พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการย้ายพล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ไปช่วยราชการที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า เป็นเรื่องของสันติบาล เป็นเรื่องของงานข่าวปกติ ตอนนี้สถานการณ์ทางภาคใต้ค่อนข้างรุนแรง ผบช.ส.จึงส่งไปรับผิดชอบดูแล
เมื่อถามว่าการย้ายครั้งนี้เป็นเรื่องของการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ไม่ใช่ เป็นเรื่องของสันติบาลที่ต้องปรับปรุงงานข่าวให้ดีขึ้น ต้องไปถาม ผบช.ส.เอาเอง เรื่องนี้ สตช.ไม่เกี่ยว และยังไม่เห็นคำสั่ง
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของกองบังคับการตำรวจสันติบาล ฝ่ายนโยบายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ระดับนโยบายไม่ได้ไปมีส่วนรับรู้เรื่องดังกล่าว โดยเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาในระดับนั้น ๆ พิจารณา
นายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นคู่กรณีของพล.ต.ต.ชัยยะโดยตรง กล่าวว่า ไม่ทราบเป็นเรื่องของรัฐบาล เพราะตัวเขาได้ยุติการทำงานไปแล้ว
ว่าที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 26 ผู้มีวาจาฉะฉานฉลาดแสนรู้และเป็นด็อกเตอร์ทางนิติศาสตร์ของประเทศไทย ฯพณฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยืนยันว่า พล.ต.ต.ชัยยะไม่ได้ถูกการเมืองกลั่นแกล้ง และการลงไปช่วยทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ อาจจะชอบหน้าที่ดังกล่าว ที่เป็นการแก้ปัญหาสำคัญให้แก่ประเทศ
หากฟังคำตอบของการโยกย้ายพล.ต.ต.ชัยยะแล้วดูเหมือนว่า ทุกฝ่ายต่างปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ฝ่ายการเมืองเท่านั้น กระทั่ง พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพล.ต.ต.ชัยยะ โดยตรงก็ปฏิเสธจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายครั้งนี้
คำพูดของนักการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม้จะจับได้คาหนังคาเขา นักการเมืองก็ยังไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปอยู่แล้ว แต่กรณีของพล.ต.อ.พัชรวาทนี่ซิครับ ถือเป็นเรื่องที่แปลก เพราะนอกจากเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว ท่านไม่รู้เลยหรือว่า การโยกย้ายพล.ต.ต.ชัยยะไม่ใช่เรื่องปกติ
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ไอ้ป๊อด เจ้าของฉายา วิไลวรรณ (ดาราเจ้าน้ำตาในยุคนั้น) ของเพื่อนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล คนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจ ช่างเป็นไก่อ่อนสอนขันที่ไม่ประสีประสาอะไรถึงเพียงนี้ เพราะทำราวกับไม่รับรู้ว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ได้ถูก กกต.ขอตัวไปช่วยงานในฐานะหัวหน้าฝ่ายสืบสวนสอบสวน และเป็นเจ้าของสำนวนที่ทำให้นายยงยุทธถูกใบแดง
การถูกคำสั่งโยกย้ายด่วนครั้งนี้จึงเป็นเหตุผลอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากการใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งและรังแกข้าราชการ
ไม่เพียงแต่พล.ต.ต.ชัยยะเท่านั้นที่ถูกคำสั่งย้ายด่วนในครั้งนี้ กระทั่งพ.ต.อ.สุวรรณ เอกโพธิ์ ซึ่งเป็นทีมสอบสวนของพล.ต.ต.ชัยยะที่ไปช่วยงาน กกต.ก็ถูกคำสั่งโยกย้ายลงไปช่วยงานที่ภาคใต้เช่นเดียวกัน
แต่คนเป็นผู้บังคับบัญชาแทนที่จะแสดงออกถึงความเป็นผู้นำออกมาปกป้องลูกน้องที่ถูกการเมืองกลั่นแกล้ง กลับมาบอกเพียงว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ แล้วอย่างนี้จะมานั่งบังคับบัญชาตำรวจอีกกว่า 2 แสนคนได้อย่างไร
ทั้งที่ว่าไปแล้ว อ่านกันตื้นๆ ง่ายๆ ก็รู้ได้ไม่ยากว่า การโยกย้าย 2 นายตำรวจครั้งนี้ เกิดขึ้น เพราะความต้องการของฝ่ายการเมืองที่ผูกใจเจ็บเพราะทำให้พรรคพลังประชาชนต้องเผชิญวิบากกรรมและอาจต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคในที่สุด (เมื่อถึงวันนั้น เราจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประเทศไทย ไชโย)
