ผู้จัดการรายวัน – บสก.ยังหวังแบงก์ชาติอาจลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ส่วนแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังเดินหน้าอยู่ คาดตั้งเอฟเอได้ภายในปีนี้ เผย 2 เดือนแรกมีรายได้กว่า 2 พันล้าน จากที่ตั้งเป้าไว้ 11,700 ล้าน ล่าสุดสบช่องราคาน้ำมันพุ่ง น้ำมันปาล์มขาดตลาด พลิกขายที่ดินเปล่า-ที่ดินเกษตรกรรม 5 หมื่นไร่ ออกจำหน่ายให้ลูกค้า หนุนนโยบายรัฐส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจ เพื่อผลิตพลังงานทดแทน และการบริโภคในประเทศ
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ ที่ประชุมน่าจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.25% เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการ แม้จะมีข้อเสียโดยจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่อย่างไรก็ตามทางการคงจะต้องพิจารณาความสมดุลในหลายปัจจัยประกอบด้วย
ส่วนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นยังคงอยู่ในช่วงของการดำเนินการและยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะให้ความสำคัญกับการขายหุ้นในส่วนของธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารกรุงไทยก่อน โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ซึ่งคาดว่าจะสามารถคัดเลือกได้ภายในปีนี้ โดยขอบเขตหน้าที่ของ FA ในเบื้องต้นจะดูเรื่องการรับซื้อพอร์ตสินทรัพย์คืนจาก บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) จากเดิมที่โอนไปประมาณ 10,000 ล้านบาทและน่าจะซื้อคืนประมาณ 9,000 ล้านบาทและดูถึงการซื้อสินทรัพย์จากธนาคาร
สำหรับผลประกอบการในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บสก.มีรายได้อยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 11,700 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการภาษีกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่ทางการได้ประกาศออกมา
นายบรรยง กล่าวว่า บสก. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของพลังงานทดแทนที่คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวตัวได้ดีในอนาคต ดังนั้น บสก. จึงร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดโครงการส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้า และเกษตรกรมีที่ดินเป็นของตนเอง ตลอดจนเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตพลังงานทดแทน และเพื่อการบริโภคในประเทศ
โดย บสก. จะนำทรัพย์สินรอการขาย หรือ เอ็นพีเอ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่ดินเปล่า และที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศออกจำหน่ายจำนวน 5 หมื่นไร่ พร้อมตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเอ็นพีเอในครั้งนี้ 2,000 ล้านบาท จากจำนวนทรัพย์ที่ บสก.มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันกว่า 100,000 ไร่ ซึ่งมีมูลค่า 24,000 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน เนื่องจาก บสก.ใช้กลยุทธ์ในการขายด้วยการจัดหมวดหมู่ทรัพย์ให้เหมาะสมกับสภาพการตลาดในปัจจุบัน อีกทั้งราคาทรัพย์ที่นำมาจำหน่ายเป็นราคาที่ถูกกว่าราคาประเมินถึง 30%
ทั้งนี้ บสก.คาดว่าที่ดินดังกล่าวจะสามารถรองรับการปลูกพืชพลังงานทดแทน และผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศได้ โดย บสก. ได้คัดเลือกที่ดินเปล่าขนาดเนื้อที่ 5 ไร่ขึ้นไป มาเสนอขายให้กับนักลงทุนและเกษตรกรในราคาและเงื่อนไขพิเศษ พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ บสก. ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ในโครงการดังกล่าว จะได้รับส่วนลด 1% ของราคาทรัพย์ เพื่อนำไปปรับปรุงที่ดิน ซื้อปุ๋ย และพันธุ์พืช โดยโปรโมชั่นนี้มีถึงเดือนกันยายน 2551 ขณะเดียวกัน บสก. จะเป็นผู้ประสานงานด้านสินเชื่อกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. ให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ที่ดินเพื่อการเกษตรจาก บสก.
