให้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีหมารับใช้

มาเห่าหอนที่สนามหลวง
"โชคดีที่เรามีสถาบันที่ดี ประชากรส่วนใหญ่มีคุณภาพ เราต้องมาช่วย

กัน เราผ่านความโชคร้ายมาแล้ว เราไม่เคยสนับสนุนรัฐประหาร แต่เมื่อยึดอำนาจ

เราก็คิดว่ายังดีกว่านักการเมืองโกงชาติ แต่ในที่สุดรัฐบาล คมช.ก็ทำอะไรไม่ได้

นักการเมืองชั่วจึงกลับมาครองเมืองอีก การเมืองไทยจึงอัปลักษณ์ มีผู้นำหน้าสุกร

ปากสุนัข" ดร.ภูวดล กล่าว

**จวก“รัฐบาลหมัก” เหิมปลุกภาคปชช.สู้

ศ.ดร.จรัส กล่าวว่า เราผ่านวิกฤตการณ์ทางการเมืองมาแล้ว 2 ปี โดยมี

การเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนหวังว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะสามารถแก้ปัญหา

เป็นความหวังได้โดยให้ประชาชนและสื่อมวลชน มีอิสระเสรีในการแสดงความคิด

เห็น แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะตอนนี้หลายคนเป็นโรคเครียดทางการเมือง

รัฐบาลนี้บอกว่าปกครองแบบประชาธิปไตยมีความเป็นเสรีชน ซึ่งความเป็นเสรี

ชนต้องไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวต่ออำนาจอิทธิพล ไว้ใจซึ่งกันและกัน ทำให้เราอยู่

ร่วมกันได้
แต่วันนี้รัฐบาลกำลังปกครองทำให้ประชาชนกลัว สื่อกลัว มีการปลด

รายการ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทิ้งและกำลังจะปลด ผอ.อสมท ขณะเดียวกัน ก็มีสื่อ

มวลชนจำนวนหนึ่งไม่กล้าวิจารณ์กลัวเป็นแบบ อ.เจิมศักดิ์ จึงต้องเซ็นเซอร์ตัวตัว

เอง กลัวไปหมด ขณะเดียวกัน ก็มีการย้ายข้าราชการจำนวนมาก ซึ่งกับกับหลัก

ประชาธิปไตย ขัดกับหลักการบริหารงานบุคคล หลักคุณธรรม ถ้าข้าราชการไป

พร้อมกับนักการเมืองระบบก็เน่า บ้านเมืองนี้อยู่ไม่ได้ ถ้าระบบราชการต้องเดิน

ตามนักการเมือง เพราะฉะนั้นเราต้องไม่กลัวนัการเมือง
ศ.ดร.จรัส ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.327 ซึ่งมาตรานี้เขาต้อง

การให้นักการเมืองมีธรรมาภิบาล ที่ผ่านมามีการส่งสมาชิกพรรคไปรับจ้างลงเลือก

ตั้งให้กับพรรคอื่น เป็นพรรคเฉพาะกิจ พรรคการเมืองแบบนี้ขาดธรรมาภิบาล ตั้ง

ขึ้นมาเพื่อทำมาหากิน ส.ส.เปรียบเสมือนตัวแทนบริษัทลงไปขายของ เหมือนกับ

บริษัทที่มีพนักงานลงไปขายของเมื่อขายของโกง บริษัทก็ต้องรับผิดชอบ ประกาศ

ให้ทราบไม่เช่นนั้นจะเข้าใจได้ว่าเป็นคนของบริษัทเหมือนเดิมเพราะฉะนั้นการ

โกงการเลือกตั้งพรรคการเมืองก็ต้องรับผิดชอบเวลา ส.ส.ไปโกง แต่พรรคการ

เมืองก็เก็บเงียบไม่ประกาศให้ชาวบ้านรู้จนกระทั่งขึ้นศาล
นอกจากนี้ กำลังยังมีความพยายามจะแก้มาตราที่เกี่ยวข้องกับผล

ประโยชน์ทับซ้อนที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเด็นนี้ ไปซื้อสัปทาน

เข้ามาแล้วใช้ผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ใช้อำนาจเต็มที่ ซึ่งต้องมีกฎกติกาการใช้

อำนาจของรัฐบาลอย่างมีขอบเขตจำกัด คนของพรรคจะไปดำรงตำแหน่งบอร์ดรัฐ

วิสาหกิจไม่ได้ ที่ผ่านมา เป็นคนของพรรคทั้งนั้น เข้าไปเพื่อเข้าไปทำมาหากินเอา

เงินกลับมาให้พรรค ให้ตัวเอง นักการเมืองเป็นเหลือบ เขาก็เลยไม่ให้ทำแต่ดันจะ

แก้ให้สามารถทำได้เหมือนเดิม
“รัฐบาลนี้บอกว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ รัฐบาลนี้ทำให้ข้าราชการ

ประชาชน และสื่อกลัว นักปรัชญาการเมืองคนหนึ่ง โทมัส ฮอกส์ เคยพูดไว้ว่า

รัฐบาลที่ฉลาดจะต้องทำให้คนกลัว เพราะจะได้กุมอำนาจนานๆ เราต้องไม่กลัว

ครับ ความกลัวจะทำให้เราหมดสิ้นซึ่งความเป็นเสรีชน เรากลัวเมื่อไหร่เป็นทาส

ผูกติดพันธนาการทั้งปวง” คณบดีรัฐศาสตร์จุฬาฯ กล่าว
พร้อมอยากฝากวาระสำคัญไปยังรัฐบาลสมัครจะทำอะไรก็แล้วแต่

สามารถดำเนินการได้ แต่ถ้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม นิรโทษกรรมปลด

ปล่อยกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้

**วอน ปชช.ต้านโกง"ระบอบแม้ว"
ในช่วงท้ายของการอภิปราย "เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย" รศ.ดร.

ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ๊มหาวิทยาลัย ผู้ดำเนิน

รายการ ได้เปิดให้เหล่านักวิชาการได้สรุปความคิดเห็นเกี่ยวกรณีรัฐบาลจะแก้ไข

รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 237
โดยทั้งหมดมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือร่วมกันคัดค้านฝ่าย

รัฐบาลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 237 โดยชี้ให้เห็นว่า คนที่กระทำ

ผิดจากมาตราดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นคนจากรัฐบาล จึงไม่มีความชอบธรรม พร้อม