หรือหากเราจำเป็นต้องฝืนเชื่อในสิ่งที่พล.ต.อ.พัชรวาทพูดจริงๆ ขั้นตอนต่อไปพล.ต.อ.พัชรวาทก็น่าจะเรียกผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลที่ออกคำสั่งดังกล่าวมาตรวจสอบดูว่า สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร แล้วลองเอาคำชี้แจงนั้นมาอธิบายต่อสาธารณชนดูว่า จะได้รับการเชื่อถือหรือไม่
แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือ นอกจากผู้บังคับบัญชาและนักการเมืองต่างๆ พากันไม่รู้ไม่เห็นแล้ว สื่อมวลชนบางฉบับ ยังพยายามทำให้เห็นว่า การโยกย้ายครั้งนี้เป็นเรื่องปกติในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล หรือพยายามบอกว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำกันแบบนี้ แต่ไม่ตั้งคำถามกันเลยว่า ทำไมต้องเกิดขึ้นกับพล.ต.ต.ชัยยะและพ.ต.อ.สุวรรณ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนที่ทำให้นายยงยุทธโดนใบแดงพอดี
จะมีใครที่ไหนเชื่อบ้างละครับว่า ที่นายตำรวจ 2 นายที่เป็นเจ้าของสำนวนสอบสวนจนนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำคนสำคัญของพรรคพลังประชาชนถูกใบแดงถูกย้ายลงไปช่วยรายการภาคใต้อย่างเร่งด่วนแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะต้องการให้ไปช่วยงานด้านการข่าว
ซึ่งคำชี้แจงเหล่านั้นเหมือนกับการตบหน้าคนทั้งสังคมว่า บรรทัดฐานของความถูกต้องดีงามนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยึดถืออีกต่อไป หรือคำว่า ทำดีได้ดีเป็นสิ่งที่ไม่จริงในยุคที่นักการเมืองมีอำนาจ
ที่สำคัญ นับจากนี้ไปหากข้าราชการที่เข้ามาช่วยงาน กกต.ถูกฝ่ายการเมืองกระทำและกลั่นแกล้งเยี่ยงนี้ ต่อไปจะมีข้าราชการที่ไหนอาสามาช่วยเหลือ กกต.หรือแม้จะมีก็จะมีใครกล้าที่เข้าไปตรวจสอบการเลือกตั้งของนักการเมืองอย่างตรงไปตรงมาอีก แล้วการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งจะมีความหมายอย่างไร
นอกจากนั้น สิ่งที่บ่งชี้ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งกันทางการเมืองยังเกิดขึ้นกับ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รองบังคับการตำรวจภูธร จ.บุรีรัมย์ ที่ถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ จ.ศรีสะเกษ ข่าวชิ้นนี้เราแทบจะไม่ได้เห็นการนำเสนอข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนมากนัก ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่เรื่องโตของการใช้อำนาจรัฐเพื่อกลั่นแกล้งข้าราชการ
เพราะพ.ต.อ.สังวรณ์ ไม่เพียงแต่เป็น กกต.ที่สอบสวนพรรคพลังประชาชนในบุรีรัมย์จนถูกใบแดงหลายคนเท่านั้น เขายังเป็นผู้สอบสวนคดีบุกรุกที่ดินการรถไฟของนายชัย ชิดชอบ และนางละออง ชิดชอบ แม่ของนายเนวินอีกด้วย
แล้วจะให้มองว่า การโยกย้ายครั้งนี้ เป็นเรื่องปกติอย่างที่ผู้บังคับบัญชาพยายามจะอธิบาย หรือจะมองว่า เป็นเรื่องปกติของการโยกย้ายข้าราชการของทุกรัฐบาลได้อย่างไร
และไม่เพียงแต่ พล.ต.ต.ชัยยะ พ.ต.อ.สุวรรณ และพ.ต.อ.สังวรณ์เท่านั้นที่ถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และพ.ต.อ.เอกพงษ์ อมรมุณีพงศ์ ผกก.แม่จัน ก็ถูกคำสั่งย้ายด่วนออกนอกพื้นที่เช่นเดียวกัน ข่าวนี้ก็กลายเป็นข่าวที่เกือบจะไม่เป็นข่าวในหน้าสื่อสารมวลชน และนายตำรวจทั้ง 2 คนนี้ก็เกี่ยวข้องกับใบแดงของนายยงยุทธเช่นเดียวกัน
ผมเชื่อนะครับว่า คนส่วนใหญ่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อตำรวจ แต่เมื่อมีตำรวจดีปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สังคมกลับปล่อยให้พวกเขาถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้งรังแก กระทั่งสื่อมวลชนที่ควรจะเป็นปากเป็นเสียงก็นิ่งเฉยดูดายต่อความไม่เป็นธรรมนั้น