"ความต้องการพลังงานทดแทน ได้รับการตอบรับและถูกกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในขณะนี้ ด้วยเหตุที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความต้องการบริโภคน้ำมันมีอัตราที่สูงกว่ากำลังการผลิตค่อนข้างมาก การผลิตพลังงานโดยใช้พืชที่ปลูกในประเทศ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมันได้บางส่วน อีกทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย" นายบรรยง กล่าว
อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายที่อยู่ในโครงการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหา เอ็นพีเอ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยการพลิกฟื้นที่ดินให้กลับมาทำประโยชน์ ทั้งนี้หลังจากที่ บสก. ได้มีการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวผ่านตามสื่อต่างๆ ทำให้มีผู้สนใจเสนอซื้อที่ดินเพื่อการเกษตรแล้วจำนวน 584 ไร่ และคาดว่าจะมีผู้สนใจซื้อทรัพย์ที่ดินเพื่อการเกษตรของ บสก. อีกเป็นจำนวนมาก
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ ที่ประชุมน่าจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.25% เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการ แม้จะมีข้อเสียโดยจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่อย่างไรก็ตามทางการคงจะต้องพิจารณาความสมดุลในหลายปัจจัยประกอบด้วย
ส่วนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นยังคงอยู่ในช่วงของการดำเนินการและยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะให้ความสำคัญกับการขายหุ้นในส่วนของธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารกรุงไทยก่อน โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ซึ่งคาดว่าจะสามารถคัดเลือกได้ภายในปีนี้ โดยขอบเขตหน้าที่ของ FA ในเบื้องต้นจะดูเรื่องการรับซื้อพอร์ตสินทรัพย์คืนจาก บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) จากเดิมที่โอนไปประมาณ 10,000 ล้านบาทและน่าจะซื้อคืนประมาณ 9,000 ล้านบาทและดูถึงการซื้อสินทรัพย์จากธนาคาร
สำหรับผลประกอบการในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บสก.มีรายได้อยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 11,700 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการภาษีกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่ทางการได้ประกาศออกมา
นายบรรยง กล่าวว่า บสก. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของพลังงานทดแทนที่คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวตัวได้ดีในอนาคต ดังนั้น บสก. จึงร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดโครงการส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้า และเกษตรกรมีที่ดินเป็นของตนเอง ตลอดจนเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตพลังงานทดแทน และเพื่อการบริโภคในประเทศ
โดย บสก. จะนำทรัพย์สินรอการขาย หรือ เอ็นพีเอ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่ดินเปล่า และที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศออกจำหน่ายจำนวน 5 หมื่นไร่ พร้อมตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเอ็นพีเอในครั้งนี้ 2,000 ล้านบาท จากจำนวนทรัพย์ที่ บสก.มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันกว่า 100,000 ไร่ ซึ่งมีมูลค่า 24,000 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน เนื่องจาก บสก.ใช้กลยุทธ์ในการขายด้วยการจัดหมวดหมู่ทรัพย์ให้เหมาะสมกับสภาพการตลาดในปัจจุบัน อีกทั้งราคาทรัพย์ที่นำมาจำหน่ายเป็นราคาที่ถูกกว่าราคาประเมินถึง 30%
ทั้งนี้ บสก.คาดว่าที่ดินดังกล่าวจะสามารถรองรับการปลูกพืชพลังงานทดแทน และผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศได้ โดย บสก. ได้คัดเลือกที่ดินเปล่าขนาดเนื้อที่ 5 ไร่ขึ้นไป มาเสนอขายให้กับนักลงทุนและเกษตรกรในราคาและเงื่อนไขพิเศษ พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ บสก. ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ในโครงการดังกล่าว จะได้รับส่วนลด 1% ของราคาทรัพย์ เพื่อนำไปปรับปรุงที่ดิน ซื้อปุ๋ย และพันธุ์พืช โดยโปรโมชั่นนี้มีถึงเดือนกันยายน 2551 ขณะเดียวกัน บสก. จะเป็นผู้ประสานงานด้านสินเชื่อกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. ให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ที่ดินเพื่อการเกษตรจาก บสก.
"ความต้องการพลังงานทดแทน ได้รับการตอบรับและถูกกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในขณะนี้ ด้วยเหตุที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความต้องการบริโภคน้ำมันมีอัตราที่สูงกว่ากำลังการผลิตค่อนข้างมาก การผลิตพลังงานโดยใช้พืชที่ปลูกในประเทศ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมันได้บางส่วน อีกทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย" นายบรรยง กล่าว
อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายที่อยู่ในโครงการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหา เอ็นพีเอ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยการพลิกฟื้นที่ดินให้กลับมาทำประโยชน์ ทั้งนี้หลังจากที่ บสก. ได้มีการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวผ่านตามสื่อต่างๆ ทำให้มีผู้สนใจเสนอซื้อที่ดินเพื่อการเกษตรแล้วจำนวน 584 ไร่ และคาดว่าจะมีผู้สนใจซื้อทรัพย์ที่ดินเพื่อการเกษตรของ บสก. อีกเป็นจำนวนมาก