ทั้งยอมรับว่าการบัญญัติมาตรานี้เป็นยาแรง แต่ก็เพียงพอที่จะแก้โรคที่ร้ายแรงที่

กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ดังนั้นถ้าอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ ก็จะต้องลงโทษผู้กระทำ

ผิดเสียก่อน
นอกจากนี้ นักวิชาการยังวิเคราะห์การกระทำของฝ่ายต่างๆ ว่า เปรียบ

เสมือนเป็น "ด่วนมัจจุราช" คือ 1.ด่วนดีใจที่ได้เป็นรัฐบาล 2.ด่วนด้านแก้รัฐ

ธรรมนูญ และ 3.ด่วนแดจังแก จากนั้น ดร.ภูวดล ได้กล่าวสรุปทิ้งท้าย โดยยืนยัน

ว่ายังไม่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญตามที่รัฐบาลต้องการ พร้อมทั้งชี้ชัดว่า นักการ

เมืองพันธ์นี้คือพวกที่รับจ้างระบบทักษิณทั้งสิ้น โดยคนเหล่านี้เป็นพวกชอบโกง

ชาติ ดังนั้นประชาชนจึงควรที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านการโกงทุกชนิดที่เกิดจาก

รัฐบาลชุดนี้
**"ตัดไข่แม้ว" ในงิ้วธรรมศาสตร์
เวลาประมาณ 20.45 น. ช่วง "งิ้วธรรมศาสตร์" ได้จัดแสดงงิ้วการเมือง

ภายใต้ชื่อเรื่อง "2551 อันธพาลครองเมือง" ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่วงไฮไลท์ เปิดเวที

ด้วยฉากหลังสีสันสดใสโทนสีเหลืองอ่อน พร้อมด้วยเสียงเปิดรายการแนวเสียดสี

ตามสไตล์แบบฉบับเฉพาะตัวของงิ้วธรรมศาสตร์เปิดเวทีด้วยเสียงโฆษกเจ้าเก่า

บอกเล่าย้อนความเดิมจากตอนที่แล้วหลังจากที่คณะทหารจากเสียมก๊กปฏิวัติ แล้ว

ส่งตำแหน่งนายกฯให้แม่ทัพเขายายเที่ยงที่ยึดแนวนโยบาย "สู้แล้วหยุด" ที่บริหาร

เหมือนไม่บริหาร จนประเทศเละตุ้มเป๊ะ ทำให้เกิดพรรคพลังนอมินีชนะการเลือกตั้ง

จัดตั้งคณะรัฐบาลที่ขี้เหร่ที่สุด
ตัวละครงิ้วทักษิณออกมาพบกับผู้ชมด้วยเพลง "แม้วไม่เคยกลับใจ"

แปลงจาก "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง" ในแนวเสียดสีเรียกเสียงฮาแบบเจ็บๆ คันๆ ได้

อย่างมากมายจากผู้ชม เนื้อเรื่องเริ่มจากตัวละครงิ้วทักษิณออกมาพร่ำพรรณาถึง

ความเคียดแค้นในการกระทำสลับกับการตีสองหน้าแสร้งเป็นคนดี แต่

ประกาศกร้าวว่าจะกลับมาล้างแค้นเจ้าของสโลแกน "ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง" แซ่

ลิ้ม , แม่ทัพสนธิ และซ๊อเจ็ดที่แฉเสียจนโดนเมียไล่ออกจากบ้าน ปิดฉาก ปิดม่าน

ด้วยเสียงโฆษกคนเดิมว่า "อัตตาหิ อัตโนนาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าหวัง

ทหารจะมาช่วยปฏิวัติ อย่ารอผู้วิเศษมาเกิดเพื่อปราบทุกข์เข็ญ แต่ต้องอาศัยพลัง

ประชาชนทุกคน

**ตั้งคกก.6 คณะไล่บี้"รัฐบาลนอมินี"
เวลา 21.55 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตร

ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นบนเวทีว่า นับจากนี้ เพื่อขยายแนวร่วมภาค

ประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ จะปรับการเคลื่อนไหวในรูปแบบใหม่ คือ การจัดเวที

เสวนาวิชาการสัญจรในส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางการต่อสู้ของ

กลุ่มพันธมิตรฯ และการใช้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้น 6 คณะเพื่อตรวจสอบการแก้ไข

ปัญหาวิกฤตปัญหาของบ้านเมืองต่างๆ อย่างใกล้ชิด
คณะกรรมการนั้นประกอบด้วย คณะทำงานติดตามตรวจสอบความ

คืบหน้าในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย, คณะกรรมการ

ตรวจสอบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความยากจน, คณะกรรมการตรวจสอบการ

แทรกแซงสื่อสารมวลชน, คณะกรรมการติดตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, คณะทำ

งานติดตามตรวจสอบการคุกคาม กลั่นแกล้ง และการละเมิดศักดิ์ศรี ข้าราชการ

ประจำ และคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการขายรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ รายชื่อของ

คณะกรรมการทั้ง 6 คณะ มีดังนี้คือ
1.คณะทำงานติดตามตรวจสอบความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย นายวีระ สมความคิด ศ.ดร.ภูวดล ทรง

ประเสริฐ นายอัษฎา ชัยนาม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประเทือง ปรัชญพฤทธิ์
2.คณะกรรมการตรวจสอบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความยากจน

นายเทิดภูมิ ใจดี รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนุบรรจง นายสมภพ

บุนนาค นายอวยชัย วะทา นายเอกชัย อิสระทะ นายบำรุง คะโยธา นายบรรจง นะ

แส นายสุทธิ อัชฌาศัย นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด
3.คณะกรรมการตรวจสอบการแทรกแซงสื่อสารมวลชน อ.เจิมศักดิ์

ปิ่นทอง นายสำราญ รอดเพชร นายอรัญ พงษ์อนันต์ นางสาวอัญชลี ไพรีรัก นาย

วสันต์ สิทธิเขตต์ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ
4.คณะกรรมการติดตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดร.คมสัน โพธิ์คง ดร.

