นักรัฐศาสตร์ร่วมวิเคราะห์สภาพการเมืองปัจจุบัน “ทวี” ระบุ ดูการเมืองเหมือนดูโหวงเฮ้งรัฐบาลชุดนี้ “ปากไม่ดี-ตาเข-เหล่แต่ผลประโยชน์” ฝากประชาชนฟิตร่างกายในฐานะแขนขาของประเทศ ส่วน “เรืองวิทย์” ชี้ ประชานิยมไม่เข้ากับยุคสมัยหากใช้แก้ปัญหาจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาในภายหลัง ระบุ “เผด็จการ” ไม่ใช่ที่มาของอำนาจ แต่อยู่ที่การใช้อำนาจ ขณะที่ “ไชยันต์” ว่า แม้ทักษิณกลับประเทศใช่ว่าพันธมิตรฯต่อสู้มา 2 ปีล้มเหลว นับเป็นวันแห่งความสำเร็จนำนักการเมืองระดับนายกฯ ขึ้นศาลได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังเสียง การอภิปราย "เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย"
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รศ.ดร. เรืองวิทย์ อภิปรายในรายการ "เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย"
( 56 k ) | ( 256 K )
วันนี้ (28 มี.ค.) เวลา 18.45 น.ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บนเวทีสัมมนา “ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ” มีการอภิปรายเรื่อง “เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย” โดย ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, รศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร และ ผศ.ดร.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ทวี กล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องเหลียวหลังแลหน้า ให้มองกันตรงๆ เลย ว่า บ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร อย่างตอนที่เขาอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็คึกคัก อยากทำโน่นทำนี่ แต่พบว่ามีความขัดแย้งระหว่างผู้นำ ทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง อีกทั้งการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ที่ล้มเหลว เพราะรัฐบาลก่อนไม่ได้ถอนรากถอนโคนกลุ่มอำนาจเก่า
“การปฏิวัติต้องมีต่อไป แต่เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน เพราะเราไว้ใจใครไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยความสุขุมรอบคอบ ซึ่งกระบวนการของพี่น้อง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความสุขุมรอบคอบ และควรจะต้องสุขุมรอบคอบต่อไป” ผศ.ทวี กล่าว
ทั้งนี้ ผศ.ทวี เปรียบเทียบว่า เมื่อมองการเมืองเหมือนการดูโหวงเฮ้ง ดูรูปร่างหน้าตาของคนปกครองประเทศ ปากเปรียบได้กับผู้นำ หรือผู้ปกครอง “รัฐบาลนี้ปากไม่สวย พูดไม่เพราะ พูดเลอะเทอะ” ส่วนหู คือ สมาชิกวุฒิสภา เป็นได้แค่ตุ้มหูห้อยไว้สวยๆ งามๆ ส่วนตา คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.ซึ่งส่วนใหญ่จะตาเข มัวแต่เหล่หาผลประโยชน์ ด้วยความอิจฉาซึ่งกันและกัน ส่วนจมูก คือ พรรคการเมืองที่ใหญ่เทอะทะ สุดท้ายแก้มและหน้าผาก ซึ่งหมายถึงตัวนักการเมือง ไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก
ถ้าอยากเอาประเทศชาติให้รอด อย่าไปเพิ่งนักการเมือง เพราะหัวคือรัฐบาลต้องไม่เหม็น ต้องสระผมทุกวัน ส่วนลำคอจะต้องแข็งแรง มีกระบวนการในการตรวจสอบหันซ้ายขวา นำพาร่างกาย ลำตัว จะต้องฟิตแอนด์เฟิร์ม บำรุงร่างกาย มีกำลังใจ สุดท้ายแขนและขาค่อนข้างจะลำบาก เมื่อหัวเป็นอย่างไรก็จะบังคับแขนขาไปในทางนั้น บ้านเมืองของเราไม่มีใครช่วยกันได้ เราต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงจึงจะช่วยกันสร้างประชาธิปไตยให้ได้
ทางด้าน รศ.ดร.เรืองวิทย์ กล่าวว่า ต้องย้อนสภาพการเมืองไทยไปตั้งแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่นำระบอบประชานิยมมาใช้ หาเสียงกับคนจน ให้คนจนเป็นพลังอำนาจใหม่หาเสียงสู่ประชาชน แต่ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผู้ทีได้รับเลือกเข้ามาไม่เป็นอิสระ จนมีปัญหาส่วนตัวเรื่องทรัพย์สินและนำไปสู่การปฏิวัติ มีรัฐบาลทหารเข้ามา แต่รัฐบาลทหารไม่ได้จัดการอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ดี รศ.ดร.เรืองวิทย์ ระบุว่า ประชานิยมสำหรับสมัยใหม่ใช้ไม่ได้ เพราะจะทำให้โครงสร้างใหญ่ๆ มีปัญหา อย่างเช่น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ในปัจจุบันแบบประชานิยม ทำให้บานปลายออกไป และเชื่อว่า จะมีปัญหาในอนาคต
