กองทุนฟื้นฟูฯจ้างบล.ภัทรศึกษาขายหุ้นของไทยธนาคาร คาดภายในเดือนมิ.ย.นี้ทราบรายชื่อผู้ถือหุ้น และอีก 6 เดือนสัญญาจะเสร็จสิ้น ฟุ้งไทยธนาคารทุกอย่างดีและเริ่มนิ่งเหลือเพียงการลงทุนในซีดีโอ แต่ก็มีการกันสำรองกว่า 50% และมีรายได้จากตราสารดังกล่าวต่อเนื่องอยู่
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กล่าวว่า ขณะนี้กองทุนฟื้นฟูฯได้จ้างบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้นของธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) หรือบีที ซึ่งกองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 42.13%โดยคาดว่าในเดือนมิถุนายนนี้จะได้รายชื่อผู้สนใจร่วมลงทุนรายใหม่และภายใน 6 เดือนนับจากวันจัดจ้างหรือประมาณเดือนกันยายนสัญญาทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้บีทีมีศักยภาพเงินทุนและการบริหารแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“แม้ในเดือนกันยายนสัญญาจะจบสมบูรณ์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทุกแนวทางอาจจะขายหุ้นของบีทีทั้งหมด หรือขายบางส่วน เพิ่มทุน หรืออาจหาผู้ลงทุนรายใหญ่เข้ามาควบรวมกิจการ โดยสิ่งเหล่านี้ต้องให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษา และดูว่าทางเลือกไหนให้ประโยชน์แก่กองทุนฟื้นฟูฯ มากที่สุด แม้ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ควรถือหุ้นในสถาบันการเงิน จึงมีการเปิดกว้างให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษาแนวทางที่ดีที่สุด”
ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบีทีนั้น ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่มองว่าขนาดที่เล็ก งบการเงินที่โปร่งใส เครือข่ายสาขามากกว่า 140 แห่ง เครื่องเอทีเอ็มที่มีมากกว่า 1,000 ตู้ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ดีและขยายตัวได้รวดเร็ว ถือว่าทุกอย่างที่แวดล้อมล้วนนิ่งแล้ว แม้จะมีเพียงแค่การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ต่างประเทศอ้างอิง (ซีดีโอ)ที่ยังมีราคาขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็มีการกันสำรองมากว่า 50%แล้ว และยังคงมีรายได้จากการถือตราสารหนี้ดังกล่าวอยู่ ขณะเดียวกันทีมผู้บริหารก็เป็นมืออาชีพที่ดีเช่นกัน
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กล่าวว่า ขณะนี้กองทุนฟื้นฟูฯได้จ้างบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้นของธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) หรือบีที ซึ่งกองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 42.13%โดยคาดว่าในเดือนมิถุนายนนี้จะได้รายชื่อผู้สนใจร่วมลงทุนรายใหม่และภายใน 6 เดือนนับจากวันจัดจ้างหรือประมาณเดือนกันยายนสัญญาทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้บีทีมีศักยภาพเงินทุนและการบริหารแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“แม้ในเดือนกันยายนสัญญาจะจบสมบูรณ์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทุกแนวทางอาจจะขายหุ้นของบีทีทั้งหมด หรือขายบางส่วน เพิ่มทุน หรืออาจหาผู้ลงทุนรายใหญ่เข้ามาควบรวมกิจการ โดยสิ่งเหล่านี้ต้องให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษา และดูว่าทางเลือกไหนให้ประโยชน์แก่กองทุนฟื้นฟูฯ มากที่สุด แม้ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ควรถือหุ้นในสถาบันการเงิน จึงมีการเปิดกว้างให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษาแนวทางที่ดีที่สุด”
ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบีทีนั้น ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่มองว่าขนาดที่เล็ก งบการเงินที่โปร่งใส เครือข่ายสาขามากกว่า 140 แห่ง เครื่องเอทีเอ็มที่มีมากกว่า 1,000 ตู้ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ดีและขยายตัวได้รวดเร็ว ถือว่าทุกอย่างที่แวดล้อมล้วนนิ่งแล้ว แม้จะมีเพียงแค่การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ต่างประเทศอ้างอิง (ซีดีโอ)ที่ยังมีราคาขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็มีการกันสำรองมากว่า 50%แล้ว และยังคงมีรายได้จากการถือตราสารหนี้ดังกล่าวอยู่ ขณะเดียวกันทีมผู้บริหารก็เป็นมืออาชีพที่ดีเช่นกัน