ชลวิทย์ เจนจิตร ดร.ถวัลย์ ภู่ถวัลย์ รศ.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ
5.คณะทำงานติดตามตรวจสอบการคุกคาม กลั่นแกล้ง และการละเมิด

ศักดิ์ศรี ข้าราชการประจำ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร รศ.วรรณ

ธรรม กาญจนสุวรรณ นายสุนทร สงค์รักษ์
6.คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการขายรัฐวิสาหกิจ นายศิริชัย ไม้งาม

นายกิตติชัย ใสสะอาด นายพอพันธุ์ จินันธุยา นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายบุญมา ป๋ง

มา นายอำนาจ พลมี นายสุรชัย ศุกร์สุคนธ์ คุณสุมาลี สุดแกก้ว คุณวรรณี พงศ์

นพรัตน์ คุณประไพพิศ ธรรมโชติ คุณจินตนา เทพบุตร์ คุณถนัด เบิกนา
ทั้งนี้ การตั้งคณะกรรมการทั้ง 6 คณะ มีวัตถุประสงค์ คือ 1.ปรับโครง

สร้างการเคลื่อนไหว เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งการเคลื่อนไหวจะมีการ

สัมมนาในต่างจังหวัด โดยในขณะนี้มีพันมิตรฯ ในต่างจังหวัด แสดงความจำนงขอ

เป็นเจ้าภาพ อาทิ พันธมิตรฯ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พันธมิตรฯ จ.พิษณุโลก

กำแพงเพชร อุดรธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ และ จ.ขอนแก่น อย่างไรก็ตามในการ

สัมมนาครั้งที่ 2 จะมีการพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรืองการขายรัฐ

วิสาหกิจ ซึ่งจะมีการหารือของแกนนำ และคณะกรรมการ โดยอย่างช้าหลัง

เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งขณะนี้ได้มีการกำหนดภารกิจ และการเคลื่อนไหวต่อไปเอา

ไว้แล้ว
**"สุริยะใส" ประณามม็อบถ่อย
ก่อนหน้านี้นายสุริยะใส ได้เปิดแถลงถึงสถานการณ์ที่หลายฝ่ายกังวลว่า

จะมีการตอบโต้จากกลุ่มตรงข้าม และเกรงว่าจะมีการเผชิญหน้ากันว่า พันธมิตรฯ

ขอประณามฝ่ายที่ขว้างปาขวด ก้อนหิน เข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะดู

เหมือนว่าจะเข้ามาหาเรื่อง โดยแกนนำพันธมิตรฯ ได้กำชับว่าจะไม่ให้มีการตอบ

โต้แม้จะมีการยั่วยุอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทางพันธมิตรฯ ได้ประสานกับเจ้าตำรวจอย่าง

สุดความสามารถ และเชื่อว่าเจ้าหน้าหน้าตำรวจจะไม่เห็นการก่อชนวนที่เกิดจาก

พันธมิตรฯ เพราะเราได้สัมมนากันอย่างสงบนิ่ง และขอยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อน

ขบวน โดยขอฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลไม่ให้มีการยั่วยุ
"ตอนนี้เห็นว่า มวลชนกลุ่มฝ่ายตรงข้ามมีเพียง 200-300 คน เป็นคนหน้า

เดิมๆ ซึ่งเชื่อว่า การที่กลุ่มคนดังกล่าวออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการยุติบทบาท

ของการชุมนุมในวันนี้ ก็เป็นเพียงการจัดฉาก ซึ่งเบื้องหลังมีการจัดตั้งให้แกนนำ

คนหน้าเดิมๆ พวกนี้มาเผชิญหน้า แม้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลัง

ประชาชน จะออกมาห้าม ผมขอถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนเป็นหัวหน้ากลับไม่

ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอำนาจ ผมไม่อยากบอกว่า นายสมัคร เป็นนอมินี เพราะไม่สามารถ

ห้ามคนเหล่านั้นได้ ทั้งนี้แถลงการณ์ทุกฉบับของพันธมิตรฯ ยืนยันที่จะยึดหลัก

การชุมนุมในกรอบของรัฐธรรมนูญ"นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ขณะนี้การประเมินการประชาชนที่มาร่วม

การฟังสัมมนา เชื่อว่าไม่น้อยกว่า 15,000 คน ถือว่าเกินความคาดหมาย เพราะเรา

หวังว่าจะมีผู้มาร่วมสัมมนาในวันนี้ เพียง 4,000 พันคน ก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากเรา

จัดสัมมนา ไม่ใช่เป็นการชุมนุม ดังนั้นกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่าการเคลื่อนไหวครั้ง

นี้ประสบความสำเร็จเกินคาด
ส่วนการสัมมนาของพันธมิตรฯ ในวันนี้นั้นนายสุริยะใส กล่าวว่า ได้มี

การจัดตั้งโครงสร้างรายชื่อคณะทำงาน 6 คณะ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาการเคลื่อน

ไหวของพันธมิตรฯ แม้ศัตรูจะซ้ำซ้อนกว่าเดิม
สำหรับกรณีที่มีการประเมินกลุ่ม 51 ส.ส.พรรคประชาชน ซึ่งคัดค้าน

การแก้รัฐธรรมนูญนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า เชื่อว่าเป็นเพียงเกมการต่อรอง คงจะ

ไม่นำไปสู่การแตกแยกในพรรคพลังประชาชน และเชื่อว่าจะมีการประนีประนอม

ซึ่งในจุดยืดของพันธมิตรฯจะคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญจนถึงที่สุด

**ชาวหาดใหญ่ชมยามฯคึกคัก
ส่วนบรรยากาศตามจังหวัดต่างๆ ที่บริเวณลานประชาชนหน้าสถานี

รถไฟชุมทางหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กลุ่มพันธมิตรสงขลาเพื่อ

ประชาธิปไตย ได้จัดการถ่ายทอดสดรายการ 'ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ' ผ่านทาง

จอโปรเจ็คเตอร์ขนาดใหญ่ ให้ประชาชนได้ร่วมรับชม โดยเริ่มมีการตั้งเวทีตั้งแต่

เวลา 15.00 น. ซึ่งมีประะชาชนเริ่มทยอยมารับชมอย่างต่อเนื่อง ทางทีมงานได้จัด

หนังสือพิมพ์ใช้แล้วมาคอยบริการให้ประชาชนได้ใช้รองนั่งเพื่อรับชมรายการ

ส่วนพื้นที่รอบๆ บริเวณที่จัดกิจกรรมมีการวางทีมงานรักษาความปลอดภัยคอย

ดูแลอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งเต๊นท์รับบริจาคเงินสมทบทุนสำหรับกิจกรรม