ส่วนปัญหาอีกอย่างที่คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ ชี้ว่าแตกต่างจากรัฐบาลก่อน คือ “ตัวผู้นำ” ที่ไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริง ไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ตามใจชอบ รวมทั้งพอมีอำนาจก็เริ่มใช้อำนาจมาก ซึ่งในทางรัฐศาสตร์จริงๆ ไม่ต้องการให้รัฐมีอำนาจมาก แต่ถ้ารัฐบาลนั้นทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมก็ดี
“ที่ผ่านมา รัฐบาลย้ายข้าราชการ ย้ายตำรวจ ย้ายหมอ เยอะแยะ อย่างเรื่องจะยกเลิกซีแอลยา ทั้งหมดก็เพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม และล่าสุด ก็พยายามจะแก้รัฐธรรมนูญแก้ปัญหาใบแดง”
รศ.ดร.เรืองวิทย์ แจกแจงว่า ประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างจากสมัยก่อนจากประชาธิปไตยตัวแทนที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 4 วินาที แล้วจบกัน เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ก็จะสามารถเปิดเวทีสาธารณะอย่างที่เราทำกัน
“ความเป็นเผด็จการไม่ใช่จากที่มาของอำนาจ แต่มาจากการใช้อำนาจ ภาคประชาชนกำลังไปไกล และมีส่วนร่วมอย่างทั่วประเทศ ขณะที่รัฐบาลก็ยังคิดว่ามีอำนาจมาก ซึ่งประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ได้อยู่ในตำราอยู่ที่คนเขาพูดกัน ประชาธิปไตยอยู่ที่เขาพูดอย่างไรคิดอย่างไร แต่ตอนนี้พูดกันว่า เงินไม่มากาไม่เป็น ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่เป็นจริงๆ แต่ต้องบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด” รศ.ดร.เรืองวิทย์ อธิบาย
ทางด้าน รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า 2 ปีที่เราต่อสู้กันมา มีหลายคนบอกว่า การต่อสู้ของประชาชนในฝั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้มเหลว ในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บินกลับมาประเทศไทย เป็นวันแห่งสำเร็จหรือล้มเหลวของพวกเรา ขอบอกว่า เป็นวันแห่งความสำเร็จของเรา เพราะว่าสามารถทำให้นายกฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่สามารถเอานักการเมืองระดับนายกฯ ขึ้นศาล เพราะฉะนั้นอย่าหลงลืมประเด็นนี้เลย
รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวด้วยว่า ขอเรียนว่า คดีฉีกบัตรของตัวเขาเองนั้น ยังอยู่ในการพิจารณาของอัยการสูงสุด ไม่ได้ผิดแล้วลอยนวล ไปรายงานตัวทันที ไม่ได้บ่ายเบียง 17 เดือนแล้วมา เพราะฉะนั้นเราต้องต่อสู้ทางกฎหมายเท่าเทียมกัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังเสียง การอภิปราย "เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย"
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รศ.ดร. เรืองวิทย์ อภิปรายในรายการ "เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย"
( 56 k ) | ( 256 K )
วันนี้ (28 มี.ค.) เวลา 18.45 น.ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บนเวทีสัมมนา “ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ” มีการอภิปรายเรื่อง “เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย” โดย ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, รศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร และ ผศ.ดร.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ทวี กล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องเหลียวหลังแลหน้า ให้มองกันตรงๆ เลย ว่า บ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร อย่างตอนที่เขาอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็คึกคัก อยากทำโน่นทำนี่ แต่พบว่ามีความขัดแย้งระหว่างผู้นำ ทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง อีกทั้งการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ที่ล้มเหลว เพราะรัฐบาลก่อนไม่ได้ถอนรากถอนโคนกลุ่มอำนาจเก่า
“การปฏิวัติต้องมีต่อไป แต่เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน เพราะเราไว้ใจใครไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยความสุขุมรอบคอบ ซึ่งกระบวนการของพี่น้อง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความสุขุมรอบคอบ และควรจะต้องสุขุมรอบคอบต่อไป” ผศ.ทวี กล่าว