บอกผมหน่อยซิครับว่า ตอนนี้เราอยู่ในสังคมเช่นไร แล้วเราจะสอนลูกหลานของเราว่าอย่างไร
เมื่อถามว่าการย้ายครั้งนี้เป็นเรื่องของการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ไม่ใช่ เป็นเรื่องของสันติบาลที่ต้องปรับปรุงงานข่าวให้ดีขึ้น ต้องไปถาม ผบช.ส.เอาเอง เรื่องนี้ สตช.ไม่เกี่ยว และยังไม่เห็นคำสั่ง
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของกองบังคับการตำรวจสันติบาล ฝ่ายนโยบายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ระดับนโยบายไม่ได้ไปมีส่วนรับรู้เรื่องดังกล่าว โดยเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาในระดับนั้น ๆ พิจารณา
นายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นคู่กรณีของพล.ต.ต.ชัยยะโดยตรง กล่าวว่า ไม่ทราบเป็นเรื่องของรัฐบาล เพราะตัวเขาได้ยุติการทำงานไปแล้ว
ว่าที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 26 ผู้มีวาจาฉะฉานฉลาดแสนรู้และเป็นด็อกเตอร์ทางนิติศาสตร์ของประเทศไทย ฯพณฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยืนยันว่า พล.ต.ต.ชัยยะไม่ได้ถูกการเมืองกลั่นแกล้ง และการลงไปช่วยทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ อาจจะชอบหน้าที่ดังกล่าว ที่เป็นการแก้ปัญหาสำคัญให้แก่ประเทศ
หากฟังคำตอบของการโยกย้ายพล.ต.ต.ชัยยะแล้วดูเหมือนว่า ทุกฝ่ายต่างปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ฝ่ายการเมืองเท่านั้น กระทั่ง พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพล.ต.ต.ชัยยะ โดยตรงก็ปฏิเสธจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายครั้งนี้
คำพูดของนักการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม้จะจับได้คาหนังคาเขา นักการเมืองก็ยังไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปอยู่แล้ว แต่กรณีของพล.ต.อ.พัชรวาทนี่ซิครับ ถือเป็นเรื่องที่แปลก เพราะนอกจากเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว ท่านไม่รู้เลยหรือว่า การโยกย้ายพล.ต.ต.ชัยยะไม่ใช่เรื่องปกติ
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ไอ้ป๊อด เจ้าของฉายา วิไลวรรณ (ดาราเจ้าน้ำตาในยุคนั้น) ของเพื่อนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล คนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจ ช่างเป็นไก่อ่อนสอนขันที่ไม่ประสีประสาอะไรถึงเพียงนี้ เพราะทำราวกับไม่รับรู้ว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ได้ถูก กกต.ขอตัวไปช่วยงานในฐานะหัวหน้าฝ่ายสืบสวนสอบสวน และเป็นเจ้าของสำนวนที่ทำให้นายยงยุทธถูกใบแดง
การถูกคำสั่งโยกย้ายด่วนครั้งนี้จึงเป็นเหตุผลอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากการใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งและรังแกข้าราชการ
ไม่เพียงแต่พล.ต.ต.ชัยยะเท่านั้นที่ถูกคำสั่งย้ายด่วนในครั้งนี้ กระทั่งพ.ต.อ.สุวรรณ เอกโพธิ์ ซึ่งเป็นทีมสอบสวนของพล.ต.ต.ชัยยะที่ไปช่วยงาน กกต.ก็ถูกคำสั่งโยกย้ายลงไปช่วยงานที่ภาคใต้เช่นเดียวกัน
แต่คนเป็นผู้บังคับบัญชาแทนที่จะแสดงออกถึงความเป็นผู้นำออกมาปกป้องลูกน้องที่ถูกการเมืองกลั่นแกล้ง กลับมาบอกเพียงว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ แล้วอย่างนี้จะมานั่งบังคับบัญชาตำรวจอีกกว่า 2 แสนคนได้อย่างไร
ทั้งที่ว่าไปแล้ว อ่านกันตื้นๆ ง่ายๆ ก็รู้ได้ไม่ยากว่า การโยกย้าย 2 นายตำรวจครั้งนี้ เกิดขึ้น เพราะความต้องการของฝ่ายการเมืองที่ผูกใจเจ็บเพราะทำให้พรรคพลังประชาชนต้องเผชิญวิบากกรรมและอาจต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคในที่สุด (เมื่อถึงวันนั้น เราจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประเทศไทย ไชโย)