ครั้งต่อไปของกลุ่มพันธมิตรสงขลาฯ การเผยแพร่ความรู้ของเครือข่ายคุ้มครองผู้

บริโภค จ.สงขลา เกี่ยวกับการทำซีแอลยา และล่ารายชื่อประชาชนเพื่อร่วมสนับ

สนุน พรบ.ว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคใน 2 ประเด็นซึ่งเครือข่ายผู้บริโภคเตรียมนำ

เสนอเข้าสู่สภาในเร็วๆ นี้ด้วย รวมทั้งยังมีการแจกเอกสารล่ารายชื่อถอดถอน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็น

จำนวนมาก มีการมาร่วมลงชื่ออย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการชมการถ่ายทอดสดนั้น แม้สัญญาณจะขาดๆ หายๆ ใน

บางช่วงแต่ประชาชนก็ยังคงติดตามรับชมอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมแสดงความผิด

หวังที่มีการพยายามปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชนสลับกันไป ซึ่งนอก

เหนือจากช่วงแรกของรายการที่มีการแสดงความคิดเห็นของตัวแทนนักศึกษาที่ได้

รับความสนใจไม่น้อยแล้ว ช่วงของการแสดงดนตรีโดย หงา สุรชัย จันทิมาธร

และวงคาราวาน ในส่วนของเพลง '2551' ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ สำหรับ

การสัมมนาครั้งนี้ เป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยประชาชนรายหนึ่ง

ที่มาร่วมรับฟังกล่าวว่าเนื้อหาในเพลงสามารถสะท้อนปัญหาและความเป็นไปใน

สถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงค่ำซึ่งประชาชนสามารถรับชมรายการทางจอโป

รเจ็คเตอร์ขนาดใหญ่ ผู้ชมได้ทยอยเดินทางเข้ามารับชมรายการเพิ่มขึ้นอีกเป็น

จำนวนมาก ทำให้บรรยากาศการรับชมรายการสัมมนาในครั้งนี้มีความคึกคักไม่

แพ้ทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
นอกจากนี้ มีรายงานว่าที่ จ.พัทลุง และสตูล ได้มีฝ่ายปกครองสั่งห้าม

ไม่ให้มีการจัดรถไปรับประชาชนเพื่อเดินทางขึ้นไปร่วมการสัมมนาที่กรุงเทพฯ

โดยมีการจับตาผู้ประกอบการให้บริการรถโดยสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด
นายเอกชัย อิสระทะ ผู้ประสานงานพันธมิตรสงขลาเพื่อประชาธิปไตย

กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการเมืองภาคประชาชนในครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก

ประชาชนอย่างเหนือความคาดหมาย หลายคนติดตั้งจานรับสัญญาณเอเอสทีวีที่บ้าน

แต่ก็ยังออกมาร่วมรับชมที่ลานประชาชนเนื่องจากได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยน

ความคิดเห็นซึ่งกันและกันไม่เหมือนรับชมที่บ้าน
"เป็นที่น่าพอใจที่ประชาชนมมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างคับคั่ง

พร้อมกับได้ร่วมสมทบทุนเพื่อการจัดกิจกรรมครั้งต่อๆ ไป รวมทั้งเต็มใจลงรายชื่อ

ถอดถอน รมว.สาธารณสุข และสนับสนัน พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค หลายคนบอกว่า

รู้สึกดีที่ได้มาเจอพี่น้องร่วมอุดมการณ์ในวันนี้ คาดว่าในวันที่ 4 พ.ค.นี้ที่พันธมิตร

สงขลาฯจะจัดเวทีสัมมนาในรูปแบบเดียวกับที่กรุงเทพฯ จะมีประชาชนให้การ

สนับสนุนเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน" นายเอกชัย กล่าว
**ภูเก็ตคึก ปชช.แห่ชมถ่ายทอดสด
ส่วนบรรยากาศการร่วมรับชมการถ่ายทอดสดที่บริเวณปลายแหลม

สะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ตตั้งแต่เวลา 18.30 น.ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต

ต่างทยอยเดินทางมาร่วมรับชมการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สามารถรับ

ชมสัญญาณภาพการบรรยายพิเศษจาก มธ. ได้อย่างชัดเจน โดยต่างเดินทางมา

พร้อมกับครอบครัวบ้าง เดินทางมาคนเดียวบ้าง มีการนำเสื่อมาปูรองนั่ง ทั้งเด็ก

ผู้ใหญ่ และคนชรา ประมาณ 100 คน โดยนั่งกระจายในวงกว้าง โดยมีตำรวจ สภ.

เมืองภูเก็ต ทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ อพปร.มาคอย

ตรวจตรารักษาความปลอดภัยบริเวณสถานที่ตั้งจอโปรเจกเตอร์อย่างเข้มงวดเพื่อ

ความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ นายเมธี คงแดง เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลป์ กลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินภูเก็ต ได้

ทำป้ายไวนิลเป็นรูปบุคคลสำคัญในรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่ากระทรวงต่าง ๆ

ทั้งนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

รมว.มหาดไทย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รมว.พาณิชย์ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.

สาธารณสุข เป็นต้น รวมไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสมัคร สุนทรเวช นายก

รัฐมนตรี โดยทำเป็นภาพล้อเลียน เพื่อสร้างสีสันในการร่วมรับชมการถ่ายทอดสด
เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังกินอย่างมูมมาม สื่อว่า ทุกวันนี้แม้จะร่ำรวยแล้ว แต่ก็ยัง

โกงกินประเทศชาติอยู่อีกโดยไม่เกรงกลัวเวรกรรม หรือภาพนายสมัคร ที่ได้รับ

บาดเจ็บคิ้วแตก สื่อว่า บอบช้ำอย่างหนักในการรับหน้าที่นอมินีให้อดีตนายก

รัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศในนามของพรรคพลัง

ประชาชน ที่ไม่สามารถตัดสินใจบริหารประเทศเองได้เต็มที่ ทั้งที่ตัวเองมีอำนาจ

อยู่ในมือ ต้องรอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว หรือภาพนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่าง

ประเทศ ยืนติดกับนายจักรภพ มีสุนัขอยู่ตรงกลาง สื่อถึง 2 รัฐมนตรี ที่ได้ตำแหน่ง

นายกรัฐมนตรีมาโดยที่ไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพราะรับใช้นายใหญ่อย่างเต็มที่

จนได้รับความไว้วางใจ ถูกใจ จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีให้เป็นรางวัล เป็นต้น ซึ่ง

ได้รับความสนใจจากผู้ที่เดินทางมาร่วมเป็นจำนวนมาก ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์