ทั้งนี้ ผศ.ทวี เปรียบเทียบว่า เมื่อมองการเมืองเหมือนการดูโหวงเฮ้ง ดูรูปร่างหน้าตาของคนปกครองประเทศ ปากเปรียบได้กับผู้นำ หรือผู้ปกครอง “รัฐบาลนี้ปากไม่สวย พูดไม่เพราะ พูดเลอะเทอะ” ส่วนหู คือ สมาชิกวุฒิสภา เป็นได้แค่ตุ้มหูห้อยไว้สวยๆ งามๆ ส่วนตา คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.ซึ่งส่วนใหญ่จะตาเข มัวแต่เหล่หาผลประโยชน์ ด้วยความอิจฉาซึ่งกันและกัน ส่วนจมูก คือ พรรคการเมืองที่ใหญ่เทอะทะ สุดท้ายแก้มและหน้าผาก ซึ่งหมายถึงตัวนักการเมือง ไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก
ถ้าอยากเอาประเทศชาติให้รอด อย่าไปเพิ่งนักการเมือง เพราะหัวคือรัฐบาลต้องไม่เหม็น ต้องสระผมทุกวัน ส่วนลำคอจะต้องแข็งแรง มีกระบวนการในการตรวจสอบหันซ้ายขวา นำพาร่างกาย ลำตัว จะต้องฟิตแอนด์เฟิร์ม บำรุงร่างกาย มีกำลังใจ สุดท้ายแขนและขาค่อนข้างจะลำบาก เมื่อหัวเป็นอย่างไรก็จะบังคับแขนขาไปในทางนั้น บ้านเมืองของเราไม่มีใครช่วยกันได้ เราต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงจึงจะช่วยกันสร้างประชาธิปไตยให้ได้
ทางด้าน รศ.ดร.เรืองวิทย์ กล่าวว่า ต้องย้อนสภาพการเมืองไทยไปตั้งแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่นำระบอบประชานิยมมาใช้ หาเสียงกับคนจน ให้คนจนเป็นพลังอำนาจใหม่หาเสียงสู่ประชาชน แต่ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผู้ทีได้รับเลือกเข้ามาไม่เป็นอิสระ จนมีปัญหาส่วนตัวเรื่องทรัพย์สินและนำไปสู่การปฏิวัติ มีรัฐบาลทหารเข้ามา แต่รัฐบาลทหารไม่ได้จัดการอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ดี รศ.ดร.เรืองวิทย์ ระบุว่า ประชานิยมสำหรับสมัยใหม่ใช้ไม่ได้ เพราะจะทำให้โครงสร้างใหญ่ๆ มีปัญหา อย่างเช่น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ในปัจจุบันแบบประชานิยม ทำให้บานปลายออกไป และเชื่อว่า จะมีปัญหาในอนาคต
ส่วนปัญหาอีกอย่างที่คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ ชี้ว่าแตกต่างจากรัฐบาลก่อน คือ “ตัวผู้นำ” ที่ไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริง ไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ตามใจชอบ รวมทั้งพอมีอำนาจก็เริ่มใช้อำนาจมาก ซึ่งในทางรัฐศาสตร์จริงๆ ไม่ต้องการให้รัฐมีอำนาจมาก แต่ถ้ารัฐบาลนั้นทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมก็ดี
“ที่ผ่านมา รัฐบาลย้ายข้าราชการ ย้ายตำรวจ ย้ายหมอ เยอะแยะ อย่างเรื่องจะยกเลิกซีแอลยา ทั้งหมดก็เพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม และล่าสุด ก็พยายามจะแก้รัฐธรรมนูญแก้ปัญหาใบแดง”
รศ.ดร.เรืองวิทย์ แจกแจงว่า ประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างจากสมัยก่อนจากประชาธิปไตยตัวแทนที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 4 วินาที แล้วจบกัน เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ก็จะสามารถเปิดเวทีสาธารณะอย่างที่เราทำกัน
“ความเป็นเผด็จการไม่ใช่จากที่มาของอำนาจ แต่มาจากการใช้อำนาจ ภาคประชาชนกำลังไปไกล และมีส่วนร่วมอย่างทั่วประเทศ ขณะที่รัฐบาลก็ยังคิดว่ามีอำนาจมาก ซึ่งประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ได้อยู่ในตำราอยู่ที่คนเขาพูดกัน ประชาธิปไตยอยู่ที่เขาพูดอย่างไรคิดอย่างไร แต่ตอนนี้พูดกันว่า เงินไม่มากาไม่เป็น ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่เป็นจริงๆ แต่ต้องบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด” รศ.ดร.เรืองวิทย์ อธิบาย
ทางด้าน รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวว่า 2 ปีที่เราต่อสู้กันมา มีหลายคนบอกว่า การต่อสู้ของประชาชนในฝั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้มเหลว ในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บินกลับมาประเทศไทย เป็นวันแห่งสำเร็จหรือล้มเหลวของพวกเรา ขอบอกว่า เป็นวันแห่งความสำเร็จของเรา เพราะว่าสามารถทำให้นายกฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่สามารถเอานักการเมืองระดับนายกฯ ขึ้นศาล เพราะฉะนั้นอย่าหลงลืมประเด็นนี้เลย
รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวด้วยว่า ขอเรียนว่า คดีฉีกบัตรของตัวเขาเองนั้น ยังอยู่ในการพิจารณาของอัยการสูงสุด ไม่ได้ผิดแล้วลอยนวล ไปรายงานตัวทันที ไม่ได้บ่ายเบียง 17 เดือนแล้วมา เพราะฉะนั้นเราต้องต่อสู้ทางกฎหมายเท่าเทียมกัน