หรือหากเราจำเป็นต้องฝืนเชื่อในสิ่งที่พล.ต.อ.พัชรวาทพูดจริงๆ ขั้นตอนต่อไปพล.ต.อ.พัชรวาทก็น่าจะเรียกผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลที่ออกคำสั่งดังกล่าวมาตรวจสอบดูว่า สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร แล้วลองเอาคำชี้แจงนั้นมาอธิบายต่อสาธารณชนดูว่า จะได้รับการเชื่อถือหรือไม่
แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือ นอกจากผู้บังคับบัญชาและนักการเมืองต่างๆ พากันไม่รู้ไม่เห็นแล้ว สื่อมวลชนบางฉบับ ยังพยายามทำให้เห็นว่า การโยกย้ายครั้งนี้เป็นเรื่องปกติในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล หรือพยายามบอกว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำกันแบบนี้ แต่ไม่ตั้งคำถามกันเลยว่า ทำไมต้องเกิดขึ้นกับพล.ต.ต.ชัยยะและพ.ต.อ.สุวรรณ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนที่ทำให้นายยงยุทธโดนใบแดงพอดี
จะมีใครที่ไหนเชื่อบ้างละครับว่า ที่นายตำรวจ 2 นายที่เป็นเจ้าของสำนวนสอบสวนจนนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำคนสำคัญของพรรคพลังประชาชนถูกใบแดงถูกย้ายลงไปช่วยรายการภาคใต้อย่างเร่งด่วนแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะต้องการให้ไปช่วยงานด้านการข่าว
ซึ่งคำชี้แจงเหล่านั้นเหมือนกับการตบหน้าคนทั้งสังคมว่า บรรทัดฐานของความถูกต้องดีงามนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยึดถืออีกต่อไป หรือคำว่า ทำดีได้ดีเป็นสิ่งที่ไม่จริงในยุคที่นักการเมืองมีอำนาจ
ที่สำคัญ นับจากนี้ไปหากข้าราชการที่เข้ามาช่วยงาน กกต.ถูกฝ่ายการเมืองกระทำและกลั่นแกล้งเยี่ยงนี้ ต่อไปจะมีข้าราชการที่ไหนอาสามาช่วยเหลือ กกต.หรือแม้จะมีก็จะมีใครกล้าที่เข้าไปตรวจสอบการเลือกตั้งของนักการเมืองอย่างตรงไปตรงมาอีก แล้วการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งจะมีความหมายอย่างไร
นอกจากนั้น สิ่งที่บ่งชี้ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งกันทางการเมืองยังเกิดขึ้นกับ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รองบังคับการตำรวจภูธร จ.บุรีรัมย์ ที่ถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ จ.ศรีสะเกษ ข่าวชิ้นนี้เราแทบจะไม่ได้เห็นการนำเสนอข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนมากนัก ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่เรื่องโตของการใช้อำนาจรัฐเพื่อกลั่นแกล้งข้าราชการ
เพราะพ.ต.อ.สังวรณ์ ไม่เพียงแต่เป็น กกต.ที่สอบสวนพรรคพลังประชาชนในบุรีรัมย์จนถูกใบแดงหลายคนเท่านั้น เขายังเป็นผู้สอบสวนคดีบุกรุกที่ดินการรถไฟของนายชัย ชิดชอบ และนางละออง ชิดชอบ แม่ของนายเนวินอีกด้วย
แล้วจะให้มองว่า การโยกย้ายครั้งนี้ เป็นเรื่องปกติอย่างที่ผู้บังคับบัญชาพยายามจะอธิบาย หรือจะมองว่า เป็นเรื่องปกติของการโยกย้ายข้าราชการของทุกรัฐบาลได้อย่างไร
และไม่เพียงแต่ พล.ต.ต.ชัยยะ พ.ต.อ.สุวรรณ และพ.ต.อ.สังวรณ์เท่านั้นที่ถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และพ.ต.อ.เอกพงษ์ อมรมุณีพงศ์ ผกก.แม่จัน ก็ถูกคำสั่งย้ายด่วนออกนอกพื้นที่เช่นเดียวกัน ข่าวนี้ก็กลายเป็นข่าวที่เกือบจะไม่เป็นข่าวในหน้าสื่อสารมวลชน และนายตำรวจทั้ง 2 คนนี้ก็เกี่ยวข้องกับใบแดงของนายยงยุทธเช่นเดียวกัน
ผมเชื่อนะครับว่า คนส่วนใหญ่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อตำรวจ แต่เมื่อมีตำรวจดีปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สังคมกลับปล่อยให้พวกเขาถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้งรังแก กระทั่งสื่อมวลชนที่ควรจะเป็นปากเป็นเสียงก็นิ่งเฉยดูดายต่อความไม่เป็นธรรมนั้น
บอกผมหน่อยซิครับว่า ตอนนี้เราอยู่ในสังคมเช่นไร แล้วเราจะสอนลูกหลานของเราว่าอย่างไร