ภาพไปในหลายแนว หลายความคิด

***มอบเมนูเด็ดยำเท้า"หมัก-เหลิม"

ขณะที่มีประชาชนชาวภูเก็ตท่านหนึ่ง นำรูปภาพใบหน้าของนายสมัคร

สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง

มหาดไทย มาตั้งกลางลานสถานที่จัดงาน พร้อมกับรุมเหยียบด้วยความอัดอั้นตันใจ

โดยมี 1 คน ที่นำขวดน้ำมาเลียนแบบคนกำลังยืนทำกิจธุระส่วนตัวลงบนใบหน้า

ของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทั้งนี้ จากการสอบถามความรู้สึกของทั้ง 2 คน ทราบว่า เกลียดชัง

บุคคลทั้ง 2 เป็นอย่างมาก ที่เข้ามาเบียดบังประเทศชาติ เพียงเพื่อคนชั่วเพียงคนเดียว

โดยยอมพลีทั้งกาย และใจ ทำในสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศรับไม่ได้ ไม่ยอมรับรู้ว่า

สิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด ชอบทำเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ชื่อเสียง และเงินทอง

อยากให้คนชั่วเหล่านี้หมดไปจากประเทศไทยเสียที
ขณะที่บรรยากาศการจำหน่ายจานดาวเทียม ASTV ราราจานละ 1,500

บาท เป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้สนใจสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก โดยทางทีมงานกลุ่มยาม

เฝ้าแผ่นดินภูเก็ต ให้ผู้สนใจเขียนชื่อ-ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ไว้ เพื่อติดต่อ

กลับไปอีกครั้ง เนื่องจากจานดาวเทียมที่มีอยู่ที่ศูนย์ข่าวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน

และ ASTV News 1 ศูนย์ข่าวภูเก็ต และร้าน "อีซี เซอร์วิส" ตัวแทนจำหน่ายไม่มี

เหลือเพียงจานเดียว โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้สนใจซื้อไปติดตั้งจนหมด
**ตอ.โวยสัญญาณ ASTVถูกกวน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดชลบุรีว่า ตลอดช่วงบ่ายของวานนี้

ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียงจำนวนมากได้โทรศัพท์เข้า

มาสอบถามที่ศูนย์ข่าวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และ ASTV ถึงกรณีที่ไม่

สามารถรับชมรายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ช่อง News 1

ได้ตามปกติ
เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนตลอดเวลา ภาพไม่ชัดเจน เสียงขาด

หายอย่างต่อเนื่อง หรือบางช่วงสัญญาณหายไปเหลือเพียงจอสีดำ ขึ้น "no signal"
โดยเฉพาะผู้ที่ติดตั้งเคเบิลทีวีท้องถิ่นประสบปัญหาลักษณะนี้มาตั้งแต่ 3-4 วันที่

ผ่านมา ส่วนผู้ที่ติดตั้งจานดาวเทียม ASTV สัญญาณถูกรบกวนบ้างบางช่วง ทำให้

ขณะนี้จานดาวเทียม ASTV ขายดีเป็นอย่างมาก ได้รับความสนใจจากประชาชน

เดินทางมาสอบถามข้อมูล และซื้อจาน
ส่วนบรรยากาศการรับชมการถ่ายทอดสดสัญญาณของ ASTV ที่ จ.ตราด

มีประชาชนชาวตราดให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตเมืองที่

สามารถรับการถ่ายทอดสัญญาณจากโทรทัศน์ทางสายแสงสยามเคเบิลทีวีได้ เมื่อ

เริ่มเปิดเวทีการประชุมใหญ่ของเหล่าพันธมิตรฯที่หอประชุมใหญ่ มธ.โดยนาย

สำราญ รอดเพชร ได้เรียกให้ผู้เข้าร่วมประชุมตามรายจังหวัด ปรากฏว่า มีผู้เข้าร่วม

ประชุมจาก จ.ตราดด้วยส่วนหนึ่ง
ขณะที่การชมการถ่ายทอดสัญญาณปรากฏว่า ตั้งแต่เริ่มรายการ

สัญญาณการถ่ายทอดเริ่ม ถูกรบกวน เช่น จอมืดดำ ไปบางช่วงในระยะเวลา 10

นาทีหลายครั้งและภาพกระตุกบ้างเป็นบางครั้ง หรือจอมืดและขึ้นว่า ค้นหา

สัญญาณ
สำหรับที่ จ.ตราด ในเขต อ.เมืองตราดส่วนใหญ่จะชมจากสัญญาณของ

แสงสยาม เคเบิลทีวี ที่ถ่ายทอดไปยังสมาชิกที่มีมากนับพันราย ส่วนนอกเมืองจะมี

บางบ้านที่ติดตั้งจานดาวเทียมของ ASTV เพื่อชมรายการของ ASTV โดยเฉพาะ

**5แกนนำขึ้นเวทีชี้แจงบทบาท
เวลา 22.00 น.แกนนำพันธมิตรฯ ประกอบไปด้วย นายพิภพ ธงไชย

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นเวที

อภิปรายในหัวข้อ "บทบาทพันธมิตรฯ ในสถานการณ์ใหม่" ส่วน พล.ต.จำลอง ศรี

เมือง ติดภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ แต่ได้บันทึกการให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืน

ที่ยังยึดมั่นในการต่อสู้ร่วมกับพันธมิตรฯ และชี้แจงความจำเป็นที่ไม่สามารถมา

ร่วมกับพันธมิตรฯ ทั้ง 2 ครั้ง
***"พิภพ"เย้ย "แม้ว" ผวาศาล
นายพิภพ กล่าวว่า ที่มาพบกันเพื่อสัมมนาทางวิชาการในวันนี้ ก็เพื่อ

ศึกษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังทำอะไร ทำให้จำเป็นต้องพูดคุยกันว่าสถานการณ์

บ้านเมืองอะไรกำลังเกิดขึ้น ซึ่งสืบเนื่องมาจากอดีตที่สังคมไทยมีปัญหาสะสมมา

นาน และมีเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
"สังคมไทยเผชิญกับการละเมิดกฎหมาย ใช้สิทธิ์ขายเสียงเพื่อให้เกิด

อิทธิพล และเพื่อให้ได้อำนาจรัฐ ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญบอกว่าการได้อำนาจ

รัฐแบบนี้ไม่ถูกต้องตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งตอนนี้เรียกว่า ผิด ม.68 ของรัฐ

ธรรมนูญก็ว่าได้ เพราะถือว่าเป็นการเข้าสู๋อำนาจรัฐโดยไม่ชอบ มีปรากฎในฉบับ

ปัจจุบัน ว่าความไม่ชอบคือทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เราต้องออกมาชี้ให้เห็นว่าเขา

ทำผิดรัฐธรรมนูญ แล้วยังมาคิดแก้มาตรา 237 ถือว่าทำผิดซ้ำ
เราอยากชี้ให้สังคมเห็นว่า การกระทำโดยผิดอำนาจรัฐ ต้องถูกตรวจ

สอบโดย กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) พรรคร่วมรัฐบาลเองก็ทำผิดสัญญา

ประชาคม กระแสที่พวกเขาได้รับเลือกเข้าไปก็เพราะตอนแรกบอกว่าจะไม่อยู่กับ

พรรคพลังประชาชน (พปช.) แต่พอเลือกตั้งแล้วกลับไปอยู่กับพลังประชาชน ซึ่งที่

พปช.บอกว่าได้เสียงส่วนใหญ่นั้นไม่ถูกต้อง เพราะพรรคเดียวไม่สามารถตั้ง

รัฐบาลได้"
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ตอนนั้นพรรคอื่นๆ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์

บอกว่าจะไม่ร่วมกับ พปช.แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณบรรหาร แต่พอไปร่วมกับ

พปช ก็ราศีตก และถ้าพรรคชาติไทยถูกยุบ ตระกูลศิลปอาชาก็ออกจากการเมืองไป

เลย ตระกูลนี้ทำอะไรให้พรรคการเมืองบ้าง ถ้าเป็นสุพรรณ เราก็ยอมรับ แต่กับ

ประเทศชาติ ถ้ายุบพรรคก็ต้องออกจากการเมืองไปเลย เสียสัจจะ ถ้าหัวหน้าพรรค

ไม่รับผิดชอบแล้วจะมาบริหารบ้านเมืองได้อย่างไร
นายพิภพ ระบุว่า นโยบายประชานิยมอันเป็นแนวการบริหารหลักของ

รัฐบาลทักษิณและนายสมัคร สุนทรเวชนั้นต่างก็ไม่ทำให้คนจนดีขึ้น คนจนยังจน

อยู่ เพราะขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่กล้าแก้โครงสร้างที่แท้จริงที่ทำให้คนจน เขา

ไม่สนับสนุนการดำรงชีพให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้แต่การเรียนฟรีก็มีปัญหา
นายพิภพ กล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีคดีความมากมาย ทำให้ต้องขึ้นศาล แต่การที่

เป็นพญาอินทรรีแล้วต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ และโดนอัยการซักฟอก จะมีผลต่อจิตใจ

นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนทางคดี อาจจะติดคุกในบางคดี
"ดังนั้น เราจึงเห็นภาพพลังประชาชนแทรกแซงการดำเนินการในบาง

คดี ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เพราะคุณทักษิณไม่ต้องการขึ้นศาล ยังมีปัญหาว่าคุณ

ทักษิณจะถูกเปลือยในศาล ข้อมูลที่ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำให้

ก่อให้เกิดความเสียหายต่อแผ่นดิน) ทำไว้ จะบอกว่าทำอะไรบ้าง นักการเมืองร่วม

พรรคทำอะไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่ทำไว้จะถูกเปิดเผยในศาล และการต่อสู้คดีจะยาวนาน

หลายสิบปี คุณทักษิณจะยอมไหม" นายพิภพ อธิบาย
ดังนั้น การแก้ ม.309 จึงเป็นเรื่องหลักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนายพิภพ

ระบุว่า ถ้าแก้ได้ก็จะทำให้ คตส. หมดหน้าที่ และคดีต่างๆ จะหลุดไป
"ถ้าคุณทักษิณบอกว่าไม่ผิดตามข้อกล่าวหาและข้อมูลของ คตส. ทำไม

ไม่กล้าขึ้นศาล นั่นเพราะทนไม่ได้ในทางจิตวิทยาและวิธีการพิจารณาทางศาล

เพราะประชาชนจะได้รับทราบข้อมูลต่างๆ ทำให้คุณทักษิณไม่เสี่ยง" นายพิภพ

กล่าว พร้อมทั้งยังเรียกร้องว่าถ้าเราไม่สามารถต่อสู้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาสู้คดี

ความ แผ่นดินจะมีปัญหาขนานใหญ่ ดังนั้นต้องให้มีการนำ พ.ต.ท.ทักษิณมาขึ้น

ศาลและต่อสู้อย่างถูกต้อง

***ท้า"แม้ว"เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ เป็นการสัมมนาเพื่อให้ความรู้กับประชาชน เราไม่

ใช่พวกหน่วยป่วนกรุง แต่เป็นหน่วยที่เอาสติปัญญามาให้ เป็นเวทีที่ตรงไปตรงมา

และเป็นสิทธิที่ประชาชนสามารถทำได้ ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีสิทธิมาขัดขวาง

เพราะอาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่น ทำไมรัฐบาลที่อ้างมาจากเสียง

ส่วนใหญ่ของประชาชน ถึงต้องมากลัวเวทีการสัมมนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกมาคัดค้านหรือต่อต้าน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกนำ

ไปเกี่ยวข้องกับการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย เป็นการทำหน้าที่ตามสิทธิและถูกต้อง

ตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย

ประกาศท้า 5 แกนนำพันธมิตรฯ มาดิเบตเรื่องรัฐธรรมนูญ ว่า ไม่เห็นด้วยกับการ

ท้าทายของ ร.ต.อ.เฉลิม การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อจ้องดิส

เครดิตรัฐบาล หรือจ้องล้มใครบางคน พันธมิตรฯ ต้องการสันติ ต้องการเสนอแนว

ทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อะไรวุ่นวาย สิ่งที่

พันธมิตรฯ กระทำอยู่ในทุกวันนี้ เป็นการทำหน้าที่ที่ดีในสังคมไทย และเพื่อให้

เกิดความถูกต้อง
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อต่อสู้คดี

วันนั้นตนรู้สึกสงสารนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างมาก ต้องนั่ง

เหงาอยู่คนเดียว รัฐมนตรี ส.ส.และอดีต ส.ส.รวมทั้งข้าราชการระดับสูงต่างพากัน

แห่ไปรับอดีตนายกรัฐมนตรีถึงสนามบิน ปล่อยให้ผู้นำนอมินีนั่งเหงาอยู่เพียงคน

เดียว เป็นภาพที่เห็นแล้วรู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก
นายสมศักดิ์ ยังเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดย

ปลอดจากการแทรกแซงของรัฐบาล หรือฝ่ายที่สนับสนุน เราอยากเห็นกระบวน

การยุติธรรมดำเนินไปอย่างสุจริตยุติธรรม หากไม่โกงก็หลุดพ้นไป ไม่ว่ากันอยู่แล้ว

แต่ทำไมต้องมากลัวการขึ้นศาล กลัวกระบวนการยุติธรรม ถึงขนาดจะรื้อรัฐ

ธรรมนูญเพื่อหวังให้ตัวเองรอดพ้นจากการขึ้นศาล ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
"บ้านเมืองจะพังเพราะเรามีผู้นำที่โกงทุจริตคอรัปชั่น ไม่ไช่เพราะรัฐธรรมนูญ เรา

ต้องร่วมกำจัดนักการเมืองโกง หากประเทศหยุดเรื่องเหล่านี้ได้ คนที่มาร่วมกันอยู่

ณ ที่นี้มีอันจะกินทุกคนแน่นอน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ

จากภาคประชาชน ต้องเปิดทางให้มีการตรวจสอบ แล้วเราจะได้คนสะอาดเข้า

มาบริหารประเทศ"นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

**"ศรัญยู"ลั่นพร้อมยืนข้างพันธมิตรฯ
รายงานข่าวจากหอประชุมธรรมศาสตร์แจ้งว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.20

น. นายศรัญยู วงศ์กระจ่าง หรือตั้ว นักแสดงชื่อดัง ได้ขึ้นเวทีสัมมนาของพันธมิตรฯ

โดยขับกล่อมบทเพลง "ดอกไม้ให้คุณ" ซึ่งมี "ไก่ แมลงสาป" ทำหน้าที่เป็นผู้เล่น

ดนตรีประกอบ เพื่อให้กำลังใจกับกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชนที่เข้าร่วมสัมมนา

ในครั้งนี้ โดยนายศรัญยู กล่าวก่อนร้องเพลงว่า มีคำถามมากมายที่เรายังสงสัย และ

ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะไปในทิศทางใด วันนี้คนที่มีความคิดเห็นเดียวกัน ได้มารวมกัน

เพื่อสะท้อนให้ผู้มีอิทธิพลได้รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ตนไม่ใช่แกนนำ แต่จะมาอยู่

กับพวกคุณเพื่อให้กำลังใจพี่น้องประชาชนให้ต่อสู้ต่อไป
หลังจากที่นายศรัญยู ได้ขับกล่อมบทเพลง "ดอกไม้ให้คุณ" จบลง ได้

ให้กำลังใจกับประชาชนที่เข้ามาร่วมสัมมนาในครั้งนี้ ว่า "ไม่มีอะไรที่จะให้กำลัง

ใจกันในสภาวะเช่นนี้ และขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดไป และ

ผมจะอยู่ข้างกายกับทุกๆ คน ตลอดไป"

สนธิลั่นต้านทุนสามานต์-กู้วิกฤตสังคม

นายสนธิ กล่าวขอบคุณทุกความช่วยเหลือจากประชาชน อย่างไรก็ดี

เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ นายสนธิ ได้เปิดเผยว่า เมื่อเดือนที่แล้ว ได้มีคนคนหนึ่งเสนอ

ความช่วยเหลือเป็นเงิน 500 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้ยุติความเป็นปฏิปักษ์กับคน

คนหนึ่ง หลังจากนั้นมีคนขอเข้าพบเพื่อมาเจรจาแล้วบอกว่า สู้ไปก็ไม่ชนะ เมื่อ

ตอบปฏิเสธไป คนคนนั้นก็มาข่มขู่ว่าต้องติดคุกตลอดชีวิต
นายสนธิ ยังเปิดเผยอีกว่า ถัดจาดนั้นก็มีตัวแทนที่เป็นนักธุรกิจชาว

ฮ่องกงมาขอซื้อ เอเอสทีวี ในราคา 1,500 ล้านบาท แต่ตนเองบอกว่า เอเอสทีวี มี

หนี้สินเยอะ พร้อมกับถามว่า คนที่ต้องการซื้อเป็นใคร นักธุรกิจที่เป็นตัวแทนดัง

กล่าว กลับไม่ยอมบอก บอกแต่เพียงว่าเป็นต่างชาติคนหนึ่ง เมื่อตอบปฏิเสธไป นัก

ธุรกิจตัวแทนคนนี้ก็เงียบหายไป
นายสนธิ ตั้งคำถามว่า ทำไมความวุ่นวายในสังคมเป็นเพราะคนคนเดียว

ทำไมเวรกรรมของประเทศไทยจึงมีมากมายขนาดนี้ นายสนธิ ย้ำว่า เกิดเป็นคน

ต้องมีสัจจะ โดยตนเองขอย้ำสัจจะว่า ที่ผ่านมา ทำไม่ดีไว้มาก ทำดีก็ไม่น้อย แต่ต่อ

ไปนี้จะอุทิศชีวิตเพื่อบ้านเมือง ที่ผ่านมาโดนคดีหมิ่นประมาท 3 คดี ถูกตัดสินจำ

คุกกว่า 3 ปี แต่ไม่หวั่นไหว พร้อมตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ากรรมเก่าของตัวเองที่ก่อเอา

ไว้ ทำให้ต้องติดคุกก็ไม่เป็นไร และถ้าตนเองติดคุกแล้วสามารถหยุดความสามาลย์

ในบ้านเมืองได้ ก็ยอม ตนเองไม่เคยโอ้อวดว่าเป็นคนกล้า แต่ได้ย้ำเสอมว่ารู้สึกกลัว

แต่กลัวจนต้องกล้าแล้ว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า อนิจจังไม่เที่ยง คนเป็นนายกฯ อาจต้องร่อนเร่ คน

เป็นรัฐมนตรีอาจเป็นเป็ดขาหักก็ได้ ทุกอย่างเป็นอนิจจังไม่คงที่ คือ ไม่มีอะไร

ทุกอย่างจะจบลงที่เตาเผา
“อยากฝากไปถึงเป็ดง่อย อย่ามาขู่ว่าต้องติดคุกตลอดชีวิต ติดก็ติด ต้อง

มีขันติ มีความอดทน เพราะมีความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้อง” นายสนธิ

กล่าวและพร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า สังคมอาจกำลังไปสู่ความพินาศ ฉิบหาย ถ้าโจร

ต้องติดคุก เพราะโจรเข้าสภาแล้วแก้กฎหมายไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าแก้ได้ก็

ไม่ติดคุก ดังนั้นมันจะกระทบลูกหลานเราอย่างไร ต่อไปใครมีเงินก็มีความถูกต้อง

เราต้องการแบบนั้นหรือ เราต้องการสังคมที่รู้ผิดชอบชั่วดี
นายสนธิ กล่าวว่า วิกฤติสังคมคราวนี้ วิกฤติกว่าคราวที่แล้ว เนื่องจาก

พิสูจน์แล้วว่า ปัญหาเกิดจากคนคนเดียว อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในที่สุดแล้ว สังคมจะ

เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวเรา ดังนั้นอย่าท้อถอย พร้อมทั้งกล่าวว่า

การสัมมนาทางวิชาการวันนี้ หลายคนปรามาสว่า พันธมิตรฯ ไม่มีน้ำยา แต่รงกัน

ข้าม มีพี่น้องมาร่วมจำนวนมากกว่า 20,000 คน
“อยากบอกว่าให้เตรียมตัว อย่าท้อ ต้องมีสักวัน ที่เราต้องแสดงความ

จริงใจต่อประเทศชาติอีกครั้ง พร้อมกับเรียกร้องให้แสดงพลังครั้งต่อไป ให้ออกมา

กันให้มากกว่านี้นับแสนคน เพื่อให้คนที่ปล้นแผ่นดินได้รับรู้”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ นายสนธิ ได้เชิญแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวปฏิญญา

ต่อคำประกาศของประชาชนผู้พิทักษ์รักษาชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ จากนั้นการ

สัมมนาก็ได้ยุติลงในเวลา 23.20 น.

**ประกาศปฏิญญาต้านรัฐบาลหุ่นเชิด

เวลา 23.20น. ภายหลังแกนนำพันธมิตรฯประกอบด้วยนายสมศักดิ์ นายพิภพ นาย

สนธิ และนายสมเกียรติ์ อภิปรายบนเวทีสัมมนา "ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ" แกน

นำพันธมิตรฯ และประชาชนที่มาร่วมสัมมนา กว่าสองหมื่นคนได้ร่วมกันประกาศ

ปฏิญญา "คำประกาศของประชาชนผู้พิทักษ์ รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ์"

โดยพร้อมเพรียงกัน
คำประกาศปฏิญญาดังกล่าวมีใจความดังนี้
"คำประกาศของประชาชนผู้พิทักษ์ รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ์
โดยที่ประจักษ์ ชัดแจ้งแล้วว่า ระบอบทักษิณ เคยจัดตั้งรัฐบาลขึ้นเป็น

ระบอบที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศชาติ เป็นระบอบที่ไม่มีอุดมการณ์

ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบที่ทุจริต

ฉ้อฉล ปล้นชาติ ปล้นประชาชน กดขี่ข่มเหง และเข่นฆ่าประชาชนนับไม่ถ้วน ดัง

ที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้เป็นที่ชัดเจน บัดนี้ระบอบทักษิณซึ่งเป็น

ระบอบเผด็จการทุนสามานย์ และกลายเป็นผีดิบไปแล้ว กำลังจะฟื้นคืนชีพมาอีก

ครั้งหนึ่ง โดยจำแลงแปลงกายเป็นหลายรูปแบบ เพื่อหวังจะหลอกลวงประชาชน

ชาวไทย ให้หลงเชื่อว่าจะมาช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความยากจน แต่แท้

จริงก็คือระบอบเผด็จการทุนนิยมสามานย์ ที่ปล้นชาติ ปล้นประชาชน และหมาย

จะล้มล้างสถาบันต่างๆ ของประเทศไทย ที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์มา
กระผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทย ผู้รักชาติ ศาสนา พระ

มหากษัตริย์ ทุกหมู่เหล่า ทุกภาค ทุกเพศวัย ทั่วประเทศไทยและทั่วโลก ภายใต้

การนำของพันธมิตรของประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ลุกขึ้นยืนเพื่อร่วมกัน

ประกาศคำปฏิญาณนี้ ให้ปรากฏไว้ในแผ่นดินอย่างพร้อมเพรียงกัน
ข้อที่ 1 ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และระบอบเผด็จ

การทุนนิยมสามานย์ ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของแผ่นดินเหมือนดังเดิม
ข้าพเจ้าจะร่วมกันขยายเครือข่ายประชาชนทุกสาขาอาชีพ ต่อต้าน

เผด็จการทุนนิยมสามานย์ทุกวิถีทาง ทุกรูปแบบ จนถึงที่สุด และพิทักษ์รักษาไว้

ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าจะร่วมกันต่อต้านการกระทำของรัฐบาลหุ่นเชิด ที่ไม่ซื่อตรง

ต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ต่อหน้าพระพักตร์องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

และจะคัดค้านพฤติกรรมทั้งปวงที่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ลบล้างความผิด

ส่วนตน ตลอดจนละเลยการทำงาน เสียสละ เพื่อคนไทย 63 ล้านคน
ข้าพเจ้าจะร่วมกันสนับสนุน เชิดชู และปกป้อง ข้าราชการที่ซื่อสัตย์

สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ให้รอดพ้นจากการข่มเหงรังแก และจองล้างจองเวร

จากระบอบทักษิณ แห่งเผด็จการทุนนิยมสามานย์ ในขณะเดียวกันจะร่วมกัน

ดำเนินการเพื่อขจัดคนไม่ดี และรัฐมนตรีอันธพาลทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจใน

การปกครองบ้านเมือง ในทุกวิถีทาง ตามรัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าขอรวมพลัง ส่งกำลังใจ ให้กระบวนการยุติธรรม พิพากษาคดี

ความ ที่เป็นวิกฤตการณ์ ฉ้อฉลทางการเมือง ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

ด้วยความกล้าหาญ และรวดเร็ว เพื่อนำความสงบสุข กลับคืนมาสู่สังคมไทย พวก

เราพร้อมใจกันร้องไชโยกัน 3 ครั้ง เพื่อยืนยันในเจตนารมณ์อันนี้ ไช (โย) ไช (โย) ไช

(โย)"
กำลังโหลดความคิดเห็น